พอหยาดฝนกลับมาเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะหมั้นกัน แล้วก็แต่งงานกัน……

เหอะ นั่นมาคือเรื่องของพวกเขา เกี่ยวอะไรกับด้วย?

แต่ว่า มือที่ห้อยไว้ข้างกายยังคงกำแน่นโดยไม่ตั้งใจ แต่ว่าใบหน้าของเธอยังคงมีรอยยิ้มจางๆ ที่เย็นชา เธอได้แต่ยิ้มและมองหน้าสุนันท์อยู่แบบนั้น

สีหน้าที่ลึกซึ้งจนคาดไม่ถูกแบบนี้ทำสุนันท์มองไม่ออก โดยเฉพาะรอยยิ้มมุมปากของเธอ ทำให้เธอรู้สึกอับอายและโมโห “เธอยิ้มอะไรของเธอ?”

“ไม่ได้ยิ้มอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกว่าชีวิตของคุณมันน่าเบื่อไปหน่อยเท่านั้นเอง เมื่อ 4 ปีที่แล้วพยายามทำทุกทางให้พวกเขาแยกออกจากกัน แต่ว่า4ปีถัดมากับจะให้เขาหมั้นกัน นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ? ไม่มีอะไรดีกว่านี้ให้ทำแล้วเหรอ”

“เธอ——”สุนันท์โมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง แล้วก็จ้องหน้าเชอร์รีนอย่างหลายกะ

“แล้วอีกอย่าง คุณคิดว่าฉันอยากจะเข้าไปอยู่ในตระกูลสิริไพบูรณ์อย่างนั้นเหรอคะ? เมื่อ 4 ปีก่อนฉันเคยเข้าไปได้ แต่ว่าตอนหย่ากันแล้วก็ไม่มีแม้แต่ค่าหย่า คุณคิดว่าฉันยังอยากจะเข้าไปอยู่ในตระกูลสิริไพบูรณ์อีกงั้นเหรอ?”

เชอร์รีนหัวเราะเบาๆ “อ้อ ใช่สิ ฉันเกือบจะลืมไปเลย เช็คใบนั้นที่ให้ฉันคุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์เป็นคนฉีกด้วยมือของตัวเอง ก็ถือว่าให้ไม่ได้ ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องพาลโกรธขนาดนั้นเลยไม่ใช่เหรอคะ?”

สุนันท์โกรธจนหน้าซีด หลังจากทะเลาะกันอยู่นาน เธอก็ไม่ได้เงินคืน แถมยังโดนยัยเจ้าผู้หญิงชั้นต่ำนี้เยาะเย้ยเธอกลับมาแทน!

“ได้ เธอจำคำพูดของเธอในวันนี้เอาไว้นะ หวังว่าในอนาคตเธอคงไม่ต้องกลายเป็นร่อนเร่เหมือนปีศาจจิ้งจอกนะ!”

ถึงแม้ว่าซารางจะยังเด็ก แต่ว่าเธอสามารถอ่านสายตาของคนออก เห็นได้ชัดว่าคุณย่ากำลังทะเลาะกับหม่ามี๊อยู่

แล้วพอได้ยินคำว่าปีศาจจิ้งจอก เธอก็รู้ในทันทีว่าย่ากำลังด่าหม่ามี๊อยู่ ดวงตาที่กลมโตจ้องมองไปที่สุนันนท์ แล้วก็พูดเสียงดังว่า “แม่มดเฒ่า ห้ามด่าหม่ามี๊นะ!”

ครั้งก่อน เธอชอบย่าคนนี้มาก แต่ว่าตอนนี้เธอไม่ชอบอีกแล้ว เพราะว่าเธอด่าหม่ามี๊เป็นปีศาจจิ้งจอก!

แม่มดเฒ่า……

สุนันท์โกรธจนเอามือกุมหัว แล้วก็มองซาราง “ทำไมหนูถึงไม่ได้รับการสั่งสอนขนาดนี้? ”

“เพราะว่าย่าด่าหม่ามี๊เป็นจิ้งจอก หนูถึงได้ด่าว่าย่าว่าเป็นแม่มดเฒ่า ย่าด่าคนอื่นก่อน แสดงว่าย่าไม่ได้รับการสั่งสอนก่อน แล้วหนูถึงตามมา!”ซารางก็รู้ว่าอะไรผิดก่อนผิดหลัง

แม่ลูกทั้งสองคนเหมือนกันมาก! พูดจาเจ็บแสบและโหดร้าย!

ควรให้ออกัสคอยจับตามองปากแม่ลูกคู่นี้ให้ดี!

“ออสัสล่ะ? ” หัวใจของสุนันท์เต็มไปด้วยเปลวเพลิง แล้วก็มองไปที่ป้าบัวที่อยู่ข้างๆ

“เมื่อกี้คุณออกัสไปบริษัทแล้วค่ะ ยังออกไปได้ไม่นานเท่าไหร่นัก”ตอนนี้ป้าบัวก็ไม่ชอบสุนันท์เท่าไหร่นัก คำพูดของเธอก็เลยไม่ค่อยน่าฟัง

พอได้ยินดังนั้น สุนันท์ก็ขยับตัวและนั่งลงบนโซฟา พร้อมกับออกคำสั่งกับป้าบัวว่า “ไล่เธอออกไป!”

คนที่เธอหมายถึงนั้น ก็คือเชอร์รีน……

พอได้ยินดังนั้น ป้าบัวก็หันไปมองเชอร์รีน แล้วก็กลับมามองสุนันท์ แต่ว่าเธอยืนยันอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน รู้สึกลำบากใจมาก

สุนันท์หยิบกาแฟบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม แล้วก็พูดด้วยเสียงที่เย็นชา “หรือว่าฉันแตะต้องเธอไม่ได้เหรอ? ตอนนี้เธอไม่ใช่ลูกสะใภ้ของตระกูลสิริไพบูรณ์อีกต่อไปแล้ว ถือได้ว่าเป็นคนแปลกหน้า แล้วนี่ก็เย็นขนาดนี้แล้ว จะปล่อยให้คนแปลกหน้ามาอยู่ในคอนโดลูกชายฉันได้ยังไง? ถ้าเกิดว่าไม่ไล่เธอออกไป เธอจะไปแทนก็ได้นะ !”

ป้าบัวยืนอยู่ที่เดิมด้วยความลำบากใจ พอเห็นดังนั้น เชอร์รีนก็หัวเราะออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูกถากถาง

ผ่านไป4ปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือว่าความคิด สุนันท์ก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนาเลย

“ถ้าเกิดว่าฉันจะไปจริงๆ จำเป็นต้องให้คุณมาไล่ด้วยเหรอคะ? ”

พอพูดจบ เชอร์รีนก็อุ้มซารางขึ้นมา แล้วก็เดินออกไปจากคอนโดโดยที่ไม่ได้แม้แต่มองหน้าสุนันท์ด้วยซ้ำ

ในตอนนี้ ในคอนโดก็เหลือเพียงแค่สุนันท์กับป้าบัว บรรยากาศเงียบผิดปกติ

ความโกรธยังคงแผดเผาอยู่ในใจสุนันท์ ดื่มกาแฟเข้าไปหลายแก้ แล้วป้าบัวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ระมัดระวัง

หลังจากผ่านไป4-5แก้ว ความโกรธของเธอก็ค่อยๆ หายไป “ต่อไป ถ้าเกิดว่าผู้หญิงคนนั้นมาที่คอนโดนี้อีก เธอต้องรีบโทรหาฉันในทันที เข้าใจไหม? ”

“ค่ะ คุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์” ป้าบัวตอบรับ

วันนี้เธอมาเพราะว่าตั้งใจจะมาหาออกัส จะให้เขาไปที่เมืองบีเจกับเธอ

สิงหานั่งเครื่องบินจากอำเภอซีซ่าตรงไปที่เมืองบีเจ ไม่ได้ผ่านเมืองs แล้วอีกอย่าง หัวหน้ามัทนาก็คิดถึงออกัสเหมือนกัน เธอคิดว่ามันคงจะดีถ้าได้ไปกับออกัส แต่ว่าใครจะไปรู้ว่า เธอจะได้เจอกับยัยผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้น!

เธอนั่งอยู่ในคอนโดเกือบชั่วโมง ก็ไม่มีอะไรให้ทำมาก สุนันท์รู้สึกเบื่อ ก็หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไป

พอเธอก้าวออกไป ป้าบัวก็โทรหาออกัสในทันที เล่าเรื่องคร่าวๆ ให้เขาฟัง

แน่นอน จากตำแหน่งของป้าบัวในตอนนี้ เธอไม่สามารถทำให้ใครไม่พอใจได้ อีกด้านหนึ่งคือแม่ของคุณออกัส ส่วนอีกคนหนึ่งคือแม่ของซาราง

ดังนั้น เธอก็เลยจงใจพูดจาอย่างคลุมเครือ แค่บอกว่ามีเรื่องไม่น่าพอใจเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองคน คุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์พูดค่อนข้างแรง คุณเชอร์รีนก็เลยอุ้มซารางออกไปแล้ว

ต่อให้เธอจะไม่ชอบคุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์ และแม้ว่าความผิดทั้งหมดจะเกิดขึ้นจากคุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์ แต่ว่าคุณหญิงตระกูลสิริไพบูรณ์ก็คือแม่ของคุณออกัส เธอจะพูดจาที่ไม่ดีเกี่ยวกับแม่ให้ลูกของเขาฟังได้ เพราะเธอรู้ดีว่าเป็นใครก็คงไม่ชอบหรอก

พอได้ยินดังนั้น เสียงของออกัสก็เข้มขึ้นเล็กน้อย ได้แต่ตอบรับเรียบๆ แล้วก็บอกให้ป้าบัวโทรหาเชอร์รีน

ตอนบ่ายของพรุ่งนี้ ให้เธอเอาซารางมาส่งที่คอนโด หรือไม่ก็ให้เขาขับรถไปรับพวกเธอกลับมาจากโรงแรม

ป้าบัวได้ยินเสียงสนทนามากมายผ่านทางโทรศัพท์ เหมือนกับว่ากำลังประชุมใหญ่อยู่ เธอก็ได้แต่ตอบรับคำสั่ง แล้วอีกฝ่ายก็ตัดสายไป

พอกลับมาถึงโรงแรม ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว เชอร์รีนอุ้มซารางที่กำลังกลับปุ๋ยขึ้นลิฟต์ แล้วก็กลับไปที่ห้องพักของตัวเอง

พอวางซารางลงบนเตียง หน้าจอโทรศัพท์ของเธอก็สว่างขึ้น ยู่ยี่โทรมาหาเธอ

เธอรีบรับสายในทันที หลังจากนั้นก็เดินไปให้ห่างจากเตียงแล้วค่อยรับสาย แล้วก็ถามว่า “เธอกับหัสดินคุยกับเป็นยังไงบ้าง? ”

“เขาบอกว่า หลายปีมานี้เรนนี่ป่วย เธอไม่มีพ่อแม่และเพื่อนฝูง บวกกับเรื่องเมื่อ4ปีก่อน ที่เขาเมาแล้วทำเรื่องอย่างว่ากับเรนนี่ลงไป เขาเลยรู้สึกผิดมาก ก็เลยคอยส่งเงินให้เรนนี่ตลอด……”

เชอร์รีนขมวดคิ้ว “เธอป่วยจริงหรือปลอม? ”

“ป่วยจริง หัสดินเอาประวัติการรักษาของเธอให้ฉันดู ตอนนี้ฟื้นตัวได้มากแล้ว แล้วเขาก็รับปากกับฉัน ว่าต่อไปจะไม่มีทางส่งเงินให้เรนนี่อีก ครั้งเดียวก็ไม่ให้แล้ว แล้วสาเหตุที่ปิดบังฉันก็เพราะว่ากลัวฉันจะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อก่อนอีก กลัวว่าฉันจะเสียใจ ก็เลยไม่ได้เล่าให้ฉันฟัง……”

เสียงของยู่ยี่เบามาก แม้แต่ลมหายใจของเธอก็ยังคงแผ่วเบา

“แล้วเธอล่ะ เชื่อเขาไหม? ”เชอร์รีนถามต่อ

ตอนนี้ หัสดินก็อธิบายเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าประเด็นก็อยู่ที่ตัวของยู่ยี่ เธอเชื่อเขา หรือว่าไม่เชื่อกันแน่?

“เชื่อ……”คำพูดของเธอชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันอยากจะเชื่อเขา ถ้าเกิดว่าเธอเป็นฉัน เธอจะเชื่อเขาไหม? ”

เชอร์รีนส่ายหน้า แล้วก็ค่อยๆ พูดว่า “ยู่ยี่ เรื่องอื่นเราสามารถคิดแทนกันได้นะ แต่ว่าเรื่องเดียวที่ไม่สามารถทำได้คือเรื่องนี้ แต่ละคนก็มีนิสัยไม่เหมือนกัน ความคิดก็ไม่เหมือนกัน เธอเข้าใจไหม? ”

นี่คือการแต่งงาน เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนคนหนึ่ง ไม่ใช่ไปดูช้อปปิ้งเสื้อผ้าที่ห้าง แล้วถามว่าสวยรึเปล่า มันไม่สามารถเอามาเปรียบกันได้ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

“ฉันเข้าใจที่เธอพูด แต่ว่าเธอลองบอกฉันมาก่อน ว่าถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะเชื่อเขาไหม? ”

ความจริงแล้ว ยู่ยี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เธออยากจะเชื่อ แต่ว่าก็ลังเล แต่ถ้าไม่เชื่อ สิ่งที่เขาพูดมันก็ดูมีเหตุผล ไม่มีรอยยั่วอะไรเลย สมเหตุสมผลหมด

“ไม่เชื่อ!”เชอร์รีนพูดออกมาช้าๆ “ถ้าเกิดว่าเป็นฉัน ฉันจะไม่เชื่อ……”

“ทำไมละ?”

“ถึงแม้ว่าเรนนี่จะเป็นคนส่งจดหมายพวกนั้นให้เขา แล้วถ้าตามที่เขาพูด ว่ารู้สึกผิดต่อเรนนี่จริงๆ การที่เขาให้เงินเธอมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องค้านเลย แต่ว่าในเมื่อเขาอ่านจดหมายทั้งหมดแล้ว ทำไมเขาต้องล็อกมันไว้ในลิ้นชักด้วยล่ะ? ”

ข้อนี้ เชอร์รีนยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก จดหมายที่อ่านจบแล้ว แต่ไม่เอาไปทิ้ง กลับล็อกไว้ในลิ้นชักแทน มันจำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยเหรอ?

ถ้าเกิดว่า เขากลัวว่ายู่ยี่จะเจอจดหมายพวกนั้นจริงๆ ทางที่ดีที่สุดของเขาคือโยนจดหมายทิ้งไป ไม่ใช่เหรอ?

“บางทีอาจจะยังไม่ทันได้ทิ้งก็ได้……”ยู่ยี่พูด

เชอร์รีนไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ว่าเธอมองออกว่า ในใจของยู่ยี่อยากจะเชื่อหัสดิน ประโยคนี้เธอก็แค่พูดออกมาเพื่อหาเหตุผลให้ตัวเองเชื่อถือเขาต่อไป

“เชอร์รีน ฉันคบกับเขามา8ปีแล้ว ฉันรอดจากอาถรรพ์7ปีมาแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ แต่ว่ามันก็เกิดขึ้นเพราะว่าเขาเมามาก แล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่เคยมีข่าวฉาวอีกเลย ครั้งนี้ ถ้าเกิดว่าเขาให้เงินเรนนี่มากมายขนาดนั้นเพราะว่ารู้สึกผิดแล้วล่ะก็ ฉันก็อยากจะเชื่อเขา……”