ทันทีที่เห็นหานลี่จ้องเขม็งมายังตน หญิงสาวนางนั้นก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ พลันปรากฏความไม่พอใจขึ้นบนใบหน้า ทว่าเมื่อตั้งสติได้ก็ต้องตื่นตระหนกขึ้นมาอีกรอบ 

 

 

นางไม่สามารถมองเห็นคลื่นพลังวิญญาณใดแผ่ออกมาจากกายหานลี่เลยแม้แต่น้อย หญิงสาวจึงรีบหันกายกลับโดยพลันด้วยความกังวลใจ 

 

 

ในตอนนั้นเอง หานลี่ก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้ในที่สุด สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ผนวกกับความรู้สึกสับสนเมื่อจ้องมองไปยังหญิงสาวนางนั้น 

 

 

หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินนางนี้ช่างเหมือนกับนางผู้นั้นที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ฟางหยิ่งผู้นั้นที่พยายามที่เขาจะไม่แตะต้องอีก จึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจและลังเลขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

เฉินเฉี่ยวเชี่ยน รอยยิ้มของหญิงสาวผู้นั้นที่เคยเปิดเผยความรักต่อหน้าเขาในตอนนั้น ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในใจของเขาแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เปี่ยมล้นไปทั้งหัวใจ 

 

 

หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินนางนี้ ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ “เฉินเฉี่ยวเชี่ยน” ผู้จากไปมากนัก นอกเสียจากสีหน้าที่ดูเย็นชาไปเสียหน่อยนั้น ส่วนอื่นล้วนเหมือนราวกับเป็นคนเดียวกัน ราวกับว่าหญิงสาวผู้นี้ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ 

 

 

ตอนนั้นเมื่อหานลี่ได้ฟังข่าวการจากไปของหญิงสาวผู้นี้ แม้ท่าทีของเขาจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับประเดประดังไปด้วยความเศร้าโศกอย่างยากจะอธิบาย 

 

 

แม้จะไม่ได้คบหากัน แต่เพียงเป็นผู้ชายคนหนึ่งกับหญิงสาวที่เคยชอบแล้ว ย่อมต้องมีความรู้สึกซับซ้อนยากบรรยายบ้างเป็นธรรมดา 

 

 

ทว่าเป็นไม่ได้ที่เฉินเฉี่ยวเชี่ยนจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งยังไม่อาจกลับมาเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ได้อีก แม้หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินนั้นจะเหมือนนางมากเพียงใด ก็เป็นได้เพียงแค่หญิงสาวต่างเผ่าคนหนึ่งเท่านั้น 

 

 

ความคิดของหานลี่หมุนไปอย่างรวดเร็ว แม้จิตใจจะฟุ้งซ่านเพียงใดก็ต้องฝืนบังคับให้มันสงบลงให้ได้ หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ทำตามแผนเดิมที่วางไว้เดินมุ่งไปยังกำแพงหินนั้นเช่นเดิม 

 

 

แม้หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินจะไม่ได้หันกลับมา แต่ราวกับว่าเธอมีจิตสัมผัสสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง เธอขมวดคิ้วแล้วเคลื่อนกายออกไปจากจุดเดิม 

 

 

ทว่าหานลี่ก็ไม่ได้เกรงใจ สาวเท้าเดินดุ่มออกไปสองสามก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้น 

 

 

แม้ว่าหานลี่จะไม่ได้หันกายกลับไปมอง เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาของหญิงสาวในชุดคุลมยาวสีน้ำเงินที่จับจ้องมาที่หลังของเขา จากนั้นเขาก็รีบก้าวเดินไปยังกำแพงหินอีกก้อนที่อยู่ห่างออกไป 

 

 

ดูไปแล้วหญิงสาวนางนี้น่าจะอายุประมาณสิบแปดถึงสิบเก้าปีได้ เธอคงจะมองเขาเป็นพวกเจ้าชู้ลุ่มหลงกับความงามของเธออยู่เป็นแน่ 

 

 

หานลี่สงบอารมณ์ขบขันภายในใจแล้วหันความสนใจไปยังกำแพงหินที่อยู่เบื้องหน้า 

 

 

อักษรสีเงินที่อยู่บนกำแพงหินนั้นเป็นไปตามที่เขาคาด ทั้งหมดล้วนเป็นรายชื่อของสิ่งของมีค่าต่างๆ แต่แปลกตรงที่ว่า สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้ระบุราคาขาย มีเพียงตัวเลขจากหนึ่งถึงสิบสามอยู่ด้านหลังของสิ่งของเท่านั้น 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้นแล้วหัวใจพลันกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาในทันใด พลางเลื่อนสายตามองไปไกลๆ 

 

 

เพียงเห็นศาลาหยกที่รายล้อมรอบหอแดงเหล่านั้นมีสิบสามหลังเหมือนกัน ทั้งส่วนยอดของศาลาแต่ละหลังยังมีตัวเลขสีทองลอยเคว้งในอากาศอยู่ 

 

 

เห็นเช่นนี้แล้วหานลี่ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดถึงได้เขียนตัวเลขเอาไว้ด้านหลังของสิ่งของบนกำแพงเหล่านั้น 

 

 

เขาไม่รีบร้อนอะไร หันไปพินิจดูกำแพงหินนั้นอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังกำแพงหินถัดไปโดยไม่หันกลับมามอง 

 

 

ด้วยความเร็วในการกวาดสายตาของหานลี่ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็สามารถมองเห็นกำแพงหินเกือบทั้งหมดได้ในปราดเดียว 

 

 

ทว่าใบหน้าของเขากลับนิ่งเฉยราวกับยังไม่พบเป้าหมายที่เหมาะสม จึงค้นหาต่อไปอย่างเงียบๆ 

 

 

ในตอนนั้นเองเสียงอึกทึกกึกก้องก็ดังออกมาจากหอแดงที่อยู่ตรงกลาง ตามด้วยเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวผิดปกติเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากข้างใน 

 

 

“อะไรกัน ท่านอาวุโสฉง ท่านหาว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของปลอมงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ ข้าทุ่มเทอย่างหนักจนเกือบไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกพญาครุฑสีทองเพื่อพวกมัน” 

 

 

“พล่ามอะไรอยู่ได้ ของปลอมจะเป็นของจริงได้อย่างไรกัน หากเป็นของจริงมีหรือข้าจะปฏิเสธมัน ในเมื่อของก็ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วเชิญชิวเต้าโหย่วกลับไปเสียเถอะ” เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังแว่วออกมาจากชั้นบนอย่างไม่ใส่ใจ 

 

 

“ข้าต้องนอนในถ้ำอยู่เจ็ดแปดปีเพื่อของพรรค์นี้ สุดท้ายมันกลับเป็นของปลอม อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าคนที่บอกข้อมูลข้าเชียวนะ มิเช่นนั้นข้าจะคว้าหัวมันโดยไม่รีรอเลย” 

 

 

คนแรกที่พูดนั้นเสียงดั่งสนั่นบวกกับอารมณ์ที่เดือดดาล เสียงที่เปล่งออกมาจึงแฝงไปด้วยพลังวิญญาณโดยไม่รู้ตัว เมื่อดังออกไปภายนอก เกือบทุกคนจึงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน 

 

 

ทว่าผู้คนกว่าครึ่งที่นี่ล้วนไม่ใช่ชาวนครเมฆา ชั่วขณะที่ประหลาดใจอยู่นั้น จึงอดมิได้ที่จะหันมามองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก 

 

 

ทันใดนั้นเองแสงสีแดงก็สว่างวาบขึ้นจากห้องใต้หลังคาสีแดง เงาร่างใหญ่ยักษ์สูงสามจ้างโผล่พรวดออกมาจากแสงสีแดงนั้น ร่างนั้นโงนเงนอยู่ชั่วครู่ก็ร่วงลงบนพื้นใกล้ๆ นั้น 

 

 

เกิดเสียงดังขึ้นโครมหนึ่ง พื้นดินถึงกับสั่นไหวด้วยแรงกระแทกนั้น ร่างใหญ่โตนี้ดูจะหนักอย่างน่าประหลาด 

 

 

ผู้คนกว่าครึ่ง ณ ลานกว้างอดไม่ได้ที่จะมองตามกันไปในคราเดียว 

 

 

ส่งผลให้ผู้คนต่างต้องสูดหายใจเข้ากันดังเฮือก 

 

 

คนผู้นี้ตั้งแต่ศีรษะลงไป มีร่างกายครึ่งหนึ่งเป็นกล้ามเนื้อ ครึ่งหนึ่งคือโลหะ 

 

 

ครึ่งที่เป็นโลหะนั้นมีสีดำเทาเป็นเงาวาว สะท้องแสงสีเทาประหลาดออกมา ส่วนร่างอีกครึ่งหนึ่งเป็นผิวคล้ามแดด ดูราวกับว่าทั้งร่างจะไม่อาจแยกจากกันได้ 

 

 

เมื่อมองขึ้นไปปรากฏใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้ม ไม่เพียงจมูกและดวงตาที่ใหญ่กว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า ยังมีศีรษะเป็นทรงกรวยแหลมและปอยผมอยู่ประปราย  

 

 

เมื่อหานลี่กวาดสายตามองไปบนร่างของคนประหลาดผู้นั้น พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างห้ามมิได้ คนผู้นี้บำเพ็ญเพียรจนไม่อาจวัดได้ว่ามีระดับพลังมากน้อยเพียงใด จัดอยู่ในระดับเดียวกันกับเชียนจีจื่อเลยทีเดียว 

 

 

แม้ว่าหานลี่จะจำคนประหลาดผู้นี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชาวต่างเผ่าเหล่านี้จะไม่รู้จักเขากันหมด 

 

 

ดูเหมือนว่าทันทีที่คนประหลาดผู้นี้ร่วงหล่นลงสู่พื้น ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ใกล้เคียงก็มีเหล่าลูกกะจ๊อกนับสิบคนรีบกรูกันเข้าไปกราบไหว้คนประหลาดผู้นั้นด้วยความเคารพอย่างน่าประหลาดใจ 

 

 

“คารวะท่านลูกพี่ต้วน” 

 

 

“คารวะท่านลูกพี่สาม” 

 

 

เสียงทักทายดังออกมาจากปากของผู้คนเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย  

 

 

รูปร่างของผู้คนเหล่านี้ล้วนใหญ่โตกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก พวกเขาล้วนเป็นชาวเผ่าดักแด้ศิลา คนประหลาดผู้นี้เป็นถึงผู้อาวุโสแถวหน้าของเผ่าดักแด้ศิลา  

 

 

“โอ้ พวกท่านก็มาร่วมงานประมูลนี้กันด้วยรึ หวังว่าพวกท่านจะได้อะไรกลับไปบ้าง ข้าได้ของปลอมมาคงไม่มีอารมณ์จะเข้าร่วมงานนี้แล้ว” คนประหลาดผู้นั้นกวาดสายตามองผู้คนที่เข้ามาทักทายปราดหนึ่ง พลันโบกมือไปมาก่อนจะสาวเท้าเดินออกไป 

 

 

ทุกหนแห่งที่เขาเดินผ่านผู้คนใกล้เคียงต่างก็รีบหลีกทางให้ด้วยความยำเกรงกันถ้วนหน้า 

 

 

ประจวบเหมาะกับทิศทางที่ชายร่างใหญ่เดินมานั้นผ่านทางที่หานลี่กำลังยืนอยู่พอดี หานลี่เห็นเช่นนั้นก็ถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้คนประหลาดผู้นี้ผ่านทางไป 

 

 

แต่ทันใดนั้นหัวใจของหานลี่ก็กระตุกวูบ 

 

 

วินาทีที่คนประหลาดผู้นั้นก้าวผ่านหานลี่ไปจู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก จมูกใหญ่กระตุกขึ้นในทันใดตามมาด้วยใบหน้าเหลือเชื่อที่หันขวับมาจ้องเขม็งที่หานลี่ 

 

 

ฉากอันน่าประหลาดใจเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้คนโดยรอบตะลึงงันเป็นธรรมดา สายตาจำนวนไม่น้อยจึงจับจ้องมาที่หานลี่ เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น 

 

 

“ไม่ทราบผู้อาวุโสท่านนี้มีอะไรจะสั่งสอนกับข้าหรือไม่” ในขณะที่หานลี่แอบคิดว่าท่าไม่ดีแล้วและยังสับสนอยู่ เขาก็ทำความเคารพพร้อมกับเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม 

 

 

“เจ้าชื่ออะไร เป็นคนเผ่าไหน” หานลี่ไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายไหนเลยจะกล้าบอกชื่อจริงของตัวเองออกไป จึงทำได้เพียงตอบไปยังคลุมเครือ 

 

 

“ดี ดีมาก! ข้าต้วนเทียนเหริ่นแห่งเผ่าดักแด้ศิลา ต่อไปหากเจ้าพบเจอเรื่องลำบากอันใดในเทียนอวิ๋น เจ้าสามารถเอ่ยชื่อข้าออกไปได้เลย”  

 

 

ไม่รู้ว่าคนประหลาดผู้นี้ทันได้ยินสิ่งที่หานลี่พูดหรือไม่ ฉับพลันเงาร่างนั้นก็เลือนรางแล้วก็หวนกลับคืนสู่สภาพเดิม 

 

 

ท่าทางของหานลี่เปลี่ยนไปในทันที  

 

 

เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนชั่วเสี้ยววินาทีที่หัวไหล่ของเขาถูกอีกฝ่ายซึ่งเป็นคนประหลาดยกขึ้นตบเบาๆ แม้เขาจะมีความสามารถอ่านใจและพลังเหนือธรรมชาติติดตัว และสามารถจับทางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ แต่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน เร็วจนร่างกายเขาไม่สามารถขยับหลบได้ทัน 

 

 

พลังประหลาดส่งผ่านฝ่ามือของอีกฝ่ายมาสู่แขนของเขา แล้วก็สลายไปเองหลังจากที่ไหลเวียนไปทั่วแขนของเขา 

 

 

“ผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างไร” หานลี่ใบหน้าซีดเผือดลงเล็กน้อย 

 

 

ภาพที่ชายร่างใหญ่ตบไหล่หานลี่เมื่อครู่มีชาวต่างเผ่าที่อยู่ที่นี่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็น ในสายตาของคนจำนวนมากการที่หานลี่ถามต่อคนประหลาดเช่นนี้ดูน่าประหลาดอยู่เล็กน้อย  

 

 

เมื่อเผชิญกับคำถามที่หานลี่ถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น คนประหลาดก็กวาดสายตาอันคมกริบดั่งใบมีดไปที่หานลี่ปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาโดยไม่มีเค้าความโกรธเคืองแม้แต่น้อย 

 

 

“ไม่มีอะไร ข้าเห็นว่าสหายเองก็ดูเหมือนจะฝึกฝนร่างกายอยู่เหมือนกัน ทั้งยังยอดเยี่ยมอยู่ไม่น้อยจึงอยากแลกเปลี่ยนวิชากับสหายผู้เก่งกาจสักหน่อยเท่านั้นเอง”  

 

 

หานลี่ถูกสายตาของคนประหลาดกวาดมองก็รู้สึกว่าใบหน้าอันว่างเปล่าของตนนั้นเจ็บขึ้นมาเสียอย่างนั้น อดที่จะตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

แม้ว่าเขาจะใช้ผ้าโปร่งดำผืนนั้นประสานกับเคล็ดวิชามายาเพื่อปกปิดใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็ช่างแตกต่างจากพลังของอีกฝ่ายอยู่มากนัก หรือว่าจะปกปิดอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ ใจเขาหวั่นไหวขาดความมั่นใจขึ้นมา 

 

 

ทว่าหานลี่ย่อมไม่เชื่อเรื่องการแลกเปลี่ยนวิชาที่อีกฝ่ายกล่าวมาอย่างแน่นอน หนำซ้ำอีกฝ่ายเพิ่งตบเขาไป นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ 

 

 

สีหน้าหานลี่หม่นหมองลง ความคิดหมุนเร็วจี๋ จนปัญญาที่จะนึกว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงพุ่งตรงมาหาเขา 

 

 

เขาพบคนประหลาดผู้นี้เป็นครั้งแรกแท้ ๆ 

 

 

“เจ้าหนุ่มน้อย อย่าคิดเลอะเทอะไปประเดี๋ยวข้าจะรอเจ้าอยู่ที่หอ ‘ฉุนเซียง’ ฝั่งตรงข้าม อย่าได้มีความคิดแอบหนีไปไหนเชียวล่ะ พลังเมื่อสักครู่นั่นน่ะแม้ข้าจะไม่ได้ทำอะไรมากมาย แต่ที่อยู่ในกายเจ้า ณ เวลานี้ก็นับว่าข้าสามารถสะกดเจ้าเอาไว้ได้แล้ว” เสียงของคนประหลาดแว่วอยู่ข้างหูของหานลี่ 

 

 

หลังจากนั้นชายร่างใหญ่ก็ไม่อธิบายสิ่งใดต่อไปอีก เขาหัวเราะร่าเสียงดังแล้วก็หมุนกายจากไป  

 

 

ครู่หนึ่งก็เดินจากลานกว้างไปแล้วเดินเข้าไปยังปากทางเข้า 

 

 

ณ ที่เดิมนั้นเหลือเพียงหานลี่ที่มีสีหน้าตื่นตระหน กับฝูงชนที่ต่างก็ทำสีหน้าประหลาดอยู่ไม่น้อย 

 

 

หานลี่ ณ วินาทีนี้จิตใจไม่สงบสุข ไม่อาจสงบจิตใจลงได้แม้แต่น้อย 

 

 

เมื่อเขาเลื่อนสายตาขึ้นก็ปะทะกับสายตาอันหลากหลายของผู้คนที่รายล้อม ก็อดสบถอยู่สองสามคำในใจมิได้ เขารีบหมุนตัวกลับแล้วก็เดินไปยังปากทางเข้า