ต้องยอมรับว่า นานิเป็นเพื่อนซี้ที่ดีมากจริงๆ ถึงแม้หลายครั้งชอบทำหน้าตาทะเล้น แต่เวลาที่ควรสุขภาพเรียบร้อยเธอก็สุภาพเรียบร้อยมากกว่าใคร
นานิเข้าใจชัดเจนว่า ตอนนี้ที่หลินจือกับเทาเท่ต้องพัวพันทางร่างกาย ไม่ใช่เพราะหลินจือต้องการ แต่เหตุผลส่วนใหญ่เพราะถูกเทาเท่บังคับจนต้องจำใจทำเช่นนี้
ดังนั้นนานิจึงเตือนหลินจือให้ระวังเรื่องการคุมกำเนิดด้วยความจริงใจ เมื่อมีลูกขึ้นมา ความสัมพันธ์ของหลินจือกับเทาเท่จะคลุมเครือ
หลินจือพยักหน้า “เวลากลับฉันจะแวะซื้อที่ร้านขายยา”
ถ้าหากไม่ใช่นานิพูดเตือนขึ้นมา หลินจือคงลืมเรื่องคุมกำเนิดไปแล้ว
เมื่อคืนเธอถูกความเผด็จการของเทาเท่ทำให้สมองสูญเสียความสามารถในการคิดพิจารณาไป ตอนนั้นไม่คำนึงถึงเรื่องนี้เลยสักนิด ตอนนี้เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อคืนดูเหมือนว่าเทาเท่ไม่ได้ปกป้องเสียด้วยซ้ำ
หลินจือไม่คาดคิดเลยว่า เมื่อก่อนเธอเคยปรารถนาอยากมีลูกให้เทาเท่ เวลานี้กลับหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ราวกับแมงป่อง
หลังจากหลินจือออกจากบ้าน เทาเท่นั่งรับประทานอาหารกลางวันอยู่ในห้องรับแขกของเธอต่อไป พลางถือโอกาสนี้พูดคุยกับโซเมนและเพื่อนๆ
หลังจากประโยคที่บอกว่า “อยู่ด้วยกันทั้งร่างกาย” ถูกโยนส่งออกไป ทั้งสามคนนั้นพลันแตกกระเจิง
ไวท์มึนงง “ร่างกายอยู่ด้วยกันหมายความว่าอะไร”
โซเมนพูดหยอกล้อ “นอนด้วยกันแล้ว เมื่อคืนไอ้เท่ดื่มเหล้าที่บ้านฉันเยอะมาก หลังจากเมาแล้วก็คงเรื้อนไปเรื่อย”
นทีบดี “มันดื่ม แต่หลินจือไม่ได้ดื่ม เธอจะปล่อยให้มันเมาดิบจนทำอะไรได้ตามอำเภอใจเลยเหรอ”
ไวท์ “แล้ว หมายความว่ายังไงกันแน่”
โซเมน “ก็นอนด้วยกันไง ทำไมนอนด้วยกันแล้วยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ”
ทันใดนั้นโซเมนก็พูดอีกว่า “ฉันคิดออกแล้ว บางทีหลินจือคงแค่อยากมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกับมัน คงไม่นอนเปล่าๆ ฮ่าๆ”
เทาเท่ “…”
โซเมนคิดได้อย่างไร เขาดูไร้ยางอายขนาดนั้นเลยเหรอ
คิดไปคิดมา ในเมื่อเขาตกลงรับข้อเสนอของหลินจือแล้ว ก็ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเหลืออยู่แล้วจริงๆ ดังนั้นจึงตอบเข้าไปในกลุ่มอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่”
หลังจากที่เขาตอบรับ สามคนนั้นกลับเงียบกริบไปสักพัก จากนั้นก็ตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ” กันอย่างไม่ขาดสาย
เทาเท่ไม่สนใจความดีอกดีใจของคนอื่นบนความโชคร้ายของพวกเขา พูดกำชับเข้าไปในกลุ่มว่า “หลังจากนี้ถ้าเจอหน้ากัน อย่าเอาเรื่องนี้ไปล้อเธอเด็ดขาด”
นทีบดีพูดขึ้น “พวกเราเข้าใจ ถ้าหากล้อเธอจนโกรธ พาลไม่ต้องการนายแล้วนายจะทำยังไง”
ทั้งสามคนหัวเราะติดต่อกันขึ้นมาอีกครั้ง เทาเท่ไม่อยากสนใจพวกเขาแล้วจริงๆ
โชคดีที่ไวท์เปลี่ยนประเด็นพูดคุยถึงเรื่องพ่อแม่ของเขา “เรื่องพ่อแม่ของนาย นายคิดจะจัดการยังไง”
“ไม่ต้องสนใจหรอก” เทาเท่พูดแบบนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเขาจะไม่ประนีประนอม แม้แท้จริงแล้วเขาไม่อยากจัดการแบบนั้นเลย
ในเมื่อพวกเขาทำเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่แรก ไม่ช้าก็เร็วต้องมีวันที่ถูกเปิดโปงออกมา
เบลซไม่ใช่คนขี้หงอไม่กล้ามีเรื่องกับใคร ถึงแม้ว่าเขาจะเชื่อฟังคำสั่งที่พวกเขาจัดการให้อยู่กับซูซี แต่ถ้าหากว่าต่อไปความสัมพันธ์ของเขากับซูซีมีปัญหาอะไรกัน หรือมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกับเบลซ เบลซคงใช้เรื่องนี้มาบีบบังคับเขา
ดังนั้น สู้ให้เบลซเปิดโปงออกมาตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ
ทุกคนที่ควรเผชิญก็ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่เขา กระทั่งเขาและฟอเรนากรุปก็ต้องเผชิญเช่นเดียวกัน
นทีบดีพูดขึ้นมาว่า “คำวิจารณ์ในโลกออนไลน์ ไม่ค่อยน่าฟัง บางคนก็เกินไป นายฟ้องพวกเขาได้เลยนะ”
เทาเท่ตอบกลับ “หลังจากนี้ฉันจะประกาศขอโทษเพื่อเป็นการขอโทษเรื่องที่พ่อแม่ฉันเคยทำ นอกจากนี้ฉันจะไม่ทำการตอบโต้ใดๆ เมื่อถึงเวลานั้นยังมีคนคอยก่อกวนอยู่ ก็จะมอบให้นายจัดการแล้วกัน”
“อืม” นทีบดีตอบรับและพูดอีกขึ้นว่า “ฉันอ่านความคิดเห็นดูแล้ว ดูเหมือนว่าในปีนั้นพวกเขาจะทำข้อตกลงกับครอบครัวของเด็กผู้หญิงคนนั้น หลังที่เด็กผู้หญิงคนนั้นตายไปพวกเขากล่าวขอโทษและชดใช้ให้ครอบครัวของเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นเงินจำนวนมาก ในเมื่อพูดแบบนี้ เรื่องนี้ว่ากันตามเหตุผลคงใช้วิธีจัดการจัดเอง ครอบครัวของเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สืบสาวราวเรื่องอีก เช่นนั้นปีศาจตัวจริงก็คือเบลซ”
โซเมนทอดถอนหายใจ “เบลซมันใจแคบเกินไป เรื่องเหล่านี้เดิมทีเป็นแค่การแข่งขันของวัยรุ่น เขาจะช่วยซูซีเปิดบริษัทยังไม่พอ ตอนนี้ยังใช้ความสามารถของตัวเองผสมลงไปด้วยกัน ช่างไม่มีสมองจริงๆ”
เทาเท่พูดอย่างเย็นชา “คงคิดว่าหลายปีมานี้เขาใช้อำนาจบาตรใหญ่ในเมืองเจสเวิร์ดจนเคยชิน และคิดว่าใครๆ ก็ต้องยอมทำตามเขา”
โซเมนพูด “น้องหลินของพวกเรานี่โชคดีจริงๆ เบลซอยากจัดการเธอ เธอกลับได้รับพ่อแท้ๆ เข้ามาช่วย ซ้ำยังเป็นบอสใหญ่ระดับสูง กดเบลซให้ก้มหัวลงได้ทันที มิน่าล่ะเบลซถึงเป็นบ้าขาดสติขนาดนั้น”
ที่สำคัญเป็นหลินจือหลายปีนี้อ่อนแอเกินไป ไม่ว่าจะเป็นวงศ์ตระกูลหรือกระทั่งความสามารถของตัวเธอเอง และทัศนคติของเทาเท่ที่มีต่อเธอ และคนอื่นๆ ที่ราวกับจะฆ่าจะแกง เช่นนั้นจึงถูกเบลซกดขี่ข่มเหงอยู่ร่ำไป
เทาเท่เมื่อเห็นโซเมนเรียกหลินจือด้วยชื่อแบบนั้น ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจทันที “น้องหลิน?”
โซเมนรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกว่าชอบหลินจือมาก จนอยากได้เธอเป็นน้องสาวที่รักและน่าทะนุถนอม”
โซเมนเรียกว่าเธอว่าน้องสาว เพราะไม่มีความรักระหว่างชายหญิงใดๆ อยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าเทาเท่เมื่อได้ฟังเช่นนั้นท่าทีก็เปลี่ยนไป ตอบกลับโซเมนอย่างเย็นเพียงสองคำ “เหอะๆ”
ไวท์พูดตอบโซเมน “นายมีน้องสาวกี่คนกันแน่”
โซเมน “…”
ยังไม่รอให้อธิบายอะไร เทาเท่ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ตามอายุ นายไม่ควรเรียกเธอว่าพี่สะใภ้หรอกเหรอ”
เทาเท่อายุมากที่สุดในกลุ่มพวกเขา ดังนั้นจึงควรคำพูดนี้
โซเมน “เทาเท่ ฉันรู้จักนายมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่เห็นว่านายหน้าด้านขนาดนี้ ความสัมพันธ์ของนายกับเธอยังไม่พัฒนาไปไหนเลย ไม่กระดากใจบ้างเหรอที่ให้เรียกเธอว่าพี่สะใภ้”
นทีบดีโผล่ออกมา “ความสัมพันธ์ยังไม่พัฒนา เทาเท่ตอนนี้นายกลายเป็นแค่เพื่อนนอนของเธอใช่ไหม”
สีหน้าของเทาเท่กำเป็นก้นหม้อ ถ้าหากสามคนนี้อยู่ตรงหน้าเขา เขาคงได้ลงมือกับพวกมันแน่ๆ
ไม่อยากสนใจพวกเขาอีก เทาเท่จึงเปลี่ยนไปคุยกับโซเมน “ช่วยเชิญพ่อครัวร้านอาหารนายมาให้ฉันหน่อย ฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้เขา ให้เขามาสอนฉันทำอาหาร”
ในเมื่อมีเวลาว่างขนาดนี้ เป็นธรรมดาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองให้ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกขั้น
เขาเตรียมตัวเรียนทำอาหาร และเตรียมตัวเรียนรู้ความรู้ด้านวรรณกรรมละคร พยายามหาเรื่องพูดคุยเรื่องเดียวกันกับหลินจือ
เจเทาวน์ชำนาญเรื่องการทำอาหาร และด้านวรรณกรรมละครก็เป็นงานถนัดของโนอาห์ต้องเรียนรู้ถึงจุดแข็งของพวกเขา รวมกระทั่งไอดอลเด็กหนุ่มโจมอนคนนั้น ซึ่งได้เปรียบแค่เรื่องอายุ
ข้อนี้เขาไม่มีวิธีแก้ไข เขายอมรับถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่กำลังวังชาก็ไม่แพ้ไอดอลเด็กหนุ่มเลยสักนิด
เรื่องเมื่อคืนพิสูจน์ได้ดีที่สุด
สำหรับการเปลี่ยนเรื่องพูดคุยอย่างกะทันหันของเทาเท่ โซเมนและคนอื่นๆ เห็นจนชินตาเสียแล้ว เขาจึงรับปากอย่างสบายๆ ถือโอกาสพูดหยอกล้อเทาเท่ “รอนายเรียนรู้จนนำไปใช้ได้แล้ว ก็มาเลี้ยงข้าวพวกเราด้วยนะ”
เทาเท่ก่นด่า “ทำไมหน้าด้านขนาดนี้”
นทีบดีพูดเสียงอ่อน “ความรักความผูกพันของเทาเท่มีให้แค่หลินจือ พวกเราไม่มีวาสนานั้นหรอก”
โซเมนพูดแขวะเทาเท่ “ไม่มีคุณธรรม”