“ปัง” เสียงดังขึ้น ฉับพลันนั้นหานลี่ก็รู้สึกว่าจุดตันเถียนมีถูกแผดเผา ทันใดนั้นพลังความร้อนก็แผ่ไปทั่วแขนขาทั้งสี่และจุดชีพจรต่าง ๆ รู้สึกปลอดโปร่งไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย 

 

 

“มหัศจรรย์ดังคาด ผู้น้อยเพิ่งเคยดื่มสุราล้ำเลิศเช่นนี้เป็นครั้งแรก” หานลี่ปรือตาทั้งสองข้างพลางลิ้มรสอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยชื่นชมออกมาจากใจจริง 

 

 

“หึ ๆ หากสุรานี้ไม่ล้ำเลิศ ผู้แซ่ต้วนคงไม่มาขอสุราที่นี่ทุกปีหรอก” ต้วนเทียนเหริ่นเบะปากหัวเราะยกใหญ่ 

 

 

“สหายทั้งสองชอบสุราที่ข้าหมัก นับว่าเป็นเกียรติของข้าแล้ว ทว่าที่เชิญสหายหานมาในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพียงดื่มสุราเท่านั้น” หญิงงามฉีกยิ้มเบิกบาน  

 

 

“ผู้น้อยเองก็แปลกใจ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทั้งสองเรียกผู้น้อยมาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ” หานลี่ใจวางจอกสุราลงแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

 

 

“ในเมื่อสหายลี่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม ข้าก็จะไม่อ้อมค้อม สหายถกแขนเสื้อข้างนั้นขึ้นให้ข้าดูฝ่ามือสักหน่อยได้หรือไม่” หญิงงามเผ่าผลึกจ้องเขม็งไปยังหานลี่ พลางเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะเอ่ยถาม 

 

 

“ฝ่ามือ!” ท่าทีของหานลี่ดูเหมือนจะตกตะลึง แต่ความจริงแล้วกลับผ่อนคลายลงไปเฮือกหนึ่ง 

 

 

ขอแค่อีกฝ่ายไม่ได้มาเพราะสมบัติสวรรค์ทมิฬ เรื่องอื่นก็พูดง่ายแล้ว 

 

 

“ใช่แล้ว ฝ่ามือในแขนเสื้อข้างนั้นของสหาย” หญิงงามเผ่าผลึกยกมือขึ้นชี้ไปที่แขนข้างหนึ่งของเขา แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา 

 

 

“ได้ ไม่มีปัญหา” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงได้ฝืนตอบรับไป  

 

 

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เผยให้เห็นฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อในที่สุด 

 

 

แต่นอกจากมือข้างนั้นจะดูขาวนวลกว่าปกติแล้ว มันก็ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก 

 

 

หญิงงามมองฝ่ามือนั้นจากไกล ๆ คิ้วดำขลับกลับเลิกขึ้น ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกมาจากผลึกศิลากลางหว่างคิ้วด้วยเร็วราวกับสายฟ้า มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ แล้วทะลวงฝ่ามือที่เพิ่งเปิดเผยออกมาของเขา 

 

 

หญิงสาวผู้นี้ท่าทีดูอ่อนโยน แต่กลับลงมืออย่างเด็ดขาด ไม่มีเค้าลางว่าจะลงมือเลยสักนิด 

 

 

หานลี่นึกไม่ถึงว่าจะมีการโจมตีเช่นนี้ ชั่วขณะที่ไม่ทันตั้งตัว จึงทำได้เพียงกางนิ้วทั้งห้าออก พลิกฝ่ามือคว้าลำแสงสีเงินนั้น 

 

 

ได้ยินเพียงเสียง “เคร๊ง” ดังขึ้นเบา ๆ ลำแสงสีเงินสว่างวาบกระแทกไปกลางฝ่ามือ เกิดเป็นเสียงกระทบราวกับโลหะกระทบกัน  

 

 

เมื่อหานลี่รวบนิ้วทั้งห้าเข้าหากัน ไม่คาดคิดว่าลำแสงสีเงินจะมาอยู่ในมือของเขา 

 

 

เมื่อนิ้วทั้งห้าแยกออกจากกันอีกครั้ง เข็มสีเงินยาวสองสามชุ่นก็ปรากฏขึ้น 

 

 

เข็มผลึกเล่มนี้เปล่งแสงระยิบระยับ สั่นเทาเล็กน้อยราวกับเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ 

 

 

แขนทั้งแขนของหานลี่ยามนี้แปลเปลี่ยนเป็นสีดำมะเมื่อมราวกับเหล็กกล้า 

 

 

ตรงหลังฝ่ามือปรากฏสัญลักษณ์ภูเขาเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับเล็ก ๆ ขึ้น นั่นก็คือสิ่งที่ภูเขาดูดปราณสร้างขึ้น 

 

 

ภูเขาลูกนี้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแขนข้างนี้ด้วยคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ เข็มสีเงินอันแหลมคมที่หญิงงามเผ่าผลึกพ่นออกมาจึงไม่สามารถทำอันตรายมันได้แม้แต่น้อย 

 

 

ทว่าใบหน้าของหานลี่กลับไม่เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา กลับมีสีหน้าไม่น่าดู 

 

 

ตรงกันข้ามกับหญิงงามเผ่าผลึกที่จ้องฝ่ามือสีดำเขม็ง หางตาเผยแววดีใจออกมาอย่างไม่อาจปิดได้  

 

 

หลังจากที่ต้วนเทียนเหริ่นกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมาชั่วแวบหนึ่ง 

 

 

“เป็นร่างดูดปราณของโฮ่วเทียนดังคาด เช่นนั้นเรื่องใหญ่ก็สำเร็จแล้ว” หญิงงามเอ่ยพึมพำ จากนั้นก็ยกมือขึ้นกวัก 

 

 

เข็มสีเงินในมือก็ดีดดิ้นหลุดออกจากฝ่ามืออย่างไม่คาดคิด พุ่งกลับไปหานาง 

 

 

เข็มสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในที่สุด แล้วก็จมหายเข้าไปในผลึกศิลาตรงหว่างคิ้วของหญิงงามอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

“ร่างดูดปราณ ผู้อาวุโสหมายความว่าเช่นใด” หานลี่สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สีหน้าถึงได้ฟื้นกลับมาเป็นปกติพลางเอ่ยถาม 

 

 

“ร่างดูดปราณ แน่นอนว่าเป็นร่างที่สามารถสำแดงลำแสงเทวะดูดปราณได้ ในเมื่อท่านสามารถผสมสมบัติเทวะดูดปราณเข้าไปในร่างของตนได้ ก็นับว่าเป็นร่างดูดปราณของโฮ่วเทียนแล้ว ทว่าเคล็ดวิชาการผสานสมบัติเข้าไปในร่าง มีความคล้ายคลึงกับ ‘เคล็ดวิชาดูดซับทองหลอมหยก’ ที่พี่สหายต้วนฝึกฝน ทว่าที่พี่ต้วนหลอมเข้าร่างมิใช่สมบัติ แต่เป็นวัตถุดิบหลอมอาวุธอันล้ำค่าชนิดต่าง ๆ” หญิงงามดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีมาก จึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม 

 

 

หานลี่ได้ยินคำนี้ พลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่เอ่ยถามอสิ่งใดอีก  

 

 

เขารู้ดีว่าที่อีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ จะต้องมีบางสิ่งที่อยากจะบอกกับตนเป็นแน่ 

 

 

ไม่ผิดจากที่คาด หญิงงามเห็นหานลี่ไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใด ปากเรียวบางก็เอ่ยปากขึ้นว่า “แม้จะเป็นจริงถึงแปดเก้าส่วน แต่ข้าก็หวังว่าจะเห็นสหายหานเอาลำแสงเทวะดูดปราณออกมาด้วยมือเปล่า ๆ กับตาของตนเอง สหายลี่คงไม่ปฏิเสธคำขอข้อนี้”  

 

 

เมื่อได้ยินคำนี้สีหน้าของหานลี่ก็เปลี่ยนไป โบกมือหนึ่งไปมาในอากาศโดยไม่เอื้อนเอ่ย 

 

 

พลันลำแสงสีเทาขมุกขมัวชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น กลายเป็นม่านลำแสงห่อหุ้มร่างของหานลี่เอาไว้  

 

 

หญิงงามเผ่าผลึกเห็นเหตุการณ์นี้แววตาก็เป็นประกาย สองมือถูกันไปมา ชูไปทางหานลี่อีกครั้ง  

 

 

เสียง “ฟิ้ว ๆ” ดังขึ้น ลูกไฟสีแดงเพลิงสองสามลูกบินออกไป 

 

 

จากเริ่มแรกที่มีขนาดแค่เท่ากำปั้น เมื่อออกห่างจากมือได้ไม่นาน ก็มีขนาดเทียบเท่าศีรษะ ดูทรงอานุภาพมิน้อย 

 

 

หานลี่มองลูกไฟเหล่านี้ ทว่ากลับไม่มีท่าทีจะหลบหลีกแม้แต่น้อย เพียงมองลูกไฟเหล่านี้โจมตีไปยังม่านลำแสงสีเทาตามลำดับด้วยตาตัวเอง  

 

 

หลังถูกลำแสงสีเทากวาดไป เสียงเบา ๆ ดังขึ้น ลูกไฟเหล่านี้ก็หมุนไปรอบ ๆ ท่ามกลางหมอกลำแสง ก่อนจะจมหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับโคลนจมมหาสมุทร  

 

 

ไม่มีอานุภาพเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย!  

 

 

“ลำแสงเทวะดูดปราณควบคุมพลังเบญจธาตุ น่าอัศจรรย์นัก สหายลงมือได้สบาย ๆ เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าฝึกฝนลำแสงเทวะนี้จนถึงขั้นสุดยอดแล้ว เกรงว่าคงไม่ต่างอะไรกับร่างเทวะดูดปราณเซียนเทียนัก พี่ต้วน ท่านคิดอย่างไร” หญิงงามแซ่ไฉ่ปรบมือ ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยถามต้วนเทียนเหริ่นอย่างยินดี  

 

 

“สหายต้วน เจ้ายืนยันอีกครั้งได้หรือไม่” ประโยคสุดท้ายของหญิงงามเอ่ยกับคนประหลาด 

 

 

แววตาของคนประหลาดเปล่งประกาย ฉับพลันมือหนึ่งก็ตะปบกลางอากาศไปทางหานลี่ 

 

 

ทันใดนั้นอักขระขนาดใหญ่ตรงปลายนิ้วก็เปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีเทาทะลักออกมาพุ่งไปทางหานลี่ 

 

 

“ลำแสงเทวะดูดปราณ” 

 

 

หานลี่เกือบร้องอุทานเมื่อมองเห็นลำแสงสีเทาพุ่งพรวดมายังตน มือหนึ่งพลันร่ายอาคม โดยไม่ต้องขบคิด ม่านลำแสงสีเทาเบื้องหน้าก็ม้วนรับลำแสงที่เข้ามา 

 

 

ลำแสงสีเทาสองชนิดก็ปะทะกัน พลันเกิดเป็นเสียงประหลาดดังเปรี๊ยะ ๆ  

 

 

ยามนี้ม่านลำแสงทั้งสองปะทะกันไปมา สุดท้ายก็เห็นถึงความต่าง  

 

 

เห็นได้ชัดว่าสีลำแสงเทวะดูดปราณของต้วนเทียนเหริ่นเข้มกว่าเล็กน้อย แต่กลับปะทุไม่มั่นคง ราวกับไม่อาจควบคุมได้อย่างอิสระดังใจ 

 

 

ใบหน้าของหานลี่ฉายแววประหลาดใจ แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วสีดำสนิทราวหยดหมึกก็ชี้ไปที่ลำแสงสีเทาเบื้องหน้า ลำแสงเทวะดูดปราณทั้งหมดรวมตัวกันที่ใจกลาง กลายเป็นลูกลำแสงขนาดใหญ่อีกลูก หมุนควงอย่างรวดเร็ว 

 

 

เกิดเป็นภาพชวนตะลึง  

 

 

ม่านลำแสงสีเทาที่ต้วนเทียนเหริ่นปล่อยออกมา ทยอยหายไปภายใต้แรงดึงดูดอันมหาศาลราวกับปะทะกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ 

 

 

“เยี่ยม! ไม่ต้องทดสอบแล้ว แม้ว่าสหายลี่จะเป็นร่างดูดปราณของโฮ่วเทียน แต่เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าศิลาดูดปราณที่พี่ต้วนดูดซับเข้าไปจนพอฝืนควบคุมได้อยู่มาก จุ๊ ๆ แทบจะไม่ต่างกับร่างดูดปราณของเซียนเทียนเลยสักนิด” หญิงงามเผ่าผลึกหัวเราะ 

 

 

“หึ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ลำแสงเทวะดูดปราณของผู้แซ่ต้วนเป็นแค่สิ่งข้าฝืนใช้ลมปราณกระตุ้นศิลาดูดปราณเท่านั้น ไม่นับว่าเป็นลำแสงเทวะดูดปราณอะไร จุ๊ ๆ กลับเป็นเคล็ดวิชาลับหลอมเข้ากับสมบัติของสหายลี่ที่ไม่ธรรมดา” ต้วนเทียนเหริ่นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ชื่นชมอีกครั้ง เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย 

 

 

“อย่างไรก็ตามโชคดีที่สหายหลอมศิลาดูดปราณเข้าไปในร่างจำนวนมาก มิเช่นนั้นคงไม่อาจสัมผัสได้ถึงสมบัติเทวะดูดปราณบนร่างสหายลี่” หญิงงามเผ่าผลึกฉีกยิ้มบาง ๆ เอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ถึงบางอ้อออกมา  

 

 

หานลี่รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย 

 

 

ยามนี้ต้วนเทียนเหริ่นใช้มือหนึ่งคว้าแล้วปล่อยออก ตัดลำแสงเทวะดูดปราณที่ปล่อยออกในทันใด แล้วนั่งลงอีกครั้งด้วยใบหน้าเรียบเฉย  

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้นก็ร่ายคาถาเก็บม่านลำแสงสีเทาเช่นกัน แต่ก็เอ่ยปากถามอย่างเสียไม่ได้ 

 

 

“ผู้อาวุโสทั้งสองให้ความสำคัญกับพลังวิเศษเช่นนี้ คงจะมีเหตุผลสินะ”  

 

 

“ข้าสองคนย่อมมีเหตุผลของตน กล่าวตามจริง ข้าและพี่ต้วนรอคนที่มีพลังวิเศษลำแสงเทวะดูดปราณมาถึงสองสามพันปีแล้ว เมื่อเห็นว่ายังไม่มีแววรวบรวมคนครบเดิมก็คิดถอดใจไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ส่งสหายมาอยู่ตรงหน้าเราสองคน” ดวงตาของหญิงงามเผ่าผลึกกลอกไปมาไม่ปกปิดความดีใจ 

 

 

“คนครบ หรือผู้อาวุโสทั้งสองหาคนที่มีร่างดูดปราณคนอื่นได้แล้ว” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกตกตะลึงขึ้นมาจริง ๆ 

 

 

“แน่นอนสิ ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วก็ต้องบอกสหายอยู่แล้ว ข้าจะบอกตามตรง พวกเราต้องการให้คนที่ใช้ลำแสงเทวะดูดปราณได้ไปทำเรื่อง ๆ หนึ่ง และมีเพียงคนที่มีพลังวิเศษนี้เท่านั้นที่จะทำให้สำเร็จได้ แต่คนเพียงคนเดียวนั้นไม่อาจทำให้สำเร็จได้ เจ้าเป็นร่างเทวะดูดปราณที่ข้าและพี่ต้วนหาเตอเป็นคนที่สามในรอบสองสามพันปีนี้” หญิงงามอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา  

 

 

“แม้ว่าลำแสงเทวะดูดปราณจะไม่ใช่เคล็ดวิชาลับที่มีหนึ่งเดียวในยุทธภพ แต่ก็เป็นพลังวิเศษที่หาได้ยากยิ่ง ข้าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าจะสามารถรวบรวมคนได้ครบ แต่ยามนี้ดูเหมือนโชคคงมาตกอยู่ที่เราสองคนแล้ว” หญิงงามฉีกเอ่ยด้วยยิ้มเริงร่า  

 

 

“นับว่าผู้น้อยเข้าใจถึงเจตนาของผู้อาวุโสแล้ว แต่ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสอยากให้ผู้น้อยช่วยเหลืออันใด” หลังจากที่หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่น ก็เอ่ยถามไปตรง ๆ 

 

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หลังจากที่ข้าและพี่ต้วนปรึกษารายละเอียดกันเรียบร้อยแล้ว ถึงจะบอกเรื่องนี้อย่างละเอียดได้อีกครั้ง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือพวกเราต้องให้สหายลี่ช่วย อย่างน้อยต้องใช้เวลาซักสองสามปี นานหน่อยก็ซักร้อยปี อย่างไรต้องเป็นไปได้แน่”  

 

 

“อะไรนะ ตอนนี้หรือ!” หานลี่ได้ยิน พลันเอ่ยแล้วขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

“ทำไมรึ สหายคิดว่าตอนนี้ไม่เหมาะสมหรือ” หญิงงามเผ่าผลึกหน้าเปลี่ยนสีเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า 

 

 

“เรื่องของสหายทั้งสอง เกี่ยวข้องกับอาณาจักรอ้างว้างใช่หรือไม่” หานลี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถามกลับด้วยความประหลาดใจ