บทที่ 351 เจ้าเสร็จงานแล้วหรือยัง?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 351 เจ้าเสร็จงานแล้วหรือยัง?

 

 

ถึงแม้ว่าจะเคยเผชิญการถูกตามล่าในหุบเขาชายแดนเหนือและสังหารกลุ่มโจรภูเขาตายเป็นเบือ หลินเป่ยเฉินก็ยังเชื่อมั่นเสมอว่าตนเองไม่ใช่คนจิตใจโหดร้าย

 

 

ขนาดเผลอเหยียบมดตายโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายังเสียใจแทบจะร้องไห้ออกมา

 

 

แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของถังกู่จิน ไป๋ไห่ชินและพรรคพวกผู้ชั่วร้ายเหล่านั้น หลินเป่ยเฉินกลับไม่รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย

 

 

ยิ่งคิดถึงความแค้นที่คนเหล่านี้จับอาจารย์และเพื่อนพ้องของเขามาทรมานโดยไม่เป็นธรรม การทรมานเพียงเท่านี้ที่พวกของถังกู่จินต้องพบเจอยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ

 

 

นี่เรียกว่าถ้าไม่อยากถูกกระทำอย่างไร ก็อย่ากระทำอย่างนั้นกับผู้อื่น

 

 

และก็เป็นไปตามสุภาษิตโบราณที่ว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน

 

 

เสียงร้องจากในกองไฟเริ่มเบาลงไปแล้ว

 

 

บรรดาผู้ที่มีพลังต่ำต้อยมากที่สุดในกลุ่มอย่างพวกของตงฟางจัน มู่อวี่ซุนและเจิ้งโจวเสียชีวิตกลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว

 

 

เฉาพั่วเถียนหายใจรวยริน ร่างกายชักกระตุกอยู่ตลอดเวลา

 

 

ไป๋ไห่ชินกับถังกู่จินเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากที่สุด ร่างกายจึงสามารถทนทานการถูกเผาไฟได้นานมากกว่าผู้อื่น

 

 

แต่เวลานี้ ทั้งสองคนกลับปรารถนาที่จะสละพลังวรยุทธ์ของตนเองทิ้งไปทั้งหมด เพราะพวกเขายินดีที่จะเสียชีวิตให้เร็วกว่านี้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทรมานมากถึงขนาดนี้

 

 

พวกเขาเห็นหลินเป่ยเฉินยืนอยู่ด้านหน้ากองไฟ จ้องมองเข้ามาด้วยแววตาน่ากลัว

 

 

หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเย็นชาปราศจากความรู้สึก

 

 

ผ่านไปช่วงเวลา 1 ก้านธูป

 

 

ในอากาศตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเนื้อไหม้ ตรงที่ร่างผู้คนเคยยืนอยู่ ก็หลงเหลือเพียงเถ้าถ่านกองหนึ่งเท่านั้น

 

 

นักโทษประหารทุกคนเสียชีวิตหมดแล้ว

 

 

ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างกายของตนเองเริ่มเบาบางลงไป

 

 

เขาหันหน้าไปมองกลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบ

 

 

ชายฉกรรจ์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ติดตามของถังกู่จิน ในอดีตทำตามคำสั่งของผู้ตรวจการมณฑลก่อการร้ายไว้มากมาย และยังมีส่วนร่วมในกระบวนการตามล่าตัวหลินเป่ยเฉิน รวมถึงทำร้ายชาวเมืองหยุนเมิ่งเป็นจำนวนมากอีกด้วย

 

 

“ท่านเทพพระเจ้าได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิด”

 

 

“ท่านเทพเจ้า ข้าน้อยขอความเมตตาจากท่าน”

 

 

“ไม่นะ ไม่…”

 

 

หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองไปทางอื่น เจ้าหน้าที่มือปราบกลุ่มนี้ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจนถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

ความตายของถังกู่จินส่งผลกระทบกระเทือนถึงทุกผู้คน

 

 

ความหวาดกลัวทำให้พวกเขาหมดแรงยืน ทุกคนไม่กล้าคิดถึงความเจ็บปวดเลยว่ามันจะมากมายมหาศาลขนาดไหน หากตนเองต้องถูกทรมานเหมือนกับนักโทษประหารเหล่านั้น

 

 

“ตัดหัวเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ทิ้งให้หมด”

 

 

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งอีกครั้ง

 

 

เขาไม่ได้ใช้วิธีการเผาไฟอีกแล้ว

 

 

เนื่องจากในฐานะของผู้ที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่น เด็กหนุ่มจึงยังไม่เข้าใจความหมายหรือนัยยะซ่อนเร้นของวิธีประหารด้วยการเผาไฟสักเท่าไหร่

 

 

สู้ใช้กระบี่ตัดหัวก็ไม่ได้

 

 

นั่นเป็นวิธีการที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว

 

 

หัวคนกระเด็นหลุดออกจากบ่าหัวแล้วหัวเล่า

 

 

เลือดสีแดงสดไหลนองเต็มพื้น

 

 

หากพิจารณาเหตุการณ์นี้ดูให้ดี ก็ไม่ใช่ว่าผู้ติดตามของถังกู่จินทุกคนที่จะลงมือทำร้ายชาวเมืองหยุนเมิ่งจนสมควรต้องถูกนำตัวมาตัดหัว หากเป็นในสถานการณ์ปกติ จะต้องมีการไต่สวนสืบคดี และบางทีโทษทัณฑ์ที่พวกเขาได้รับ ก็คงไม่ใช่ความตาย

 

 

แต่วันนี้ทุกอย่างต่างออกไป

 

 

หลินเป่ยเฉินเป็นตัวแทนของเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์

 

 

ในร่างกายของเขาเป็นที่สิงสถิตของเทพีกระบี่

 

 

ทุกสิ่งที่เขาพูดออกมาคือความต้องการของเทพีผู้สูงส่ง

 

 

เมื่อพูดออกมาแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป

 

 

ทุกการตัดสินใจต้องว่ากันไปตามนั้น

 

 

สายลมโชยพัด

 

 

เถ้ากระดูกที่อยู่บนลานประหารปลิวไปตามสายลมเป็นม่านหมอกสีดำในอากาศ

 

 

“พวกเจ้าถอนกำลังกลับไปได้แล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินหันไปออกคำสั่งต่อพวกของเมิ้งเป่ยเหอ ซึ่งค่อยๆ ลดกระบี่ในมือลงอย่างเชื่องช้า

 

 

หลังจากนั้น เมิ้งเป่ยเหอก็นำเจ้าหน้าที่มือปราบกว่า 2,000 นาย คุกเข่าลงแสดงความเคารพต่อเทพีกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย แล้วเขาก็พาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดถอนกำลังออกจากเมืองหยุนเมิ่ง เดินทางกลับไปยังที่ที่จากมา

 

 

ร่างของหลินเป่ยเฉินลอยกลับลงมายืนบนพื้นดินอีกครั้ง

 

 

สายตาของผู้คนนับหมื่นคู่จ้องมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว

 

 

ในทันใดนั้นเอง

 

 

ติ๊ง!

 

 

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ

 

 

“หมดเวลาแล้ว” เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความแจ้งเตือนมาในวีแชท “เจ้าเสร็จงานแล้วหรือยัง?”

 

 

หลินเป่ยเฉินพิมพ์ข้อความตอบกลับไปว่า “เสร็จแล้ว”

 

 

“จริงหรือ? น้องชายพอใจในบริการครั้งนี้หรือไม่ เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ากว่าที่จะอัญเชิญเทพีกระบี่ออกมาได้ พี่สาวคนนี้ต้องเสียอะไรไปบ้าง เฮ้อ ข้าเกือบจะต้องเสียตัวเลยเชียวนะ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก หากมีเรื่องเดือดร้อนในอนาคต เจ้าสามารถบอกพี่สาวได้ตลอดเวลา แล้วพี่สาวจะบริการให้เจ้าได้ประทับใจเช่นนี้อีกแน่นอน”

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความตอบกลับมาด้วยความภาคภูมิใจ

 

 

เกือบจะต้องเสียตัวเลยหรือ?

 

 

การอัญเชิญเทพีกระบี่ต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวขนาดนั้นเลยหรือไง?

 

 

อุ๊บะ!

 

 

น่าสนใจดีนี่นา

 

 

หลินเป่ยเฉินคิดฟุ้งซ่านไปกับข้อความจากเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

 

 

ไม่ต้องแปลกใจอีกแล้วว่าทำไมวิหารเทพกระบี่ถึงมีแต่นักบวชสาวหน้าตาดี ไม่มีบุรุษอยู่เลยสักคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นนักพรตหญิงชินหรือเยว่เว่ยหยางต่างก็จัดว่าเป็นหนึ่งในสาวงามแห่งปฐพีทั้งนั้น

 

 

ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าบนดินแดนทวยเทพ มีพวกเทพเจ้าบ้ากามอยู่สินะ

 

 

แล้วนักพรตหญิงชินต้องบูชาเรือนร่างของนางให้เทพเจ้าเหล่านั้นหรือไม่?

 

 

หลินเป่ยเฉินเริ่มมีความคิดสัปดนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

แล้วเทพีกระบี่หิมะไร้นามนั้นเล่าเคยต้องถวายตัวให้ใครแล้วหรือยัง?

 

 

แต่เมื่อนึกถึงเทพีฝึกหัดจอมเจ้าเล่ห์คนนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้

 

 

เขามั่นใจมากว่าค่าบริการกว่า 300,000 เหรียญทองคำในการติดต่อเทพีกระบี่ ต้องมีไม่ต่ำกว่า 100,000 เหรียญทองคำที่ตกไปอยู่ในกำมือของเทพีกระบี่หิมะไร้นาม เพราะเด็กหนุ่มกล้ารับประกันเลยว่าเทพี 18 มงกุฎนางนี้ ไม่มีทางช่วยเหลือเขาโดยไม่หวังผลตอบแทนแน่ๆ

 

 

ติดอยู่ที่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนหรอกนะ เขาถึงยอมจ่ายเงินให้นางง่ายดายขนาดนี้

 

 

คราวหน้า ถ้าต้องเสียเงินให้แก่เทพีกระบี่หิมะไร้นามอีกล่ะก็ หลินเป่ยเฉินมีหวังคงได้ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรับประทานไปตลอดชีวิต

 

 

เมื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็พิมพ์ข้อความส่งไป “ไม่มีปัญหา ถ้าข้ามีเรื่องรบกวนเมื่อไหร่ จะทักไปหาแล้วกันนะ”

 

 

พูดจบ เขาก็กดออกมาจากแอปวีแชท

 

 

ให้ตายสิ

 

 

ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเวียนหัวแบบนี้หว่า

 

 

เทพีกระบี่หิมะไร้นามไม่เห็นบอกสักคำว่าตอนที่จะถอนพลังกลับคืนไป มันจะมีผลข้างเคียงเป็นอาการเวียนหัวและเหนื่อยล้าขนาดนี้

 

 

หลินเป่ยเฉินตาลายจนทรงตัวไม่อยู่

 

 

เขาได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นข้างใบหู

 

 

มีใครสักคนปราดเข้ามาประคองเขาโดยเร็ว

 

 

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปหาที่ยึดเหนี่ยวตามสัญชาตญาณ

 

 

แล้วมือของเขาก็สัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อนุ่มนิ่มขนาดใหญ่ล้นฝ่ามือก้อนหนึ่ง

 

 

นี่มันอะไรน่ะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจจึงลองขยำมือดูอีกหลายที

 

 

ลักษณะครึ่งวงกลม

 

 

เด็กหนุ่มกำลังจะลองใช้สองมือขยำก้อนเนื้อก้อนนั้นดูอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความไม่พอใจดังขึ้นใกล้ตัว หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถูกใครบางคนหิ้วปีกลากไปข้างหน้า

 

 

ขณะนี้ กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก

 

 

มันเป็นกลิ่นที่เขาเหมือนจะเคยสูดดมที่ไหนมาก่อน

 

 

พลัน หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้ว่านี่มันกลิ่นกายของนักพรตหญิงชินไม่ใช่หรือ?

 

 

เขานึกออกตอนที่โลกทั้งใบกำลังหมุนวน เมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ไหลออกไปจากร่างกายหมดสิ้นแล้ว สติของเด็กหนุ่มก็ดับวูบลง แล้วหลินเป่ยเฉินก็ถูกกลืนหายเข้าไปในความมืดมิด…