บทที่ 345 ผลกระทบ
ณ สำนักงานฝ่ายบริหารจัดการนักเวท

ขณะมองลูเซียนที่นั่งอยู่ตรงข้ามของโต๊ะ ก็มีรอยยิ้มน่าขันปรากฏขึ้นบนหน้าอีริค ที่ปกติมักจะดูเคร่งเครียดจริงจัง “อีวานส์ เจ้ามาเสนอบทความอีกแล้วหรือ?”

ไม่น่าเชื่อว่าลูเซียนจะสามารถเขียนบทความใหม่ได้เร็วขนาดนี้ นี่เพิ่งผ่านมาประมาณเดือนหนึ่งจากครั้งสุดท้ายที่เขาเสนอบทความก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างมหาจอมเวททั้งห้า แล้วตอนนี้ ลูเซียนก็กลับมาอีก

นักเวทส่วนใหญ่ไม่มีใครสามารถสร้างบทความคุณภาพสูงด้วยความเร็วเช่นนี้ และการวิจัยเรื่องอาร์คานาศาสตร์แล้วเวทมนตร์มักใช้เวลาหลายปีกว่าจะสมบูรณ์ ขณะที่บทความของลูเซียนยังคงรักษามาตรฐานได้ไม่เปลี่ยนแปลง

“ขอรับ ท่านอีริค เรื่องนี้เชื่อมโยงกับบทความชิ้นที่แล้วของข้า ข้าเพิ่งเขียนคำอธิบายสูตรจากมุมมองของอาร์คานาศาสตร์เสร็จ” ลูเซียนส่งบทความให้กับอีริคแล้วก็ยิ้ม

อีริคดูท่าทางประหลาดใจมาก “เจ้าค้นพบคำอธิบายแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้าหมายถึงคำอธิบายสูตรที่มหาจอมเวททั้งห้ายังไม่สามารถวิเคราะห์ได้แม้แต่มุมมองเดียวอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ขอรับ” ลูเซียนตอบอย่างตรงไปตรง

อีริคอ้าปากค้างแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง อีริคก็บอกกับลูเซียน “เจ้ารู้ไหม… สูตรของเจ้ากลายเป็นหัวข้อให้อภิปรายอย่างดุเดือดไปทุกที่ในสภา แม้แต่สหายของข้าที่อยู่นอกอัลลินก็ยังกังวลเรื่องนี้อย่างหนัก แต่ว่า ก็ยังไม่มีใครคิดอะไรออก… บทความของเจ้าทำให้คนปวดหัวกันไปหมด ข้าก็ด้วย สูตรที่สอดคล้องกับข้อมูลการแผ่รังสีของวัตถุดําอย่างลงตัวกลับไม่เป็นไปตามทฤษฎีหรือคำอธิบายที่มีอยู่เลย คงเหมือนที่มหาจอมเวทว่าไว้ เราคงต้องมีสมมติฐานล้มล้างทฤษฎีเดิมเพื่อหาเส้นทางที่ถูกต้อง และปัญหาน่าปวดหัวทั้งหมดนี้เจ้าใช้เวลาแค่เดือนเดียวเนี่ยนะ เจ้าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาจอมเวทรุ่นใหม่จริงๆ”

อีริคเองก็พยายามสำรวจความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้สูตร หลังจากได้อ่านวารสารอาร์คานา อย่างไรก็ตาม เขาก็คว้าน้ำเหลวไม่ต่างจากจอมเวทส่วนใหญ่ แล้วสูตรนี้ก็กลายเป็นหัวข้อที่ถูกต้องเถียงกันในวงกว้างของนักเวทส่วนใหญ่

“ข้าไม่ใช่คนเดียวที่ค้นพบวิธีการนั้นหรอกขอรับ ศิษย์ของท่านเฟอร์นันโดอีกคน โคล ก็ค้นพบวิธีการนี้เช่นกัน ข้าเพียงทำงานเสร็จเร็วกว่าเขาก็เท่านั้น”

อีริครู้ว่าลูเซียนกับเขาอยู่ในระดับจอมเวทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สีหน้าที่ดูจริงจังของอีริคตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย แล้วเขาก็ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น อีวานส์ เจ้ามีสมมติฐานที่ลบล้างทฤษฎีเดิมอย่างนั้นหรือ?”

“แน่นอนขอรับ ทุกคนจะต้องตกใจมาก แต่ยังเป็นเพียงสมมติฐาน แล้วตอนนี้ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้” ลูเซียนเน้นย้ำคำโดยเจตนา

อีริคไม่กดดันเอาคำตอบจากลูเซียน เนื่องจากถือเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพในการถามผู้เขียนเกี่ยวกับบทความมากเกินไป ก่อนที่จะได้รับผลการพิจารณา แม้เขาจะรู้ว่าลูเซียน ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าแห่งวายุ ยินดีที่จะตอบก็ตาม

“ล้มล้างทฤษฎีเดิม… ยังพิสูจน์ไม่ได้…” อีริคพูดพึมพำกับตัวเอง เขาใส่บทความของลูเซียนลงในกล่องเล็กๆ แล้วก็ดึงเชือกสั่นกระดิ่ง

ภายในห้องทำงานห้องหนึ่งของหอคอยเวทมนตร์

เทียนเวทมนตร์ตรงหน้าโคลเผาไหม้จนถึงเชิงเทียน แสงตะวันยามเช้าลอดเข้ามาในห้องทำงานและค่อยๆ ขับไล่ความมืดออกไป

โคลไม่ได้รู้สึกถึงการมาของแสงยามเช้า เขาจ้องมองกระดาษบนโต๊ะและขมวดคิ้ว เขาเฝ้าครุ่นคิดว่าทำไมเขายังไม่สามารถอธิบายสูตรนี้ได้ แม้จะใช้วิธีของลูเซียน ต้องมีข้อมูลสำคัญบางอย่างตกหล่น

โคลเริ่มทวนข้อมูลใหม่อีกครั้ง หลังจากนึกถึงบทสนทนาของเขากับลูเซียน

ณ ชั้นที่สิบห้าของหอคอยเวทมนตร์หลักแห่งนครอัลลิน ภายในห้องโถงของคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานา เสียงกระดิ่งสั่น วงเวทที่ซับซ้อนเริ่มเรืองแสงสีขาว เมื่อแสงเลือนหายไป กองเอกสารมากมายก็ปรากฏอยู่ตรงกลางของวงเวท แขนโลหะขนาดยาวหยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมา และอ่านชื่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นของเครื่องกล

“ศาสตร์มืด… ถึง ท่านหญิงทิน่า-ทิมอส ท่านแฮกการ์ด”

“เวทธาตุ… ถึง ท่านโอเวรี ท่านหญิงล็อกลินน์”

“อุณหพลศาสตร์…” ตอนนั้นเอง เสียงจักรกลหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะอ่านชื่อออกมา “การกระจายพลังงานของการแผ่รังสีของวัตถุดำ…”

หลังจากสองสามวินาที เสียงนั้นก็พูดว่า “ถึง ท่านโคล ท่านหญิงซอนย่า”

บทความของลูเซียนถูกคัดลอกออกเป็นสำเนาสามฉบับ ฉบับหนึ่งถูกเก็บไว้เป็นบันทึก และอีกสองฉบับถูกส่งไปยังวงเวทวงละฉบับ…

ณ ห้องทำงาน

ขณะใช้วิธีของลูเซียน การคำนวณของโคลก็ทำงานอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง สูตรนั้นก็ค่อยๆ แสดงผลเป็นรูปธรรม

ในการใช้สูตรนี้ให้ได้ผล โคลรู้ว่าเขาต้องตั้งสมมติฐาน ใบหน้าแก้มตอบของโคลมีความกลัวปรากฏขึ้นและเม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นบนหน้าผากอย่างควบคุมไม่ได้ เขาถึงขนาดต้องพูดพึมพำออกมา “นี่… นี่จะขัดแย้งกับทฤษฎีการแบ่งเท่าของพลังงานดั้งเดิม!”

ทฤษฎีการแบ่งเท่าเป็นอีกหนึ่งผลงานอันโดดเด่นของโคล ซึ่งพัฒนาขึ้นตามทฤษฎีของบรูค อย่างไรก็ตาม เมื่อโคลใช้ทฤษฎีการเคลื่อนที่ของโมเลกุลที่เขาพัฒนาขึ้นเองและใช้แนวคิดความเป็นไปได้และเอนโทรปี ลงในสูตร ผลสรุปกับขัดแย้งกับข้อสนับสนุนสำคัญของทฤษฎีการแบ่งเท่า ‘ความต่อเนื่องของพลังงาน!’ หัวของโคลหนักอึ้งราวกับเขาถูกตบหน้า เขารู้สึกว่าร่างกายและวิญญาณของเขาถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยู่กับด้านสว่างและอีกฝ่ายหนึ่งอยู่กับด้านมืด!

ทันใดนั้น โคลก็เริ่มตาพร่ามัว เขาส่ายศีรษะอย่างรุนแรงและปฏิเสธข้อสรุปของตน

“เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้! ต้องมีคำอธิบายอื่น!”

ในโลกฌานสมาธิของเขาซึ่งเริ่มก่อตัวเป็นรูปธรรมขึ้นมา จุดสีดำเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มเคลื่อนที่ไปรอบๆ อย่างไร้ระเบียบราวกับกำลังถูกต้มอยู่ในน้ำเดือด

“ต้องมีอะไรผิดพลาด!” โคลตะโกนใส่ตัวเอง พยายามสงบสติอารมณ์ลงให้ได้มากที่สุด

ตอนนั้นเอง มีใครบางคนเคาะกระจกหน้าต่าง โคลถูกดึงกลับมาสู่โลกความเป็นจริงและรีบกลับไปมอง ข้ารับใช้ซึ่งถูกสร้างจากการเล่นแร่แปรธาตุของก๊าซกำลังลอยตัวขึ้นมากลางอากาศถือเอกสารจำนวนมาก

“นายท่าน นี่คือเอกสารที่ยังไม่ได้ตรวจขอรับ ให้ข้าส่งให้กลับลูกศิษย์ของท่านไหมขอรับ?”

โคลปาดเม็ดเหงื่อออกจากหน้าผากและพูดเสียงอ่อนแรง “เอามาให้ข้าดูก่อน”

เมื่อรับเอกสารมา เขาก็เห็นชื่อที่วนเวียนอยู่ในหัวเขามาหลายวัน ‘การกระจายพลังงานของการแผ่รังสีของวัตถุดํา’

โคลไม่คาดคิดว่านี่จะเป็นบทความชิ้นแรกที่เขาจะต้องตรวจของวันนี้

โคลหายใจแรงขึ้น เขาแกะซองเอกสารออกด้วยมือที่สั่นเทาและหยิบเอกสารออกมาอย่างกังวล ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่เอกสารเริ่มต้นด้วยชื่อที่คุ้นเคย ‘ลูเซียน อีวานส์ เอ็กซ์’

หลังจากอ่านบทความตั้งแต่ต้นจนจบคร่าวๆ ในบรรทัดหนึ่งของบทความ เขาเห็นถ้อยแถลงของลูเซียน

“ในการใช้สูตรนี้ให้ได้ผลสัมฤทธิ์ จำเป็นต้องตั้งสมมติฐานว่าการปล่อยและการดูดซับพลังงานมีลักษณะไม่ต่อเนื่องกัน แต่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ”

ตู้ม!

โคลขี้ขลาดเกินกว่าจะคิดตาม แต่ ณ ตอนนี้ ข้อสรุปในบทความของลูเซียนกลายเป็นสิ่งเดียวที่เขามองเห็นในโลก

“… จำเป็นต้องตั้งสมมติฐานว่าการปล่อยและการดูดซับพลังงานมีลักษณะไม่ต่อเนื่องกัน แต่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ” ราวกับว่าเขาถูกประโยคนั้นร่ายมนต์ใส่ โคลรู้สึกสูญเสียทุกอย่างและไม่อาจหยุดส่ายศีรษะได้ สำหรับเขาแล้ว ประโยคนั้นเป็นเสมือนคำสาปจากปีศาจ

ในโลกแห่งพุทธิปัญญาของเขา จุดดำเล็กๆ เคลื่อนที่วนไปวนมาอย่างรุนแรงเหมือนกำลังบ้าคลั่ง! โลกทั้งใบมาถึงจุดที่สูญเสียระบบและอยู่ในภาวะสับสนอลหม่านไม่เหลือชิ้นดี!

ปัง!

สมองของโคลระเบิดในทันที! เศษกระดาษ หนังสือ โต๊ะ และเก้าอี้รอบตัวโคลเต็มไปด้วยสีแดงและสีขาว…

“อ๊ากกกกกกกกก!!!”

โคลสะดุ้งตื่นขึ้นมา มือทั้งสองข้างรีบจับที่ศีรษะของตัวเองทันที จนกระทั่งมือของโคลสัมผัสได้ว่าศีรษะของตนอย่างปลอดภัยและปกติ เขามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก

เขายังคงอยู่ในห้องทำงาน ตรงหน้าเขามีกองเอกสารต้นฉบับที่เขียนด้วยตัวหนังสือที่ยุ่งเหยิง ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากสูตรของลูเซียน

‘ข้าคงเหนื่อยเกินไป ถึงฝันร้ายขนาดนี้…’ โคลยังคงรู้สึกหลอนเมื่อคิดถึงฝันร้าย

อย่างไรก็ตาม เมื่อโคลทบทวนถึงวิธีการคำนวณและแหล่งที่มาของข้อมูลในฝันที่เห็นได้อย่างชัดเจน มือของเขาก็เริ่มสั่นอีกครั้ง เมื่อเขาหยิบเอกสารต้นฉบับขึ้นมาดูอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเขาพร้อมมากขึ้นสำหรับคำตอบสุดท้ายที่เขาพยายามหลีกเลี่ยง

หลังจากผ่านไปสักพัก โคลก็พูดกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา “นี่ข้าตั้งสมมติฐานนี้จริงๆ หรือ? มันก็แค่การคาดเดา…”

ตอนนั้นเอง ข้ารับใช้ร่างก๊าซก็เคาะกระจกหน้าต่าง โคลเห็นข้ารับใช้ร่างก๊าซลอยผ่านไปเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันทุกกระเบียดนิ้ว เขาสูดหายใจลึกแล้วหยิบเอกสารออกมาหลายฉบับ และเป็นไปตามคาด เขาเห็นชื่อบทความว่า ‘การกระจายพลังงานของการแผ่รังสีของวัตถุดํา’

หลังจากนั่งนิ่งๆ อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง โคลก็หยิบบทความออกมาดู แม้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องตรวจด้วยตัวเอง ในฐานะจอมเวท แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ เขาต้องได้เห็นด้วยตาตัวเอง

“ในการใช้สูตรนี้ให้ได้ผลสัมฤทธิ์ จำเป็นต้องตั้งสมมติฐานว่าการปล่อยและการดูดซับพลังงานมีลักษณะไม่ต่อเนื่องกัน แต่ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ”

โคลหลับตาลงและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ และเป็นอีกครั้ง โลกแห่งพุทธิปัญญาของเขาเริ่มปั่นป่วนและยุ่งเหยิง แต่ครั้งนี้ ไม่ถึงขั้นเกิดภาวะสับสนอลหม่าน

“นี่เป็นเพียงสมมติฐาน… ยังเป็นสมมติฐาน…” เสียงของโคลเริ่มอ่อนแรง ดวงตา จมูก ปาก และหูของเขาเริ่มมีเลือดออก

แม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่คำถามที่ล้มล้างทฤษฎีเดิมเช่นนี้ก็ยังทำร้ายวิญญาณและสั่นคลอนโลกทางสมาธิของเขาอย่างรุนแรง

“เป็นเพียงสมมติฐาน…”

ภายนอกหน้าต่าง เจ้าแห่งวายุที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมเวทมนตร์สีแดงสดถอนหายใจยาว และหายตัวไปในอากาศพร้อมกับมังกรคริสตัล อัลเฟอร์ริส

ในบรรดาจอมเวทชั้นอาวุโสทั้งหมด เจ้าแห่งวายุเป็นห่วงโคลมากที่สุด การวิเคราะห์สูตรนี้อาศัยหนึ่งในทฤษฎีของโคล แต่ก็ขัดแย้งกับอีกทฤษฎีหนึ่ง เรื่องนี้เป็นอันตรายต่อโลกแห่งพุทธิปัญญาของเขามาก

หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง โคลก็เริ่มรู้สึกเวียนศีรษะน้อยลง ขณะมองบทความบนโต๊ะ เขามีสีหน้าหวั่นเกรง ราวกลับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว

เขาหยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ หยิบปากกาขนนกมา และเริ่มลงมือเขียนแสดงความเห็น