ตอนที่ 1593 สุราวิญญาณเก้าหอม

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หลังจากที่เดิมหานลี่วางแผนว่าจะนำสมุนไพรวิญญาณในมือไปขายอย่างเงียบ ๆ เพื่อรวบรวมศิลาวิญญาณ 

 

 

ยามนี้เมื่อคนประหลาดมาก่อกวน แน่นอนว่าไม่อาจทำเรื่องนี้โดยที่ถูกจับจ้องอยู่ได้ 

 

 

ดังนั้นเมื่อเขาคิดตกจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปในทันที 

 

 

หานลี่เดินออกมาจากวิหารด้านข้างที่ดูเงียบสงบ และมาถึงด้านหน้าหอประมูลที่จอดรถเทียมอสูร จากนั้นก็มองไปฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

ตอนที่มาเมื่อครู่ เขาไม่ได้สังเกตอะไรอย่าง ‘หอฉุนเซียง’ ยามนี้เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด ก็มีสถานที่เช่นนี้อยู่จริง ๆ 

 

 

หอแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่แทบจะอยู่ตรงข้ามกับหอประมูล ตึกสูงสามชั้น ทั้งประตูของหอยังมีแผ่นป้ายรูปมังกรเหินและหงส์เริงระบำแขวนอยู่ 

 

 

ทว่าหานลี่สังเกตเห็นว่า ที่นี่ต่างกับบรรยากาศความคึกคักของสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในโดยรอบเป็นอย่างมาก ประตูของหอเงียบสงัดอยู่นานโดยไม่มีผู้คนเข้าออก 

 

 

คนประหลาดนามต้วนเทียนเหริ่นผู้นั้นอยู่ในหอแห่งนี้สินะ! 

 

 

หานลี่ครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ รู้สึกลังเลอยู่ในใจ งานประมูลยังต้องรออีกครู่หนึ่งถึงจะเริ่มขึ้น ส่วนเขาหากยังไม่แน่ใจว่าตัวประหลาดเผ่าดักแด้ศิลามีเจตนาใดกับเขา เกรงว่าเขาคงไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจเรื่องนี้ 

 

 

ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วมองมันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก 

 

 

ผิวหนังสีดำสนิทราวหยดหมึก นั่นก็คือฝ่ามือที่ผสานภูเขาจิตสัมผัสเข้าไปของเขา 

 

 

หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

แม้ว่าเมื่อครู่ต้วนเทียนเหริ่นจะปกปิดพลังสุดความสามารถ แต่ภายใต้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณของเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมาที่แขนเสื้อข้างนี้ของเขาได้อยู่ไม่น้อย 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝ่ามือ หรือแขนทั้งข้างที่ดึงดูดความสนใจของเขา 

 

 

หากเป็นอย่างแรก คงเป็นเพราะสนใจในภูเขาจิตสัมผัส หากเป็นอย่างหลัง…  

 

 

หานลี่พลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง! 

 

 

เมื่อนึกถึงแขน หานลี่ก็ชูแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วลูบไปบนแขนเสื้อของเขา 

 

 

แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกผิดปกติ ทว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬที่กลายเป็นกระบี่ยาวชิ้นนั้น ก็ถูกผนึกเอาไว้ในนี้จริง ๆ  

 

 

หรืออีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของกระบี่เล่มนี้ 

 

 

หานลี่ครุ่นคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ 

 

 

แม้ว่ายามนี้เขาจะยังไม่รู้ว่าเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณเหินต้องถูกลากเข้ามาพัวพันเพราะสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนี้ก็ตาม และมีเผ่าเล็ก ๆ ที่ต้องโชคร้ายเพราะเหตุนี้ถูกสังเวยไป แต่พลานุภาพของกระบี่เล่มนี้เขาก็สัมผัสมาด้วยตาของตนเอง แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าหากวันหนึ่งตนสามารถควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้จริง ๆ มันก็เพียงพอจะทำให้เขาไร้เทียมทานในแดนวิญญาณได้แล้ว 

 

 

ดังนั้นแม้จะเคยใช้กระบี่เล่มนี้ไปเพียงครั้งเดียว ทว่ามันก็เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดรองจากขวดลึกลับของเขาแล้ว มันสำคัญยิ่งกว่าแมลงกลืนทองที่โตเต็มวัยเสียอีก 

 

 

ทว่าความเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสเผ่าดักแด้ศิลาผู้นี้จะมองออกว่าในร่างของเขามีสมบัติสวรรค์ทมิฬนั้นก็มีไม่มาก มิเช่นนั้นคงถูกเฉียนจีจื่อมองออกในแวบแรกไปแล้ว 

 

 

หากสมบัติสวรรค์ทมิฬไม่ถูกกระตุ้น แม้มันจะอยู่ในแขนของเขาเอง ทว่าแม้แต่เขาเองก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้  

 

 

แน่นอนว่านี่ไม่ได้ยกเว้น หากอีกฝ่ายฝึกฝนเคล็ดวิชาที่เหนือชั้นอะไรมา จนสัมผัสอะไรได้จริง ๆ 

 

 

ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้เขาก็ไม่อาจต่อกรกับระดับหลอมร่างขั้นสุดยอดคนหนึ่งได้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้ผนึกพลังวิญญาณเอาไว้ในร่าง ทว่าคิดจะหนีในเมืองเมฆาที่ถูกรักษาการณ์อย่างแน่นหนาในตอนนี้ ก็เป็นไปไม่ได้นัก ไม่ว่าจะเป็นโชคร้ายหรือดี ก็ทำได้เพียงต้องดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน 

 

 

ฟานลี่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สาวเท้ายาว ๆ ไปยังหอฉุนเซียง  

 

 

โชคดีที่แม้ว่าอีกฝ่ายจะสนใจสมบัติสวรรค์ทมิฬจริง ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องมีอันตรายถึงชีวิตในทันที 

 

 

เมื่อหานลี่ก้าวเข้ามาที่ประตูหอฉุนเซียงอย่างจนปัญญา ก็มีเด็กหนุ่มเผ่าผลึกหน้าตาหมดจดคมคายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างฝั่งในประตู 

 

 

เมื่อเห็นหานลี่เข้ามา ชนต่างเผ่าระดับหลอมรวมผู้นี้ก็เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“ผู้อาวุโสลี่ ผู้อาวุโสต้วนรออยู่ในห้องแขกพิเศษหมายเลขสี่นานแล้วขอรับ ผู้อาวุโสโปรดตามผู้น้อยมา” คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะกล่าวเช่นนี้ 

 

 

“นำทางไปเถิด!” หานลี่กวาดตาไปที่ชั้นลอยชั้นหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาพลางพยักหน้า 

 

 

ห้องโถงตรงหน้าว่างเปล่า โล่งไม่มีสิ่งใด มีเพียงกำแพงสี่ด้านที่ดูไม่ออกว่าใช้วัสดุใดสร้างขึ้น กำลังส่องประกายแสงสีฟ้าจาง ๆ 

 

 

เด็กหนุ่มเผ่าผลึกเอ่ยตอบรับ ทันใดนั้นก็เดินไปทางบันไดด้านข้าง โดยมีหานลี่เดินตามเขาไป 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง หานลี่ก็มาอยู่ที่ชั้นสามของหอคอย และถูกพาไปยังหน้าห้องที่มีแสงสีทองปกคลุมอยู่ 

 

 

เด็กหนุ่มเผ่าผลึกหยุดฝีเท้าลง มือหนึ่งร่ายอาคมผายไปทางประตูห้องอีกครั้ง 

 

 

ทันใดนั้นลำแสงสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็เบี่ยงกายยืนอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในประตูก็มีเสียงพูดดังขึ้น 

 

 

“มาแล้วก็เชิญเข้ามาด้านในเถิด” 

 

 

หานลี่ได้ยินเสียงนี้ กลับตกตะลึง เผยสีหน้าประหม่าระคนสงสัยออกมา 

 

 

น้ำเสียงนี้สงบและเบาหวิว คาดไม่ถึงว่าเป็นเสียงของอิสตรี 

 

 

แต่ในยามนั้นเอง ลำแสงสีทองเบื้องหน้าพลันแยกตัวออก พลันพลิ้วไหวประตูก็เปิดออกอย่างช้า ๆ 

 

 

หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วเดินเข้าไป 

 

 

ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ลำแสงสีทองก็ผสานเข้าหากัน 

 

 

“คารวะผู้อาวุโสทั้งสอง!” หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปในห้อง สองมือก็ประสานกันคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

ห้องนี้มีขนาดสิบจั้งเศษ ในห้องถูกตกแต่งอย่างโบราณ โดยมีคนสองคนนั่งประจันกันอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่ง 

 

 

คนหนึ่งคือต้วนเทียนเหริ่น อีกคนเป็นหญิงงามเผ่าผลึกอายุประมาณสามสิบปีเศษ และอยู่ในระดับหลอมร่างขั้นต้นเช่นกัน 

 

 

ดูแล้วผู้ที่เอ่ยต้อนรับหานลี่เมื่อครู่ คงเป็นสตรีผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย 

 

 

“สหายลี่สินะ ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด” ฮูหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ 

 

 

ส่วนต้วนเทียนเหริ่นในยามนี้กลับคว้ากาสุราสีชมพูดบนโต๊ะมากรอกเข้าปาก เพียงเหลือบสายตามองหานลี่ โดยไม่มีท่าทีจะหยุดการกระทำแม้แต่น้อย 

 

 

ไม่รู้ว่าในกาสุรานั้นบรรจุสุราชนิดใด ทว่าแม้หานลี่จะเป็นคนไม่ค่อยดื่มสุรา ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ที่โชยออกมา! 

 

 

ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปาก หานลี่ก็มิได้เกรงใจนัก หลังจากคารวะอีกรอบก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ใกล้กัน 

 

 

ยามนี้ดวงตาคู่งามของหญิงงามก็กวาดมองเรือนร่างของหานลี่ 

 

 

หานลี่กลับสังเกตเห็นว่าเมื่ออีกฝ่ายกวาดสายตามาถึงแขนเสื้อของเขา สายตาแทบจะหยุดชะงักโดยแล้วก็เลื่อนสายตาออกไปในทันที 

 

 

ดูเหมือนว่าต้วนเทียนเหริ่นคงบอกอะไรกับสตรีผู้นี้ไปแล้ว  

 

 

หานลี่ลอบขมวดคิ้ว รู้สึกว่าปัญหานี้เล็กน้อยมาก เผ่าผลึกเป็นผู้ที่ชาญฉลาดมาก ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับหลอมร่างได้ ยิ่งเป็นเหมือนกับปีศาจนางมารก็ไม่ปาน 

 

 

หากคิดจะหลอกหลวงพวกนาง เกรงว่าจะมิใช่เรื่องง่าย 

 

 

“เอาล่ะ คนก็มาแล้ว เรื่องที่ควรบอกก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว จากนี้จะทำเช่นไร ก็ต้องดูที่เซียนไฉ่แล้ว ผู้แซ่ต้วนไร้การศึกษา คร้านจะใช้สมอง ทว่าสุดท้าย ข้าต้องได้มากกว่า” ต้วนเทียนเหริ่นกระดกสุรารวดเดียวจนหมด วางกาสุราลงด้านข้างแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดปาก  

 

 

“เหตุใดพี่ต้วนต้องใจร้อนเพียงนั้น! ข้าเพียงได้ยินสหายพูดมา เป็นความจริงหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์กันก่อน” หญิงงามเผ่าผลึกฉีกยิ้มเบิกบาน 

 

 

“แล้วแต่ท่านเซียนเลย อย่างไรเสียผู้อาวุโสก็ทดสอบมาด้วยตัวเองแล้ว เป็นของสิ่งนั้นไม่ผิดแน่ จริงสิ สุราเก้าหอมของท่านเลิศรสมาก ขอให้ผู้แซ่ต้วนอีกสักกาเถอะ” ต้วนเทียนเหริ่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เขย่ากาสุราไปมา เผยท่าทางโลภมากจนน้ำลายหยดออกมา  

 

 

“พี่ต้วนทำหอฉุนเซียงของข้าเป็นโรงเตี๊ยมไปแล้วจริง ๆ สุราวิญญาณเก้าหอมนี้ร้อยปีถึงจะหมักได้สิบกว่าไห วันนี้ท่านดื่มรวดเดียวไปสามกา ครั้งหน้าที่ท่านมา ข้าคงต้องเอาสุราวิญญาณธรรมดามาต้อนรับแล้ว” หญิงงามแซ่ไฉ่มองต้วนเทียนเหริ่นแวบหนึ่ง ทว่าสุดท้ายในมือก็เปล่งแสงสว่างวาบ พลันไหสุราสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นในมือ แล้วหยัดกายลุกขึ้นเติมสุราให้ต้วนเทียนเหริ่นอีกหนึ่งกา 

 

 

“ฮ่า ๆ นั่นก็เพราะในเมืองเมฆามีเซียนเพียงผู้เดียวที่หมักเหล้าชนิดนี้ได้ ผู้แซ่ต้วนเคยขอวิธีการหมักกับท่านไปหลายครั้งหลายครา น่าเสียดายนักที่ท่านเซียนหวงแหนมันเกินไป ผู้ใดก็แปลกใจ ทั้งที่ตัวท่านเซียนเองก็ดื่มสุราไม่ได้ ทว่ากลับหมักสุราที่เลื่องชื่ออันดับหนึ่งของเมืองเมฆา” ต้วนเทียนเหริ่นยกกาสุราขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง ถึงได้กล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น 

 

 

“สุราอันดับหนึ่งของเมืองเมฆา เป็นเพียงสิ่งที่สหายให้ความกรุณาเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็มิใช่ใจแคบ ทว่าวิธีหมักสุรานี้เกี่ยวข้องกับการฝึกบำเพ็ญเพียรของข้า ต่อให้ข้ามอบให้ สหายก็ไม่อาจหมัก ‘สุราวิญญาณเก้าหอม’ ได้อยู่ดี” หญิงงามเอามือเรียวปิดปาก แล้วตอบกลับอย่างด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ต้วนเทียนเหริ่นได้ฟังคำตอบ ก็หัวเราะหึ ๆ ดื่มสุราต่อไป ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก 

 

 

หญิงงามกลับพลิกฝ่ามือ หยิบจอกสุราสีทองขนาดเท่ากำปั้นออกมา นางเทสุราในไหลงไปจนเต็ม แล้วผลักไปทางหานลี่เบา ๆ 

 

 

ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีเขียวห่อหุ้มจอกสุรา แล้วค่อย ๆ เลื่อนมาหาหานลี่ช้า ๆ 

 

 

“สหายลี่มาถึงที่นี่ได้ นับเป็นวาสนาของข้า มิสู้ลองชิมสุราวิญาณเก้าหอมเสียหน่อยเล่า” หญิงงามรอจนหานลี่รับจอกสุราไปตามจิตสำนึก ถึงได้หัวเราะคิกคักออกมา 

 

 

“ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ประทานสุราให้ขอรับ!” หานลี่เอ่ยขอบคุณ ทว่าไม่ได้ดื่มหมดในรวดเดียว แต่กลับจ้องมองภายในจอกสุราสีทองชั่วแวบหนึ่ง 

 

 

ของเหลวที่มีความหนืดและแวววาวนามว่า ‘สุราวิญญาณเก้าหอม’ ภายนอกมีสีชมพูอ่อน สะท้อนกับจอกสุราสีทอง งดงามแพรวพราวราวกับทะเลสาบหินโมรา 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น แค่เพียงสูดดมกลิ่นหอมประหลาดที่กำจายออกมาจากจอกสุราเข้าไปเล็กน้อย กลิ่นนั้นก็เปลี่ยนไปหลากหลายชนิดในทันควัน ช่างน่าอัศจรรย์นัก! 

 

 

“สุราของข้าไม่เพียงมีกลิ่นที่หอมหวน ทว่าเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้สายตาชัดเจน ตัวเบา ทุก ๆ อึกสามารถลดทอนเวลาการบำเพ็ญเพียรได้” หญิงงามเอ่ยออกมาเสียงเรียบหลังกลอกตาไปมา 

 

 

“สุรามหัศจรรย์เช่นนี้ นับว่าผู้น้อยวาสนาดีไม่น้อย” หานลี่ในยามนี้มั่นใจแล้วว่าในสุราไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ยกลิ้มรสไปอีกอึกหนึ่งโยไม่ลังเล 

 

 

ราวกับน้ำแข็งเย็นเยียบไหลเข้าปาก แต่เมื่อน้ำแข็งละลายก็พลันเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น นุ่มนวล หอมหวนสุดจะเปรียบ 

 

 

กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ก็ไหลผ่านลำคอไปสู่ท้อง หานลี่แทบไม่ต้องกลืนลงไปเองเลยด้วยซ้ำ