บทที่ 342 จดหมายตอบกลับ
แสงแดดเวลาเที่ยงวันช่างอบอุ่นและสว่างจ้า ห้องค้นคว้าวิจัยก็มีแสงแดดสีทองรำไรปกคลุม ทั้งดักลาสและลูเซียนออกจากห้องไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเฟอร์นันโดนั่งอยู่บนเก้าอี้คนเดียวเงียบๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน มหาจอมเวททั้งสองคนได้อภิปรายกันถึงวิธีการที่ลูเซียนควรใช้ในการเสนอและตีพิมพ์บทความ พวกเขาตัดสินใจร่วมกันว่าจะเผยแพร่บทความสักสองสามชิ้นก่อนในวารสารอาร์คานาฉบับเดือนหน้าว่าด้วยเรื่องความพยายามของเหล่ามหาจอมเวทในการศึกษากฎเกณฑ์ของสูตรซึ่งประสบความล้มเหลว เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเตรียมตัวเตรียมใจรับความตกตะลึงจากการค้นพบครั้งใหม่จากบทความของลูเซียน
พวกเขาจะไม่พยายามบังคับให้จอมเวทต้องยอมรับทฤษฎีของลูเซียนในทันที เพราะนี่ยังคงเป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น แต่ด้วยการอ่านบทความที่ปูพื้นฐานสองสามชิ้นดังกล่าว จอมเวททั้งสองพยายามค่อยๆ ฝังแนวคิดลงในสมองของจอมเวททีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นทั้งคู่จึงพยายามเอ่ยถึงคำว่า ‘สมมติฐาน’ อยู่เสมอ
“ไม่น่าเชื่อ… แปลกประหลาด… ล้มล้างทฤษฎี…” เฟอร์นันโดพูดพึมพำกับตัวเอง คำเหล่านี้ล้วนเป็นคำที่เขาใช้แสดงความคิดเห็นต่อทฤษฎีของลูเซียน ก่อนที่เขาจะมีรอยยิ้มแฝงเลศนัยและพูดออกมา “ข้าอยากรู้ว่าใครจะโผล่มาคนแรกเมื่อได้ข้อสรุปที่น่าเหลือเชื่อจากครึ่งแรกของบทความนี้… แฮททาเวย์ หรือบรูค?”
แฮททาเวย์เป็นผู้ก่อตั้งทฤษฎีอะตอม และนางยังสนับสนุนทฤษฎีอนุภาคของดักลาส ซึ่งทำให้นางน่าจะเป็นคนที่ได้ผลสรุปเดียวกันมากที่สุด มหาจอมเวทอีกสี่คนรวมเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่น และในกลุ่มนี้ บรูคเป็นผู้สนับสนุนที่หนักแน่นที่สุด อย่างไรก็ตาม บรูคก็เป็นมหาจอมเวทที่ทรงภูมิและมีพลังอำนาจมากที่สุดในบรรดาห้าคน
“ถ้าให้เดา… ใครกันนะจะมาหาข้าก่อน?” เฟอร์นันโดรำพึงรำพันอยู่คนเดียว
ตอนที่เขาพูดอยู่นั่นเอง สายตาของเฟอร์นันโดก็เหลือบไปมองกระจกตรงมุมห้อง ในกระจกบาน มีชายชราในเสื้อคลุมสีแดงสดคนหนึ่งยืนอยู่ ผมของชายชราคนนี้มีสีขาวสลับดำ แต่อย่างไรก็ตาม ผมหงอกสีขาวมีเยอะกว่ามาก
รอยยิ้มหายไปจากหน้าเฟอร์นันโด เขายกมือขวาขึ้นจับที่ผมของตัวเองเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาหยิบสมุดบันทึกเก่าๆ เล่มหนึ่งออกมาจากเป็นลิ้นชัก แล้วเปิดไปหน้าเกือบสุดท้าย แล้วเริ่มจดบันทึกลงไป
‘วันที่ 6 กรกฎาคม ท้องฟ้าสดใส มีลมพัดเบาๆ แต่อยู่ๆ ข้ากลับรู้สึกแก่’
เมื่อวางปากกาขนนกลง เฟอร์นันโดก็มองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดสว่างจ้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย
…
ลูเซียนกลับมาถึงบ้านของตัวเอง
ลีโอสังเกตเห็นความผิดปกติบนหน้าของลูเซียน แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา ขณะที่สปรินต์ซึ่งพึ่งเสร็จจากการทบทวนวิชาถามด้วยความสงสัย “ท่านอีวานส์ สีหน้าไม่ค่อยดีเลยขอรับ วันนี้ ท่านเฟอร์นันโดใช้งานท่านหนักมากหรือขอรับ?”
สปรินต์ไม่ได้ถามไปตรงๆ ว่าเจ้าแห่งพายุตะโกนโวกเวกโวยวายใส่อีวานส์อีกหรือเปล่า
“ข้าดูไม่ดีหรือ?” ลูเซียนสับสนเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อลูเซียนมองเงาตัวในรูปปั้นคริสตัล เขาก็เห็นว่าหน้าของเขาซีดราวกับกระดาษ ราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นออกมาจากหลุมฝังศพ
ลูเซียนไม่คิดว่าพลังของผู้วิเศษชั้นตำนานจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
“ใช่… มีโจทย์ที่น่าปวดหัวมากๆ” ลูเซียนยิ้มออกมา “คำถามเกี่ยวกับความสงบสุขของโลกทั้งใบ”
สปรินต์แสยะยิ้ม “ล้อเล่นหรือเปล่าขอรับ ท่านอีวานส์? หรือว่าท่านเจ้าแห่งวายุพยายามทำลายโลก แล้วท่านหยุดเขาไว้?”
“ไม่… ตรงกันข้ามเลย ข้านี่แหละที่พยายามทำลายโลก แต่ท่านเฟอร์นันโดหยุดข้าไว้” แม้ว่าสีหน้าของลูเซียนยังคงซีดเผือด แต่เขาก็ยังอารมณ์ดี เนื่องจากเขาสามารถเสนอสมมติฐานอันน่าตกตะลึงให้กับอาจารย์โดยไม่ทำให้อาจารย์ของเขาสมองระเบิดออกมาได้สำเร็จ
สปรินต์ไม่ได้เป็นคนชอบพูดติดตลก เขาทำได้มองเพดานแล้วบอกว่า “ท่านอีวานส์ ถึงเวลามื้อกลางวันแล้วขอรับ…”
เมื่อเห็นจานสเต็กเหมือนเดิมวางอยู่บนโต๊ะอาหาร ลูเซียนก็นวดขมับตัวเอง ถึงเวลาที่พ่อครัวต้องคิดหาอะไรใหม่ๆ บ้างแล้ว
ณ ตอนนั้น แคทรีนาเดินตามหลังข้ารับใช้เข้ามา ใบหน้าอันงดงามของนางมีรอยยิ้มกว้าง
“ท่านอีวานส์! ผลการขออนุญาตตั้งสถาบันอะตอมออกแล้ว!” แคทรีนาบอกเอกสารในมือไปมาและพูดด้วยเสียงดัง
“นี่เพิ่งไม่กี่วันเอง…” ลูเซียนประหลาดใจมาก
ในกรณีส่วนใหญ่ การตรวจสอบจะใช้เวลามากกว่าสองสัปดาห์
“ใบสมัครของท่านมีลายมือชื่อของมหาจอมเวทรับรองเจ้าค่ะ! แน่นอนว่าพวกเขาจะรีบดำเนินการให้” แคทรีนาพูดด้วยความตื่นเต้น “ท่านอีวานส์ เปิดดูผลกันเถอะเจ้าค่ะ!”
ซองใส่เอกสารต้องใช้เหรียญตราอาร์คานาของลูเซียนในการเปิด
สปรินต์เฝ้ารอวันนี้มายาวนาน เขาจึงรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
ลูเซียนหยิบเหรียญตราออกมาอย่างใจเย็นก่อนจะประทับลงบนผนึกบนซองเอกสาร ลูเซียนหยิบเอกสารออกมา และอ่านผ่านๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับหลัง
“การสมัครได้รับอนุญาตแล้ว คณะกรรมการหวังว่าเราจะทำงานกันอย่างหนัก เนื่องจากเรากำลังศึกษาหัวข้อวิจัยเรื่องใหม่”
“สุดยอด!” สปรินต์เขย่ากำปั้นไปมาอย่างมีความสุข
แคทรีนาก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน “ยินดีด้วยเจ้าค่ะท่านอีวานส์ ยินดีด้วยเจ้าค่ะ!”
ลูเซียนสวมกอดลูกศิษย์ทั้งสองคน แต่ก็แอบนึกในใจว่าหนุ่มสาวสองคนนี้ยังไร้เดียงสาเกินไป สิ่งที่คณะกรรมการพยายามบอกก็คือพวกเขาอนุมัติใบสมัครก็เพราะเจ้าแห่งวายุ ฉะนั้น ลูเซียนต้องทำงานให้หนักเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าการตัดสินใจนี้สมเหตุสมผลแล้ว
“แล้ว… สถาบันของเราจะอยู่ที่ไหนเจ้าคะ?” แคทรีนาถามด้วยดวงตาที่เป็นประกายจากความตื่นเต้น
ลูเซียนหยิบเอกสารขึ้นมาดูอีกครั้ง “สถาบันจะตั้งอยู่ที่ห้องทดลองหมายเลขเจ็ด และห้องประชุมและสำนักงานจะตั้งอยู่ที่ชั้นสิบแปดของสำนักงานใหญ่สภาเวทมนตร์ ข้าต้องไปแจ้งเขาว่าข้าต้องการห้องทดลองแบบไหนและอุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องใช้ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นเดือนสิงหาคม สถาบันอะตอมจะเริ่มงานอย่างเป็นทางการ”
“นอกจากนี้ ทุกๆ เดือน เราจะได้รับทุนสนับสนุนอาร์คานาห้าพันคะแนนเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์และเป็นค่าจ้าง” ลูเซียนอธิบายเพิ่มเติม “ข้าตัดสินใจว่า… สิบคะแนนอาร์คานาจ่ายให้นักเวทฝึกหัดชั้นสูงทุกเดือน คนที่เป็นนักเวทแล้ว ให้ขึ้นอยู่กับระดับ สมมติว่าเป็นจอมเวทระดับสองและนักเวทระดับสองเหมือนลาซาร์… จ่ายหนึ่งร้อยคะแนนอาร์คานา”
สำหรับตัวลูเซียนเอง เขาไม่กำหนดผลตอบแทนแบบคงที่ เนื่องจากเขาจะได้ผลประโยชน์จากการรายงานสภาถึงต้นทุนการทดลอง ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาเนิ่นนานในสภาเวทมนตร์
“เยอะมาก!” ทั้งสปรินต์และแคทรีนาต่างตกใจมาก ทั้งสองรู้ว่าตอนที่อีวานส์ทำงานให้กับสำนักเวทมนตร์ เขาได้รับผลตอบแทนเพียงสิบคะแนนต่อเดือน! นอกจากผลตอบแทนแล้ว พวกเขายังได้อ่านตำราอาร์คานาศาสตร์ในสถาบันและทำการทดลองโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นี่เป็นงานในฝันของนักเวทฝึกหัดและนักเวทหน้าใหม่ทุกๆ คน!
ลาซาร์สามารถหาได้เพียงห้าสิบถึงหกสิบคะแนนอาร์คานาต่อเดือนจากการทำงานให้กับทั้งสภาเวทมนตร์และองค์กรเจตจำนงแห่งธาตุ รวมถึงผลตอบแทนที่เขาได้จากบทความ สำหรับแคทรีนา แม้นางจะได้ทำงานในฝันของบรรดานักเวทฝึกหัด แต่นางก็หาได้เพียงเดือนละสี่คะแนนเท่านั้น
“แน่นอน สถาบันอะตอมจะเป็นหนึ่งในฝ่ายวิจัยที่สำคัญที่สุดในอนาคต ผลตอบแทนของเราจึงสูงขนาดนี้” ลูเซียนพูดกึ่งติดตลก “ตอนนี้ เราไม่ต้องการคนมากเกินไป ข้าคิดว่าจะจ้างนักเวทสักสองสามคน กับนักเวทชั้นกลางอีกสักคน”
“ท่าน… ท่านมีความมั่นใจสูงมาก ท่านอีวานส์” สปรินต์แสยะยิ้มอีกครั้ง
“ข้าเชื่อในตัวท่าน ท่านอีวานส์! ท่านเกือบจะได้รางวัลมาลัยเกียรติยศร่วมกับท่านหญิงอิซาเบลลาแล้วครั้งนี้” แคทรีนาก็ปล่อยมุกตลกเช่นกัน “ถ้าได้ทำงานกับท่าน ท่านอีวานส์ บางทีสักวันข้าอาจได้มีหน้ามีตาเหมือนกับราเชล!”
ลูเซียนยิ้มกว้าง “เราต้องรู้สึกถึงความกดดัน คณะกรรมการให้เวลาเราสามปี เราต้องมีผลงานให้พวกเขาเห็นภายในสามปี ไม่อย่างนั้นโครงการจะถูกยกเลิก”
การวิจัยอาร์คานาส่วนใหญ่ล้วนใช้เวลายาวนาน
“เราจะทำงานหนัก!” แคทรีนาและสปรินต์ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ลูเซียนโบกเอกสารไปมาอย่างสบายใจแล้วพูดกับแคทรีนา “อยู่ก่อน กินมื้อกลางวันกับเรา เราจะไปตรวจดูห้องทดลองกันวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย”
…
หลังจากวิเซนเต มิรันดา หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ธานาทอส’ กลับไป เฟอร์นันโดก็ยิ้มหัวเราะเยาะและพูดออกมา “วิเซนเต เจ้ามาเป็นคนสุดท้าย”
สีหน้าของเฟอร์นันโดแดงปลั่งจากการอภิปรายและการโต้เถียงอันดุเดือดตลอดช่วงบ่าย ขณะเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน เฟอร์นันโดก็หยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าออกมาอีกครั้ง และเขียนต่อจากที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้
‘หลังจากอภิปรายและโต้เถียงตลอดบ่าย ข้ารู้สึกสดชื่นและมีพลังอีกครั้ง ข้ามองเห็นความยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ ข้ากำลังหลงใหลกับความงามและความจริงอันน่าตกตะลึง ข้าจะเดินบนเส้นทางนี้จนกว่าจะถึงวันที่ข้าตาย’
…
หลังจากการตรวจงานที่สถาบันอะตอมซึ่งกำลังก่อสร้าง ขณะลูเซียนกำลังจะกลับ เขาก็ได้ยินเสียงบางคนเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่มั่นใจ
“ท่านลูเซียน อีวานส์ ใช่ไหมเจ้าคะ?”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู ลูเซียนก็เห็นราเชลและสตรีผู้ทรงสง่าและงดงามคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ นาง
…………………………………………..