“คุณชายเย่ คุณตื่นเต้นมั้ยครับ”
ลูกน้องของเย่เทียนสังเกตดูเย่เทียนจากกระจกมองหลังและพลันถามขึ้นมา
“นายตื่นเต้นมั้ย?”
เย่เทียนที่กำลังพักสายตาอยู่ลืมตาขึ้น และมองลูกน้อยที่ตัวสั่นเล็กน้อยทว่าสายตาเปล่งประกายตื่นเต้นดีใจ
ตื่นเต้นมั้ย?
คำตอบคือแน่นอน–ตื่นเต้น!
การไปฐานทัพใหญ่ของแก๊งมังกรด้วยตัวคนเดียวมีหรือที่เขาจะไม่ตื่นเต้น?
แต่ความตื่นเต้นเป็นเพียงส่วนน้อย ในใจของลูกน้องคนนี้รู้สึกดีใจมากกว่า!
คนที่นั่งอยู่เบาะหลังคือใคร?
คุณชายเย่! นั่นคือคนระดับสุดยอดที่แม้แต่พี่ใหญ่ยังต้องนอบน้อมเคารพนับถือ สุดยอดไอดอลของนักเลงเป็นพันเป็นหมื่น เขาจะไม่ดีใจได้ยังไง?
คิดมาถึงตรงนี้ ลูกน้องรีบตอบ “คุณชายเย่ครับ ผมไม่ตื่นเต้น ผมแค่ดีใจ”
ไม่รอให้เย่เทียนตอบอะไร ลูกน้องคนนั้นก็พูดด้วยท่าทีพะเน้าพะนอ “คุณชายเย่ คุณเป็นไอดอลของผม คุณช่วยเซ็นชื่อให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ”
เย่เทียนผงะ แล้วอดขำไม่ได้
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! นี่ตัวเองเป็นดาราไปแล้วหรือไง?
เอี๊ยดๆ!
และในตอนนั้นเอง รถตู้หลายคันพุ่งพรวดออกทางแยกกะทันหัน และขวางทางที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไป
ลูกน้องตระหนักได้ทันที สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก และกำลังจะถอยรถกลับ
เอี๊ยดๆ!
แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป มีรถตู้หลายคันขับมาด้านหลังเช่นเดียวกันและปิดทางถอย!
“คุณชายเย่…..”
สีหน้าของลูกน้องย่ำแย่ลงไปโดยสิ้นเชิง
ยังไงก็เป็นคนที่หาข้าวกินในยุทธภพนี้ บวกกับปฏิบัติการใหญ่ในคืนนี้ อนุมานได้ว่าเรื่องนี้เป็นเจตนาของใครสักคนแน่นอน
“ดูท่าพวกนั้นไม่ได้โง่เหมือนที่เราคิดนะ!”
เย่เทียนกวาดสายตามองผ่านกระจกรถหลังและตบไหล่ลูกน้องคนนั้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “นายอยู่ในรถนี่แหละ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
พูดจบเย่เทียนก็เปิดประตูรถออกโดยไม่ลังเลและเดินลงไป เขามองผู้คนที่ปิดทางไว้อย่างเกียจคร้าน
“ไอ้เวรเอ๊ย!”
หลังจากผงะไปชั่วขณะ ลูกน้องก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว และกดโทรศัพท์หาหลิวชิง “พี่ใหญ่ครับ คนของแก๊งมังกรคงจะได้ข่าวแล้ว ตอนนี้ผมกับคุณชายเย่โดนพวกเขาปิดทางไม่ให้เดินหน้า”
หลังจากวางสาย ลูกน้องคนนั้นก็ล้วงเอามีดปอกผลไม้เล่มหนึ่งออกจากใต้ที่นั่ง เขาถอดเสื้อผ้าบนตัวและรัดมีดไว้กับมืออย่างแน่นหนาแล้วจึงเดินลงจากรถ ยืนอยู่ข้างเย่เทียนด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
เย่เทียนเหลือบมองลูกน้องคนนั้นและพูดด้วยสีหน้าแปลกใจ “นายลงมาทำไม?”
“คุณชายเย่ ในเมื่อพี่ใหญ่มอบหมายหน้าที่ให้ผมไปส่งคุณ ต่อให้ผมต้องแลกด้วยชีวิตนี้ก็จะไม่ยอมปล่อยให้คุณเป็นอะไร”
ลูกน้องคนนั้นมองเหล่าผู้คนที่เดินลงมาจากรถตู้ด้วยสายตาอึมครึม น้ำเสียงของเขายังนอบน้อมอยู่ แต่คำพูดเย็นชาอยู่บ้าง
“เดี๋ยวสิ นาย……” เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แต่น่าเสียดายที่ลูกน้องคนนั้นไม่ยอมรับความใจดีของเขา และขัดคำพูดของเย่เทียนขึ้น พร้อมพูดเสียงกังวาน “คุณชายเย่ คุณไม่ต้องเกลี้ยกล่อมผมหรอกครับ ผมหยางซิงไม่ใช่คนที่รักตัวกลัวตาย!”
เขามองใบหน้าเข้มแข็งของหยางซิง เย่เทียนรู้ว่าเขาเกลี้ยกล่อมต่อไปก็เปล่าประโยชน์ เขาอดมองหยางซิงดีขึ้นไม่ได้และเลิกทำการเกลี้ยกล่อม
มีคุณธรรมพอ! เขาคือลูกผู้ชาย!
หลังจากผ่านคืนนี้ไป เย่เทียนจะบอกให้หลิวชิงเลื่อนตำแหน่งคนนี้หน่อย
รถตู้สิบกว่าคันเปิดออก คนนับสิบที่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกนักเลงลงมาจากรถ แต่ละคนมือถือท่อเหล็กและมีด พร้อมจ้องทั้งสองคนที่ถูกล้อมไว้ด้วยสายตาอาฆาต
คนที่เดินนำมาด้านหลังคือรองหัวหน้าแก๊งมังกร ข่งเทียนเฉิง
ส่วนคนที่นำอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่ใช่หมาป่าโลภแล้วจะเป็นใคร? !
“แหม หมาป่าโลภ แกดูถูกฉันเกินไปหรือเปล่า แกเอาคนมาแค่นี้คิดว่าจะหยุดฉันไว้ได้เหรอ”
เย่เทียนแสยะยิ้มอย่างดูแคลน สายตาจ้องมองหมาป่าโลภอย่างเย้ยหยัน
เมื่อเขาพูดแบบนี้หมาป่าโลภก็ขมวดคิ้วเป็นปม
เขารู้จักเย่เทียน แต่ก็เป็นการรู้จักผ่านภาพถ่าย ไม่เคยได้เจอตัวจริงของเย่เทียน แล้วเย่เทียนรู้จักเขาได้ยังไง?
คิดมาถึงตรงนี้ หมาป่าโลภถามอย่างแปลกใจด้วยเสียงแหบแห้ง “นายรู้จักฉันเหรอ?”
“หนึ่งในสามของหัวหน้าแก๊ง S.P.L เป็นยอดฝีมือระดับดำตั้งแต่อายุยังน้อย”
เย่เทียนคลี่ยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว “ด้วยคุณสมบัติของแก จะก้าวสู่ระดับดินนั้นเป็นแค่เรื่องของเวลา”
“ในเมื่อนายรู้อยู่แล้ว ก็ยอมจำนนแต่โดยดีเถอะ แล้วฉันจะพิจารณาเหลือศพแบบเต็มตัวให้นาย!”
หมาป่าโลภแค่นเสียงเย็น ท่าทางไม่เหมือนบอกให้คนอื่นรอความตาย แต่เหมือนถามว่ากินข้าวหรือยังมากกว่า
อย่างที่เย่เทียนพูด เขามีต้นทุนให้ยโส
“ไม่ๆๆ แกอย่าเข้าใจฉันผิด”
เย่เทียนส่ายหัวเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นยะเยือกในบัดดล “ที่ฉันพูดมาหมายถึงตอนที่แกไม่มาแหยมฉัน แต่ตอนนี้แกแหยมฉันแล้ว วันนี้ในปีหน้าคือวันครบรอบวันตายของแก!”
ไม่รอให้หมาป่าโลภตอบอะไร ข่งเทียนเฉิงในฐานะรองหัวหน้าก็ด่ากราดขึ้นมาก่อน
“คนแซ่เย่ แกไม่แหกตาดูดีๆวะ จะตายอยู่แล้วยังจะพูดจาสามหาวอีก?”
“เฮอะ ถ้าแกรู้จักมองสถานการณ์ก็คุกเข่าขอโทษพี่ใหญ่หมาป่าโลภแต่โดยดีซะ ถ้าพี่ใหญ่หมาป่าโลภอารมณ์ดีอาจจะให้แกได้ตายแบบไปสบายก็ได้ไ
“แหม แกนี่โง่หรือโง่วะ?”
เย่เทียนหันไปมองเขานิ่งๆ ไม่หวั่นไหวเลยสักนิด “สมองหมูอย่างแกไม่รู้ว่าขึ้นมารับตำแหน่งนี้ได้ยังไง”
“ไอ้เวรนี่…..” ข่งเทียนเฉิงบันดาลโทสะ กำลังจะด่ากลับ แต่หมาป่าโลภขัดขึ้นมาก่อน
“จะพูดโม้น่ะใครๆก็ทำได้ แต่ไม่รู้ว่านายจะมีปัญญาขนาดนั้นจริงๆมั้ย”
หมาป่าโลภเป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของข่งเทียนเฉิงในตอนนี้ เขาไม่อยากทำให้หมาป่าโลภไม่พอใจ จึงถลึงตาใส่เย่เทียนอย่างโหดเหี้ยมแต่ไม่กล้าขัดคำพูดของหมาป่าโลภ
เย่เทียนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “แกมาลองดูก็รู้เอง”
“เฮอะ!”
หมาป่าโลภแค่นเสียงเย็นในบัดดล เขาลำเลียงกำลังภายในปลดปล่อยพลังสุดแข็งแกร่งออกมา พลังนั้นมวลหนาประหนึ่งมีรูปลักษณ์และถาโถมไปหาเย่เทียน
ชั่วขณะนั้น เวลาราวกับหยุดนิ่ง อุณหภูมิเย็นยะเยือกลงในบัดดล
หยางซิงที่ยืนอยู่ข้างเย่เทียนรู้สึกเพียงหายใจลำบากขึ้น เขาขยับฝีก้าวออกจากเย่เทียนเล็กน้อยถึงรู้สึกหายใจคล่องขึ้น
กลับมามองเย่เทียนที่อยู่จุดศูนย์กลางกลับมีสีหน้าปกติ ไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด
สมัยเขาอยู่ระดับฝึกพลังชั้นสี่ก็สามารถปราบคนระดับดำได้ ตอนนี้เขาก้าวสู่ระดับฝึกพลังชั้นห้าแล้ว จะแยแสแรงกดดันที่คนระดับดำปลดปล่อยออกมาได้ยังไง
เมื่อเห็นท่าทีของเย่เทียน หมาป่าโลภมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
การที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของเขาเลยมีเพียงสาเหตุเดียว
นั่นก็คือพลังของเย่เทียนอย่างแย่ที่สุดก็อยู่ระดับเดียวกับเขา ระดับดำชั้นต่ำ
การสันนิษฐานนี้ทำให้หมาป่าโลภยอมรับได้ยาก เขาสู้ศึกมานับไม่ถ้วน เจอสงครามหฤโหดมานักต่อนักถึงได้มีพลังขนาดนี้
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาฝึกยุทธมาตั้งแต่หกขวบ จนบัดนี้ก็สามสิบกว่าปีแล้ว
แต่เย่เทียนล่ะ?
ดูแล้วอายุน่าจะแค่ยี่สิบนิดๆ ห่างจากเขาตั้งสิบกว่าปีแต่เขากลับอยู่ระดับดำชั้นต่ำ การเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดนี้ส่งผลให้หมาป่าโลภผู้โอหังรับไม่ได้
ไม่รอให้หมาป่าโลภได้คิดให้ถี่ถ้วน เสียงเบรคอย่างแรงดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
ด้วยการส่งข่าวของหยางซิง ในที่สุดกำลังสนับสนุนของหลิวชิงและเชิ่งหู่ก็เดินทางมาถึง และล้อมอยู่ด้านนอกเป็นวงที่ใหญ่ขึ้นจนปิดทางคนของแก๊งมังกรไว้หมด
ศึกที่ชี้ชะตาของโลกใต้ดินเมืองเจียงหนันกำลังจะเริ่มขึ้น…