DC บทที่ 267: นิกายที่ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก

 

ครั้นเมื่อศิษย์ทุกคนจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็โค้งคำนับผู้อาวุโสนิกายในห้องและกล่าวว่า “อีกครั้ง ข้าจักต้องขออภัยสำหรับความไร้สามารถของข้า”

 

ผู้อาวุโสจ้าวส่ายหน้าและกล่าวว่า “ท่านมิต้องขอโทษกับความละโมบของผู้อื่น ถ้าจักต้องกล่าวโทษ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของนิกายล้านอสรพิษ”

 

“ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวถูกต้อง ผู้นำนิกาย อย่ากล่าวโทษตัวเองสำหรับเรื่องเหล่านี้…”

 

“ถ้าท่านกล่าวโทษตัวเอง ท่านผู้นำนิกาย เช่นนั้นข้าเองก็จักต้องกล่าวโทษตัวเองด้วย ในเมื่อข้าเองก็มิมีความสามารถในการปกป้องเหล่าศิษย์ในเวลาเช่นนี้”

 

“พวกท่าน…” โหลวหลานจีเกือบน้ำตาตกเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา

 

“บางทีสถานการณ์นี้อาจจะเป็นโชคดีที่แฝงตัวมา มิเพียงแต่เราประสบกับความโหดร้ายที่แท้จริงของโลกนี้แต่เรากลับยังคงรอดอยู่ และนั่นจักทำให้พวกเราทุกคนแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าพวกเราได้สูญเสียเหล่าศิษย์เกือบทั้งหมดแต่เราก็ยังสามารถรับเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้แม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าพวกเรายังคงมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก และนี่รวมไปถึงทุกท่านที่นี่ด้วยเช่นกัน”

 

โหลวหลานจีพลันนำเอาแหวนมิติออกมาหนึ่งวงและกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นวิธีที่ข้าจักแสดงถึงความขอบคุณ ขอบคุณที่อยู่อย่างภักดีแม้กระทั่งในเวลาที่เหมือนกับจุดจบ ขอบคุณ…”

 

หลังจากที่พูดคำกล่าวเหล่านี้แล้ว โหลวหลานจีก็เททุกสิ่งที่อยู่ภายในแหวนมิติลงบนโต๊ะตรงหน้าพวกเขา

 

“น-น-นี่คือ…”

 

ทุกคนที่นั่นต่างพากันจ้องมองด้วยสีหน้าตื่นตะลึงกับสมบัติวิญญาณหลายสิบชิ้นและวิชายุทธที่กองอยู่บนโต๊ะ

 

“ส-สวรรค์ ท่านได้ส่ิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมาจากไหน ท่านผู้นำนิกาย”

 

ผู้อาวุโสจ้างพลันตระหนักว่าสมบัติบนโต๊ะล้วนเป็นสมบัติวิญญาณทั้งสิ้น แต่ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับเขายิ่งกว่าเดิมก็เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นวัตถุวิญญาณมากมายเช่นนี้รวมตัวกันอยู่ในที่เดียวมาก่อน

 

“นั่นเป็นของขวัญจากผู้อาวุโสคนเดียวกันที่ปกป้องพวกเราจากนิกายล้านอสรพิษ” เธอกล่าว

 

“อย่างไรก็ตาม พวกท่านสามารถเข้ามาหยิบหนึ่งในสมบัติวิญญาณเหล่านี้และวิชาฝีมือจากบนโต๊ะนี้ พวกท่านสามารถเก็บสมบัติวิญญาณไว้ แต่ข้าจำเป็นต้องขอคืนวิชาฝีมือหลังจากที่ท่านได้จำเนื้อหาทุกสิ่งที่อยู่ภายในนั้นเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อมันจักได้ใช้แบ่งปันกับศิษย์ทุกคน”

 

ผู้อาวุโสนิกายมองดูโหลวหลานจีด้วยดวงตาเบิกกว้าง โดยหลักแล้วพวกเขาไม่อยากเชื่อว่าเธอเป็นคนใจกว้างกับสมบัติวิญญาณเหล่านี้เพียงใด

 

อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายหยิบม้วนวิชาฝีมือและเห็นเนื้อหาข้างในจริงๆของมัน ดวงตาของพวกเขาก็เกือบถลนออกมาด้วยความตระหนก

 

“น-น-นี่มันเป็นวิชาฝีมือระดับปฐพี”

 

ผู้อาวุโสซุนอ้าปากค้างเมื่อเขาตระหนักว่าอะไรที่เขาถืออยู่ในมือ

 

วิชาระดับปฐพีเพียงแค่ต่ำกว่าวิชาระดับสวรรค์ที่มีเพียงสถานที่เช่นนิกายล้านอสรพิษจึงจะมี พวกเขาไม่ควรจะมีมากกว่าหนึ่งหรือสองเท่านั้น

 

“นี่ก็เป็นวิชาระดับปฐพีเช่นกัน”

 

ผู้อาวุโสนิกายอีกคนอ้าปากค้างเมื่อเธออ่านเนื้อหา

 

“มีมากกว่าหนึ่งเหรอนี่”

 

“ข-ข้าก็มีอีกหนึ่ง”

 

ผู้อาวุโสนิกายอีกคนพูด

 

โหลวหลานจียิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นของพวกเขา

 

“วิชาฝีมือทั้งหมดมีระดับปฐพีแปดเล่ม ระดับวิญญาณสิบห้าเล่ม ระดับมนุษย์ยี่สิบเจ็ดเล่มในกองนั้น”

 

โหลวหลานจีเผยให้พวกเขาเห็นถึงจำนวนที่แท้จริง

 

“ระดับปฐพีแปดเล่มเลยรึ”

 

ผู้อาวุโสจ้าวกรามตกลงไปถึงพื้นเมื่อได้ยินจำนวนนั้น

 

“นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด”

 

โหลวหลานจีดำเนินการพูดต่อไปด้วยเสียงโอ้อวด “ทั้งหมดนี้มาจากเพียงหนึ่งในจำนวนแหวนมิติ”

 

“นี่ช่างไม่น่าเชื่อ…ด้วยเพียงกองสมบัตินี้ เราก็ร่ำรวยเทียบเท่ากับนิกายล้านอสรพิษ และถ้าหากว่านี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในแหวนมิติอีกหลายวง…ข้าคงมิประหลาดใจถ้าพวกเราตอนนี้เป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก”

 

ผู้อาวุโสจ้าวปาดเหงื่อที่เกิดขึ้นบนหน้าผากจากการคิดเกี่ยวกับความร่ำรวยที่เพิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา

 

หลังจากผ่านไปหลายนาทีในการมองหาทั่วกองสมบัติ ผู้อาวุโสนิกายทั้งยี่สิบคนในห้องก็ได้หยิบสมบัติวิญญาณและวิชาฝีมือไปอย่างละหนึ่งต่อคน

 

“ตอนนี้เมื่อพวกท่านทั้งหมดได้เลือกวิชาฝีมือแล้ว ข้าต้องการให้ท่านฝึกฝนมันและเป็นกำลังอันแข็งแกร่งสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเมื่อนิกายล้านอสรพิษกลับคืนมา ข้าต้องการให้พวกท่านทุกคนสามารถปกป้องเหล่าศิษย์ได้อย่างเหมาะสม”

 

“ขอรับ ผู้นำนิกาย”

 

หลังจากที่พูดกับผู้อาวุโสนิกายอีกสองสามนาทีจากนั้น โหลวหลานจีก็ให้พวกเขาแยกย้ายกันไป ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องอบรม

 

“สุดท้ายข้าก็อยู่คนเดียว เฮ้อ”

 

โหลวหลานจีนั่งลงบนที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกอ่อนแอถึงที่สุด

 

แม้ว่าจะเห็นเหมือนว่าเธอยังสบายดีก่อนหน้านั้น โหลวหลานจีก็ยากที่จะประคองตัวจากการล้มลงเนื่องจากความเครียดและหมดเรี่ยวแรงตลอดช่วงเวลานี้ ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้เหล่าศิษย์กังวลเกี่ยวกับเธอมากกว่าที่เธอเป็นอยู่ไปกว่านี้

 

ยิ่งไปกว่านั้น การที่พลันมีจำนวนศิษย์ลดลงอย่างมหาศาลเป็นเหตุให้เกิดความเสียใจต่อเธออย่างใหญ่หลวง

 

หลังจากนั่งลงไปไม่กี่วินาที โหลวหลานจีก็รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของเธอค่อยๆหลุดลอยไป

 

เวลาต่อมาโหลวหลานจีก็หล่นลงจากเก้าอี้สู่พื้นโดยที่ดวงตาของเธอยังคงหลับอยู่ เห็นชัดว่าเธอตกอยู่ในการหลับลึกจนกระทั่งเธอไม่รู้สึกว่าตัวเธอเองกระทบพื้น

 

ไม่กี่วินาทีหลังจากที่โหลวหลานจีล้มนอนกับพื้น ร่างผอมร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องอบรม

 

นั่นคือซูหยาง และเขาก็ได้รอถึงเวลานี้

 

แม้ว่าโหลวหลานจีสามารถที่จะหลอกลวงศิษย์ทั้งหมดและกระทั่งผู้อาวุโสนิกายด้วยการแสดงของเธอ ซูหยางกลับเห็นซึ้งทุกสิ่งอย่างง่ายดาย

 

ซูหยางตรงเข้าไปหาร่างของโหลวหลานจีอย่างเยือกเย็นและอุ้มเธอขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิง และเขาได้ใช้ก้าวเก้าดาราโอบอุ้มร่างเธอไปตลอดทางจากห้องอบรมสู่ศาลาหยินหยางที่ซึ่งเขาได้วางร่างเธอลงอย่างนิ่มนวลบนเตียงของเธอ

 

ครั้นเมื่อเขาวางร่างโหลวหลานจีบนเตียงของเธอแล้ว เขาก็จ้องมองใบหน้าที่กำลังพักผ่อนของเธออยู่อย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าตกอยู่ในการครุ่นคิดอยู่อย่างลึกๆ

 

หลังจากยืนอยู่ที่นั่นอีกสองสามนาที ซูหยางก็ออกไปจากสถานที่นั้นอย่างเงียบๆกลับไปยังที่พักของเขาเองที่เขตศิษย์นอก ที่ซึ่งเซียวลี่ได้รอเขาอยู่

 

“ไปกันเถอ เซียวลี่ เราย้ายที่กัน”

 

เซียวลี่พยักหน้าและกลืนกินยาแปลงโฉม เปลี่ยนจากรูปโฉมอันไร้ที่ติไปเป็นแค่เด็กหญิงธรรมดา

 

หลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาทั้งคู่ก็ออกจากบ้านและตรงไปยังเขตกลางเพื่อหาบ้านใหม่