ตอนที่ 350 การชำระล้างวิญญาณ
“มันผู้นี้เป็นสาวกปีศาจ… จับตัวเอาไปเผาทั้งเป็น”
คำบัญชาของเด็กหนุ่มดังกึกก้องท้องฟ้าอีกครั้ง
เมิ้งเป่ยเหอเดินเข้าไปฉุดลากตัวถังกู่จินขึ้นไปมัดกับเสาไม้บนกองฟืนอีกกองหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ ผู้ตรวจการมณฑลได้พ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินในการต่อสู้มาแล้วหนึ่งรอบ ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส จึงไม่สามารถขัดขืนได้อีกต่อไป
“ข้าไม่ได้เป็นสาวกปีศาจนะ แม่ทัพเมิ้ง ท่านต้องฟังข้าให้ดี… ข้าไม่ได้เป็นจริงๆ ฟังคำอธิบายของข้าก่อน…”
ถังกู่จินพูดด้วยความร้อนรนเสียสติ พยายามอธิบายความบริสุทธิ์ของตนเอง
เมิ้งเป่ยเหอหัวเราะเยาะเหยียดหยาม “อธิบายอย่างนั้นหรือ? ในโลกนี้ไม่มีสาวกปีศาจคนไหนจะยอมรับว่าตนเองเป็นสาวกปีศาจหรอก ข้าเคยเห็นมามากมายแล้ว…”
ถังกู่จินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
บัดนี้ ไม่มีใครยอมรับฟังเขาแล้วจริงๆ
ถังกู่จินเพิ่งรู้รสชาติความทรมานของการถูกใส่ร้าย ความทรมานของการที่ไม่มีใครยอมรับฟังคำอธิบาย และความทรมานของชีวิตที่หมดหวังก็ตอนนี้เอง
“ไม่ใช่นะ แม่ทัพเมิ้ง ท่านกำลังเข้าใจผิด ได้โปรดฟังข้าก่อน หลินเป่ยเฉินเป็นเทพเจ้าตัวปลอม…”
ถังกู่จินพยายามใช้โอกาสสุดท้ายเปิดเผยความจริง
แต่คำพูดที่เคยมีอำนาจสั่งผู้คนซ้ายหันขวาหัน บัดนี้กลับเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง
“น่ารำคาญ”
เมิ้งเป่ยเหอยกมือตบหน้าถังกู่จินเสียงดังสนั่น กระดูกโครงหน้าของผู้ตรวจการมณฑลบิดเบี้ยว ฟันหลายซี่กระเด็นหลุดออกจากปาก
แล้วลูกบอลโลหะขนาดเล็กก็ถูกยัดเข้าไปในปากของถังกู่จิน
“อื้อ อื้อ…” ถังกู่จินพยายามส่งเสียงผ่านลำคอและนี่คือการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเขา
มีเลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปากถังกู่จินตลอดเวลา แต่เสียงพูดที่ดังออกมาผ่านลูกบอลโลหะ ก็รับฟังไม่เป็นภาษามนุษย์อีกแล้ว
ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเขาได้อีกต่อไป
ในไม่ช้า ถังกู่จินก็ถูกจับมัดอยู่บนกองฟืนอย่างแน่นหนา พร้อมสำหรับการถูกเผาทั้งเป็น
“อื้อ…”
เขาหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอน
แม้ว่าถังกู่จินจะเป็นถึงผู้ตรวจการมณฑลที่โบกมือเพียงครั้งเดียว ก็สามารถบัญชากองทหารให้ทำลายล้างเมืองหยุนเมิ่งได้ในพริบตา แต่บัดนี้ เขาก็ไม่นึกเสียใจหรือเสียศักดิ์ศรีแต่อย่างใดที่ต้องยอมก้มหัวร้องขอความเมตตาจากเด็กหนุ่มรุ่นลูก ไม่ต่างจากสุนัขเร่ร่อนขออาหารจากผู้ใจบุญ
ถ้าได้รับโอกาส ถังกู่จินขอสาบานว่าจะไม่หาเรื่องหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
แม้หลินเป่ยเฉินจะเป็นสาวกปีศาจจริงๆ เขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอีกต่อไป
ไม่ใช่สิ
ถ้าต้องยอมเป็นสุนัขรับใช้หลินเป่ยเฉินเพื่อแลกกับการรอดชีวิต ถังกู่จินก็ยินดีทำ
แต่ความรู้สึกทั้งหมดนั้น ถังกู่จินไม่สามารถพูดออกมาได้ เขาทำได้เพียงสื่อสารทางสายตาเท่านั้น
แต่แววตาของเด็กหนุ่มที่จ้องตอบกลับมามีแต่ความเย็นชาน่าขนลุก
หลินเป่ยเฉินไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน
นักโทษที่เป็นสาวกปีศาจก็ถูกควบคุมตัวไปมัดอยู่บนกองฟืนทั้ง 9 กองจนครบถ้วน
“ประหาร!” นักพรตหญิงชินคำรามออกมาเสียงดัง
ในสถานการณ์ปกติ การประหารสาวกปีศาจจะดำเนินการด้วยนักบวชของวิหารเทพกระบี่
ขณะนี้ นักบวชสาวผู้เป็นลูกศิษย์ของนักพรตหญิงชินเดินถือคบเพลิงเข้าไปหากลุ่มนักโทษบนกองฟืนด้วยสีหน้าเย็นชาปราศจากความรู้สึก
สำหรับกับพวกนางแล้ว นี่คือพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
พรึ่บ!
กองฟืนทั้ง 9 กองนั้นถูกจุดไฟสว่างไสว
“อ๊าก…”
“ไม่นะ ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย…”
“อ๊าก แม่จ๋า!”
เปลวไฟลุกโชนทั่วร่างกายของนักโทษ
ตงฟางจันและพรรคพวกส่งเสียงร้องโหยหวน
เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดทรมาน สั่นสะเทือนโสตประสาทผู้คน
แต่ไป๋ไห่ชินที่ถูกมัดอยู่บนกองฟืนเคียงข้างถังกู่จินไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาอีกแล้ว แม้กำลังพยายามดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดจากพันธนาการก็ตาม
ลูกบอลโลหะขนาดเล็กที่อุดอยู่ในปากของเขาทำให้ชายชราเปล่าประโยชน์ที่จะส่งเสียง
ถังกู่จินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตนเองจะต้องมาจบชีวิตด้วยวิธีประหารที่เขาเตรียมการไว้สำหรับผู้อื่น วันนี้เขาถึงกับสั่งให้เจ้าหน้าที่เตรียมฟืนมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะตั้งใจจะรับชมการย่างสดพวกของหลินเป่ยเฉินเป็นความบันเทิงชนิดหนึ่ง!
แต่บัดนี้ เขากลับต้องมายืนอยู่บนกองไฟเสียเอง
เสียงกรีดร้องโหยหวนที่ได้ยิน ก็เป็นเสียงพรรคพวกของเขาเอง
เปลวไฟที่ร้อนแรงเผาไหม้ผิวหนังผู้คน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งทวีความน่าเวทนามากขึ้นเรื่อยๆ
ลานประหารมีอุณหภูมิร้อนสูงขึ้นมาโดยทันที
สิ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นเสาไม้บนกองฟืน ความจริงแล้วมันเป็นเสาเหล็ก เมื่อเผชิญกับความร้อนของเปลวไฟ นักโทษประหารก็ยิ่งเจ็บปวดทรมานมากขึ้นเกินที่ผู้ใดจะจินตนาการ
ซึ่งเดิมทีนั้นการเผาสาวกปีศาจทั้งเป็นไม่ได้มีขึ้นเพื่อเป็นการประหารชีวิต
แต่มีขึ้นเพื่อเป็นการชำระล้างวิญญาณต่างหาก
เมื่อวิญญาณปีศาจถูกชำระล้างออกไปจากร่างกายเรียบร้อยแล้ว สาวกปีศาจผู้เสียชีวิตก็จะได้ไปเกิดใหม่ด้วยวิญญาณที่บริสุทธิ์ และไม่มีทางที่จะได้กลับมาข้องเกี่ยวกับเหล่าปีศาจอีกต่อไป
ในจำนวนพลังปราณธาตุชื่อดังทั้ง 5 ชนิด พลังปราณธาตุทองคำเป็นตัวแทนของการฆ่าฟัน พลังปราณธาตุไม้เป็นตัวแทนของการเจริญเติบโต พลังปราณธาตุน้ำเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ พลังปราณธาตุดินเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่ง และพลังปราณธาตุไฟเป็นตัวแทนของการทำลายล้างและการชำระบาป
นานมากแล้วที่ไม่เคยมีผู้ใดถูกจับเผาทั้งเป็นด้วยพิธีกรรมที่ครบถ้วนตามหลักสูตรเช่นนี้มาก่อน
นี่คือเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์
มันเป็นการลงโทษที่เจ็บปวดมากกว่าการประหารธรรมดา
เสียงร้องโหยหวนของนักโทษแผดดังน่าขนลุก
มันทำให้ชาวเมืองทุกคนที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นี้รู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ
ปกติแล้ว การประหารสาวกปีศาจด้วยวิธีเผาไฟไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ
เพราะต้องเตรียมการหลายขั้นตอน
นอกจากนี้ สถานที่ซึ่งใช้เป็นลานประหารนั้นจะต้องเปิดกว้างให้ชาวเมืองได้มารับชมพิธีการประหารตั้งแต่ต้นจนจบ นี่ไม่ใช่การเชือดไก่ให้ลิงดู แต่เป็นการให้ผู้ที่ศรัทธาในเทพีกระบี่ทุกคน ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของการเป็นสาวกปีศาจบาปหนาเหล่านั้น
บัดนี้ ชาวเมืองทุกคนคุกเข่าลงยกมือสวดมนต์ อวยพรให้วิญญาณของนักโทษประหารไปสู่ภพภูมิที่ดี
บรรดานักบวชสาวจากวิหารมีสีหน้าเยือกเย็นและกล้าหาญ แตกต่างจากคนธรรมดาอย่างชัดเจน
แล้วนักบวชสาวในชุดเสื้อคลุมสีขาวสี่นาง ก็พากันเดินมาหยุดยืนอยู่หน้ากองไฟและเริ่มต้นสวดคาถาที่ว่ากันว่าจะช่วยชักนำให้วิญญาณผู้เสียชีวิตไม่หลงทางในโลกหลังความตาย
เยว่เว่ยหยางก็รวมอยู่ในกลุ่มนักบวชนั้นด้วย
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานของกลุ่มนักโทษประหาร ถูกเสียงสวดมนต์ของบรรดานักบวชสาวกลบจนหมดสิ้น
เสียงสวดมนต์ก้องกังวานไปทั่วทุกสารทิศ เสมือนเสียงที่เชื่อมโยงการมีอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ นี่คือความรู้สึกไม่ต่างจากได้ยินเสียงกระซิบจากเทพเจ้า ยิ่งช่วยเสริมสร้างให้บรรยากาศของพิธีประหารดูศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์ขลังมากยิ่งขึ้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองกำลังอยู่ในความฝัน
เขาเองรู้สึกกังวลใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีจุดจบของชะตากรรมบนกองไฟ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ เขาซึ่งทะลุมิติมาจากโลกอื่น กลับกลายเป็นผู้ควบคุมพิธีประหารโดยสมบูรณ์
เปลวไฟกลืนกินร่างกายของนักโทษประหาร
เสียงร้องโหยหวนดังกังวานมากกว่าเดิม
หลินเป่ยเฉินลอบถอนหายใจออกมา