เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไม่ได้พูดอันใด
ซูจิ่นซีเป็นห่วงร่างกายของเยี่ยโยวเหยาจริงๆ นางเกรงว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ยอมรับปาก จึงคว้ามือของเยี่ยโยวเหยาและจงใจพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันทำได้ ท่านเชื่อหม่อมฉัน กลับไปรอฟังข่าวดีของหม่อมฉันนะเพคะ! ”
หลังสิ้นเสียงคำพูดของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็โอบเอวของนาง “ซูจิ่นซี ตอนอยู่ที่จวนอ๋อง หากเจ้าทำตัวน่ารักเช่นนี้ บางทีข้าอาจโปรดปรานเจ้าอยู่บ้าง ทว่าอยู่ที่นี่… ” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางโน้มตัวลงไปเอ่ยข้างหูซูจิ่นซี “เก็บเอาไว้ก่อน กลับไปข้าจะจัดการเจ้า อย่างไรก็ตาม… เวลานี้ชีวิตของประชาชนและการแก้ปัญหาวุ่นวายที่อยู่เบื้องหน้าสำคัญที่สุด”
แก้มของซูจิ่นซีพลันแดงก่ำ กระทั่งใบหูและต้นคอก็แดงระเรื่อ
ทำตัวน่ารัก?
นางเคยทำที่ไหนกัน?
ชายผู้นี้ เริ่มเลอะเลือนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ทั้งยังเลอะเลือนโดยไม่คำนึงถึงกาลเทศะอีกด้วย
ซูจิ่นซีคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดุดันของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้น “ซูจิ่นซี ยังไม่ไปอีก! ”
ไป!
ไปแน่นอน!!!
ซูจิ่นซีเกรงว่าเยี่ยโยวเหยาจะพูดคำที่ไม่ถูกกาลเทศะอีก จึงชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ “เสียงพิณอยู่ทางนั้นเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยาโอบเอวซูจิ่นซี พาเหาะขึ้นไปบนหลังคา
ภายใต้แสงจันทร์สว่างไสว เรือนร่างของทั้งสองสอดประสานเข้าด้วยกัน พวกเขากระโดดเหาะข้ามกำแพงอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ทั้งสองมาหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าหอเซียงฟางแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง
ตอนนี้เสียงพิณดังอย่างชัดเจน ไม่เพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่ได้ยิน แม้แต่เยี่ยโยวเหยาที่ร่างกายบาดเจ็บยังสัมผัสได้ถึงเสียงพิณ
เยี่ยโยวเหยากำลังจะพาซูจิ่นซีเดินเข้าไป ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ดึงมือเยี่ยโยวเหยาไว้
“มีอันใด? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีสิ่งใดผิดปกติหรือ? ”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเคยสังเกตหรือไม่ แม้วิธีการใช้พิษจะมีรูปแบบเหมือนแคว้นไหวเจียง ทว่าเสียงพิณกลับไม่ใช่ทำนองของแคว้นไหวเจียง นอกจากนั้น ครั้งก่อนตอนที่พวกเราต่อสู้กับศพพิษของแคว้นไหวเจียงที่ชานเมือง เสียงขลุ่ยที่ควบคุมศพพิษเหล่านั้นก็ไม่ใช่ทำนองของแคว้นไหวเจียง”
ขณะที่พูด ในความคิดของซูจิ่นซีก็ค่อยๆ ปรากฏภาพของผู้ที่สวมชุดสีขาวซึ่งปรากฏตัวบนหน้าผาแถบชานเมืองก่อนหน้านี้
แววตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยากลับสงบนิ่ง มองไม่เห็นถึงความคิดที่แท้จริงภายในใจ
“เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน! ”
“อืม! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า “ระวัง ด้านในอาจมีกับดัก”
ทั้งสองสบตากัน ในสายตาของพวกเขาปรากฏความเข้าใจซึ่งกันและกันโดยปริยาย
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซี แววตาของเขาเย็นชาและเฝ้าระวัง
นิ้วมือของซูจิ่นซีเย็นเฉียบ ปลายนิ้วหนีบเข็มเงินไว้ ฝ่ามือกุมผงพิษ
ขณะที่เยี่ยโยวเหยากำลังจะใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก ทันใดนั้นแมลงปอโลหิตจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากด้านในหอเซียงฟาง เยี่ยโยวเหยาใช้กระบี่สกัดกั้น ซูจิ่นซีรีบสาดเข็มเงินและผงยาพิษในมือ
แมลงปอโลหิตถูกเข็มเงินและผงยาพิษของซูจิ่นซี จึงร่วงลงพื้นราวกับใบไม้สีแดง
เสียงพิณหยุดลงกะทันหัน จากนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าทรงพลังและดุดันยิ่งกว่าเดิม
เสียงพิณทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ แมลงปอโลหิตจำนวนมากพุ่งออกมาจากด้านในหอเซียงฟางตามจังหวะเสียงพิณ มันเข้าจู่โจมซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา นอกจากนั้น ที่ลำตัวของเหล่าแมลงปอโลหิตยังกระจายกลิ่นพิษที่เข้มข้นยิ่งกว่าแมลงปอโลหิตก่อนหน้านี้สิบเท่า
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น มองกระบี่ยาวในมือของเยี่ยโยวเหยาที่กำลังสังหารแมลงปอโลหิต
“เยี่ยโยวเหยา สังหารโจรต้องจัดการที่ตัวหัวหน้า”
แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาเข้าใจความหมายนี้ แม้ซูจิ่นซีไม่พูด เยี่ยโยวเหยาก็รู้ว่าต้องทำเช่นไร
เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีเหาะขึ้นไปกลางอากาศและพุ่งเข้าไปทางหน้าต่างของหอเซียงฟาง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเสียงพิณดังกล่าว
เมื่อกระแทกหน้าต่างเข้าไป เสียงพิณจึงถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
“กูสือซาน? ”
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าผู้ที่ใช้พิณควบคุมแมลงปอโลหิตคือกูสือซาน
ซูจิ่นซียังคิดว่าจะได้พบกับผู้ที่สวมชุดขาวเป่าขลุ่ยก่อนหน้านี้
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาเมื่อเห็นแขนขวาที่ว่างเปล่าของกูสือซาน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… กูสือซาน ท่านประกาศว่าตนเองมีความเป็นเลิศทางด้านวิชาพิษ ทั้งยังเป็นถึงราชครูแห่งแคว้นไหวเจียง! ที่แท้ความสามารถของท่าน… ก็มีเพียงเท่านี้! ”
แววตาของกูสือซานเปล่งประกายเย็นชา “ซูจิ่นซี เส้นทางอนาคตที่สดใส เจ้าไม่ยอมไป นรกไร้ประตู เจ้ากลับบุกเข้ามา วันนี้ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดจะหนีออกไปได้ หากข้าไม่ได้แก้แค้นเรื่องแขนที่ขาดไป ราชครูเช่นข้าไม่ขออยู่เป็นคน”
คราวก่อนซูจิ่นซีวางยาพิษที่แขนของกูสือซาน ทั้งยังไม่ทันได้ถอนพิษ แม้กูสือซานจะจับซูจิ่นซีเป็นตัวประกัน ทว่าซูจิ่นซีไม่เคยคิดถอนพิษให้กูสือซานอย่างจริงจัง กลับกลั่นแกล้งเขาอย่างรุนแรงอีกด้วย เมื่อกูสือซานกลับไปหาอาจารย์ของเขาที่แคว้นไหวเจียง ทุกอย่างก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว พิษได้หยั่งลึกไปถึงไขกระดูก ทำได้เพียงตัดแขนเพื่อรักษาชีวิตไว้เท่านั้น
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่กูสือซานจะกลับมาคิดบัญชีแค้นกับซูจิ่นซี เรื่องที่นางทำให้เขาแขนขาด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุของกูสือซาน ซูจิ่นซีไม่เพียงไม่หวาดกลัว นางยังหันหน้าไปหากูสือซานพลางขยิบตาข้างหนึ่งด้วยท่าทียียวน
“ผู้ใดไม่ปล่อยผู้ใดนั้น ก็ยังไม่แน่! ราชครูกู ท่านระวังพิษของข้าด้วย! อย่าให้แขนอีกข้างถูกตัด ไม่เช่นนั้น… อาจจะหาภรรยาไม่ได้”
กูสือซานขมวดคิ้วเคร่งเครียด “ว่ากันว่าสตรีแคว้นจงหนิงสุภาพอ่อนโยน แต่ดูเหมือนพระชายาโยวอ๋องจะแตกต่างจากสตรีอื่นจริงๆ หนังหน้า… ดูจะหนากว่าสตรีนางอื่น”
หางตาซูจิ่นซีเผยให้เห็นความสาแก่ใจ ทั้งรอยยิ้มยังเจ้าเล่ห์อย่างมาก “สุภาพอ่อนโยนหรือ? สิ่งที่ราชครูกูพูดออกมานั้น เป็นสตรีในตระกูลชั้นสูงกระมัง? น่าเสียดายที่ไม่ใช่ข้า! ข้าเป็นชายาโยวอ๋อง แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากผู้อื่น จึงจะเหมาะสมกับโยวอ๋องที่มีชื่อเสียงทำให้ผู้คนหวาดกลัว”
กูสือซานหรี่ตามองซูจิ่นซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้าง ผินหน้ามามองสตรีสง่างามข้างกายที่มีท่าทางหยิ่งผยองด้วยแววตาชื่นชม
ระหว่างที่เยี่ยโยวเหยากำลังแสดงความชื่นชมและกูสือซานกำลังรู้สึกประหลาดใจนั้น ซูจิ่นซีก็ยกแขนขึ้น เสียงคำราม ‘โฮก’ ของสัตว์เทพกิเลนพลันถูกปล่อยออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
สัตว์เทพกิเลนตัวเล็กเท่าฝ่ามือ หลังจากตกลงสู่พื้นก็กลายร่างเป็นสัตว์เทพขนาดมหึมาตัวหนึ่ง
กูสือซานตกตะลึงไปชั่วขณะ ใบหน้าแปรเปลี่ยน ผงะถอยหลังไปสองก้าวทันที
“กิเลน… สัตว์เทพกิเลน? ซูจิ่นซี สัตว์เทพกิเลนอยู่กับเจ้าได้อย่างไร? ”
“ถามอันใดมากมาย แม้การใช้สัตว์เทพกิเลนรับมือกับเจ้าจะดูเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ทว่าข้าต้องการยุติการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น… วันนี้ให้เจ้าได้เปรียบไปก่อน”
ได้เปรียบ?
ซูจิ่นซีพูดราวกับว่าการให้กูสือซานพบกับสัตว์เทพกิเลนทำให้เขาได้เปรียบ ทว่ากูสือซานกลับไม่คิดเช่นนั้น
สีหน้าของกูสือซานขาวซีด สายตาจ้องมองสัตว์เทพกิเลนที่ดุร้ายอย่างระแวดระวัง
“สัตว์เทพกิเลน เอาเลือดเขามา… ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วพลางออกคำสั่ง
“โฮก… ”
สัตว์เทพกิเลนคำรามเสียงดัง มันปล่อยเปลวเพลิงเหมันต์ไปทางกูสือซานทันที