ตอนที่ 100 โดนตะปู

 

 

           ราวกับเฉิงฉีมองเห็นสิ่งของแปลกประหลาดไม่มีผิด สังเกตดูพินิจพิเคราะห์อยู่นานสองนาน เจียงมู่เฉินโดนเขามองแบบนี้รู้สึกว่าหัวตัวเองไม่ต่างจากสินค้าที่ต้องขายอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           “ดูพอหรือยัง”

 

 

           เฉิงฉีกลั้นขำ “อย่าเพิ่งพูดสิ ยังมองไม่อิ่มเลย”

 

 

           “ขี้เหร่ขนาดนั้นจริงๆ เหรอ” ยามเจียงมู่เฉินเอ่ยถามประโยคนี้ออกไป ใจก็เริ่มแป้วแล้ว

 

 

           เฉิงฉีมองเขาอย่างจริงจังแวบหนึ่ง “ก็พอได้มั้ง ก็ขี้เหร่เป็นปกติทั่วไป”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอาหน้าซุกไปกับหมอน ตอนนี้เขาพุ่งตัวกลับไปเอาผมกลับคืนมา ยังทันอยู่ไหม

 

 

           “เกิดอะไรขึ้นกับนายถึงทำท่าทางหมดอาลัยตายอยากแบบนั้น”

 

 

           “ภาพลักษณ์คุณชายสลายไปหมดแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องอาลัยอีก”

 

 

           “ที่จริงก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น จริงๆ” เฉิงฉีกล่าวอย่างหนักแน่นและจริงใจ

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าคำพูดรับประกันของอีกฝ่ายไม่มีค่าอะไรให้เชื่อถือได้เลย

 

 

           เขาเป็นทุกข์ได้ไม่นานก็ลืมเรื่องนี้ไป เฉิงฉีจ้องมองเขา “พักนี้นายหายไปไหนมา ตั้งแต่คืนนั้นที่นายออกไปก็ไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย”

 

 

           “อย่าพูดถึงเลย พ่อฉันให้ฉันไปช่วยเขาดูโครงการ เพิ่งจะไปดูงานก็โดนตีหัว เข้าโรงพยาบาล เมื่อวานเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมา”

 

 

           “พ่อนายให้นายไปช่วยงานที่บริษัทแล้วเหรอ” เฉิงฉีค่อนข้างแปลกใจทีเดียว

 

 

           “ก็ไม่ขนาดนั้น แค่ให้ฉันช่วยเขาสอดส่องสักหน่อย ฉันกะว่าอีกสองปีค่อยเข้าบริษัทเต็มตัว ยังไม่อยากรับช่วงต่อในตอนนี้”

 

 

           เฉิงฉีถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าพ่อนายจะให้นายลงมาดูงานแล้ว ดูท่าว่าไม่ช้าก็เร็วนายจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ว่าก็จริงนะ ตระกูลนายมีนายเป็นลูกชายคนเดียว ไม่ช้าก็เร็วนายก็ต้องรับช่วงต่อเจียงเฉินกรุ๊ปอยู่ดี”

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับ “ค่อยว่ากันเถอะ”

 

 

           หลังจากที่เฉิงฉีกลับไป เจียงมู่เฉินก็เอนกายบนโซฟามองออกไปนอกหน้าต่าง เรื่องที่เกิดขึ้นมาช่วงนี้เกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกับพ่อหรือเรื่องซือเหยี่ยน

 

 

           เจียงมู่เฉินกุมขมับใจร้อนรนไม่เป็นสุข

 

 

           เขาพิมพ์ข้อความหามั่วไป๋ คราวก่อนไอ้หมอนั่นบอกว่าจะกลับมา ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

 

 

           ส่งข้อความไปตั้งนาน ทางนั้นเพิ่งได้ตอบกลับมา

 

 

           [พรุ่งนี้บ่ายสองถึงถานโจว อย่าลืมมารับฉันด้วย]

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นข้อความนี้ก็เด้งตัวขึ้นมาทันที พรุ่งนี้ก็มาถึงแล้ว คิดไม่ถึงว่ามั่วไป๋จะยังไม่ได้บอกเขา ถ้าเขาไม่ถาม มั่วไป๋จะรอให้ถึงถานโจวก่อนแล้วค่อยบอกเขาใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบหาข้อมูลเที่ยวบินที่มั่วไป๋ให้เขามาอย่างรวดเร็ว จดจำเวลาในหัวเรียบร้อย แล้วถึงได้กลับไปเอนพิงโซฟา

 

 

           นอนหลับในหลานเยี่ย พอตื่นมาอีกทีท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินดูเวลาแล้วพุ่งตรงลงไปชั้นหนึ่ง ในไนต์คลับกำลังเป็นเวลาครึกครื้นกันอยู่พอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินมีเหล่าก๊วนเพื่อนกินอยู่รอบกายมาตลอด คราวนี้เฉิงฉีไม่อยู่หลานเยี่ยจึงเหลือเขาเพียงคนเดียว

 

 

           หาที่เงียบๆ นั่งกับหยิบขวดเหล้าหนึ่งขวดไป เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่เจียงมู่เฉินนั่งกินเหล้าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

 

 

           เซวียยางดื่มเหล้าอยู่หลานเยี่ยมาได้สักพัก กำลังจะเตรียมตัวออกไป ก็เห็นเจียงมู่เฉินนั่งดื่มเหล้าคนเดียวอยู่พอดี เขาชะงักฝีเท้าที่จะเดินออกจากหลานเยี่ยเอาไว้ หันหัวเรือเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

 

 

           “คุณชายเจียงรู้จักผมไหมครับ” เซวียยางยืนอยู่หน้าโต๊ะ

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงอยู่ตรงนั้น กวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกคุ้นๆ หน้าอยู่นิดหน่อย “ไม่รู้จัก”

 

 

           จู่ๆ เซวียยางก็หัวเราะออกมา

 

 

           “คุณเป็นตะปู[1]ตัวแรกที่ผมโดน”

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งยืดตัวตรง รินเทเหล้าตามใจตัวเอง “อืม นายวางใจเถอะ ฉันจะไม่เป็นตัวสุดท้ายหรอก”

 

 

           ‘คุณชายเจียงนี่เย่อหยิ่งสมคำล่ำลือที่เขาได้ยินมาจริงๆ’

 

 

           เซวียยางนั่งลงตรงข้ามเจียงมู่เฉิน เอนกายพิงที่นั่งตามอำเภอใจ เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “ฉันเชิญนายแล้วเหรอ”

 

 

           เซวียยางยักไหล่ “เปล่าครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นด้วยความเยือกเย็น “โอ้ รู้ตัวดีนี่”

 

 

           เซวียยางลูบปลายจมูกไปมา “กับคุณชายเจียงไม่จำเป็นต้องแกล้งทำตัวเรียบร้อยหรอกมั้งครับ”

 

 

           “ดื่มกันสักแก้วมั้ย” เจียงมู่เฉินเสนอ

 

 

 

 

[1] โดนตะปู สำนวนจีน เปรียบเปรยว่า ถูกปฏิเสธ ถูกบอกปัด ถูกตอกกลับมาจนหงายหลัง

 

 

 

 

ตอนที่ 101 เป้าหมายคืออะไร

 

 

           “หาได้ยากจริงๆ” เดิมทีเขาคิดจะคุยกับคุณชายเจียงแค่ไม่กี่คำ ไม่คิดว่าคุณชายน้อยตระกูลเจียงผู้นี้จะไม่ไล่เขาไป ยังให้เขาอยู่ดื่มเหล้าด้วยอีก

 

 

           ‘ไม่พูดไม่ได้เลยออกจะเหนือความคาดหมายไปสักหน่อย’

 

 

           เจียงมู่เฉินให้คนไปเอาแก้วมาให้เซวียยาง แล้วยังรินเหล้าให้เขาอีก เซวียยางตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดคิดไม่ถึง “ผมคงจะไม่ใช่คนแรกที่ได้ดื่มเหล้าที่คุณรินให้หรอกใช่ไหมครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินที่กำลังเทเหล้ารินลงแก้วชะงักไป เขาคิดไม่ค่อยจะออก พยักหน้าไปตามใจนึก “คงจะมั้ง”

 

 

           “คุณชายเจียงอารมณ์ไม่ดีเหรอครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง “นายคงจะไม่ใช่พวกชวนคุยปรับทุกข์อะไรหรอกนะ”

 

 

           เพียงครู่เดียวเซวียยางก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณชายเจียงนี่มีอารมณ์ขันไม่เบาเลยนะครับ”

 

 

           “นายเป็นเพื่อนกับซังจิ่งเหรอ”

 

 

           เซวียยางชะงักงันไปครู่หนึ่ง “เอ๊ะ คุณรู้จักผมด้วยเหรอ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายคิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะมาดื่มเหล้ากับคนที่ฉันไม่รู้จักน่ะ” เขายังไม่ขี้แพ้ถึงขั้นนั้นหรอกนะ

 

 

           “ถ้าแบบนั้น คุณให้ผมมาดื่มเหล้ากับคุณ มีอะไรอยากถามเหรอครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเผยรอยยิ้มแรกของคืนนี้ออกมา “ฉันชอบคุยกับนาย” ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม

 

 

           “ให้ผมทายนะ” เซวียยางมองเขา “เรื่องซังจิ่งเหรอ”

 

 

           “ทำไมเขาถึงตามตอแยฉันไม่เลิกสักที อย่าบอกฉันนะว่าเขาชอบฉันเข้าแล้วจริงๆ น่ะ”

 

 

           เซวียยางเห็นแววตาของเจียงมู่เฉินเปลี่ยนไป เดิมทีเขาคิดว่าคุณชายน้อยผู้นี้มีใบหน้าเป็นที่ปรารถนาของใครต่อใคร ที่เหลืออย่างอื่นไม่ได้มีอะไรน่าดึงดูด

 

 

           เวลานี้มาพินิจดู คุณชายน้อยผู้นี้ไม่ได้เหมือนที่ใครๆ ว่ากัน เป็นเพียงแค่คนที่อยู่ใต้เงาของพ่อแม่ ไม่ได้เรื่องอะไร

 

 

           มีแค่เขาเท่านั้นที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ คนธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็น

 

 

           “ทำไมถึงไม่เชื่อเขาว่าเขาชอบคุณจริงๆ ล่ะ” เซวียยางค่อนข้างแปลกใจและอยากรู้

 

 

           “คนที่เจอหน้าฉันครั้งแรกแล้วพยายามเข้าใกล้ฉัน จะชอบฉันได้จริงๆ เหรอ” เจียงมู่เฉินยังไม่ลืมครั้งแรกที่ได้เจอกับซังจิ่ง ได้เห็นแววตาคุกคามเขาอย่างชัดเจน ไม่มีทางจะเป็นแววตาที่มีต่อคนที่ชอบเด็ดขาด

 

 

           “ดังนั้น เป้าหมายของเขาคืออะไร หรือจะบอกว่าเป้าหมายของพวกนายคืออะไร”

 

 

           เซวียยางเห็นแววตาของเจียงมู่เฉินเริ่มจริงจัง “อ้อ คุณคิดว่าเป้าหมายของเขาจะเป็นอะไรได้ละครับ”

 

 

           “เจียงเฉินกรุ๊ปหรือว่าฉัน” สายตาสุขุมจริงจังของเจียงมู่เฉินจับจ้องมาที่ใบหน้าของเซวียยาง ราวกับอยากจะดูว่าเขาจะแสดงสีหน้าอะไรออกมาบ้าง

 

 

           ในใจเซวียยางบีบรัดยามเขามองมา นาทีนั้นคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะกำมือแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           “คุณชายเจียงคิดกังวลมากไปแล้ว บางทีตอนนี้ซังจิ่งอาจจะยังไม่ได้ชอบคุณ แต่ผมกล้ายืนยัน เลยว่าเขาชอบใบหน้าของคุณ”

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ใบหน้าของฉัน? ในถานโจวนี้คนที่หน้าตาดีกว่าฉันก็มีไม่น้อยหรอกมั้ง”

 

 

           นิ้วมือเซวียยางบีบแก้วเหล้าไว้เบา “แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คุณชายเจียง ไม่ใช่เหรอครับ”

 

 

           คนหน้าตาดีในถานโจวมีอยู่มากก็จริง แต่ไม่มีใครจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือนแบบเจียงมู่เฉินได้ แค่ร่างกายภายนอกใช้ได้จะมีความหมายอะไร

 

 

           เช่นคนเย่อหยิ่งอย่างเจียงมู่เฉิน หากเอาชนะได้คงจะรู้สึกภูมิใจไม่น้อยเลย

 

 

           “ช่วยฉันฝากไปบอกซังจิ่งที ถ้าเขาอยากจะเล่นเกมกับฉัน ฉันเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กล้าเล่น เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ ยังระบุไม่ได้หรอกนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาเย็นชาเด็ดเดี่ยว

 

 

           เซวียยางหัวเราะ “ได้ครับ จะไม่ตกหล่นสักคำแน่นอน”

 

 

           เจียงมู่เฉินวางแก้วเหล้าลง “สิ่งที่ฉันควรจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว คงไม่ได้นั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อนกันกับประธานเซวียต่อ ขอตัวก่อน”

 

 

           เซวียยางยกมุมปากขึ้น “ที่จริงผมกลับอยากจะเป็นเพื่อนกับคุณชายเจียงนะครับ”

 

 

           “บังเอิญน่าดู ฉันไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับนาย” เขาหยุดครู่หนึ่ง “รวมถึงซังจิ่งด้วย”

 

 

           เขาพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากหลานเยี่ย แผ่นหลังแสนเย่อหยิ่งทะนงตัวไม่ต่างจากตัวคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบ เซวียยางยกยิ้มมุมปาก เอ่ยกับมือถือที่เปิดเอาไว้ตลอด “ที่คุยกัน ได้ยินหมดแล้วหรือยัง”