เล่มที่ 13 เล่มที่ 13 ตอนที่ 383 โอกาสชนะไม่มาก

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“เจ้าสำนัก! ”

คราแรกอนุซุนรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นจึงแสดงเคารพนอบน้อมสตรีนางนั้น

หลานอวี่ เจ้าสำนักห้าพิษแห่งแคว้นไหวเจียง?

เยี่ยโยวเหยาชักสีหน้าขึงขังใส่หลานอวี่

ซูจิ่นซีสังเกตสตรีนางนี้อย่างละเอียดเป็นครั้งแรก

พบว่าสตรีนางนี้สวมเสื้อผ้าคล้ายกับสตรีเผ่าเหมียวในยุคปัจจุบัน ทว่ายังดูสูงศักดิ์และสดใสกว่าสตรีเผ่าเหมียวอยู่หลายส่วน

บนศีรษะของนางสวมหมวกที่ประดับด้วยเงินบริสุทธิ์ รอบหมวกยังแกะสลักลวดลายกวางดูแปลกตา มีพู่ประดับงดงามห้อยที่ปีกหมวกทั้งสองข้างยาวจรดหัวไหล่ นางมวยผมยกเกล้าวนรอบศีรษะจรดคิ้วไม่บดบังสายตา

แม่นางท่านนี้นับเป็นสตรีงามนางหนึ่ง กอปรกับชุดสีเขียวมรกตที่สวมใส่ ยิ่งขับให้นางดูงดงาม สวยสง่า และสูงศักดิ์

อย่างไรเสีย ในยุคสมัยนี้ เครื่องประดับเงินทองของมีค่า ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถหามาใช้ได้

หลานอวี่รู้สึกว่าซูจิ่นซีมองตนอย่างไม่ละสายตา จึงมองตอบซูจิ่นซีด้วยดวงตากลมโตดำขลับ พลางยกยิ้มมุมปากส่งให้ซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ หันไปมองเยี่ยโยวเหยา

“มีปัญหาอันใดหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาใช้กำลังภายในส่งเสียงถามซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีตอบเสียงแผ่วเบาว่า “บนเรือนร่างของแม่นางท่านนี้เต็มไปด้วยพิษ แม้ไม่ได้ประมือกัน ทว่าโอกาสชนะนั้นมีไม่มาก หากปะทะกับนางจริงๆ เกรงว่าชาวบ้านในเมืองคงทนรอไม่ไหวเพคะ”

แววตาเยี่ยโยวเหยาปรากฏความขึงขัง

เวลานี้ซูจิ่นซีนับเป็นบุคคลที่เก่งกาจด้านวิชาพิษมากที่สุดในแคว้นจงหนิง กระทั่งนางยังไม่มั่นใจว่าสามารถเอาชนะหลานอวี่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้อื่น ชาวบ้านในเมืองที่ได้รับพิษไม่อาจทนรอได้จริงๆ

ซูจิ่นซีเห็นสีหน้าเยี่ยโยวเหยาดูไม่เต็มใจนัก “วางพระทัยเถิดเพคะ กูสือซานได้รับพิษหนอนเผ่าเหมียวที่หม่อมฉันเลี้ยงด้วยเลือดตนเอง แม้หลานอวี่จะนำตัวเขากลับไป แต่เขายังคงอยู่ในการควบคุมของหม่อมฉัน แม้เขาจะมีความสามารถ ทว่าในอนาคตคงไม่กล้าสร้างความวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้วเพคะ”

เยี่ยโยวเหยามองตาซูจิ่นซี ซูจิ่นซีพยักหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น

“เจ้าสำนักหลาน… หลานอวี่… ” แววตาดุดันของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หันไปมองหลานอวี่ พลางพูดด้วยน้ำเสียงต่ำและเย็นชา “วันนี้จะให้ข้าปล่อยกูสือซานก็ย่อมได้ ทว่าข้ามีเงื่อนไข”

“โอ้? เงื่อนไขอันใด? ”

“นำอัคคีศักดิ์สิทธิ์มาแลก”

อัคคีศักดิ์สิทธิ์?

นั่นคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งของสำนักห้าพิษแคว้นไหวเจียง

ซูจิ่นซีเข้าใจได้ทันทีว่าเยี่ยโยวเหยาต้องการอัคคีศักดิ์สิทธิ์เพื่ออันใด

ทว่าหลานอวี่ไม่เข้าใจ

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “อัคคีศักดิ์สิทธิ์มีไว้สำหรับทำพิธีร่ายอาคมโดยพ่อมดแห่งแคว้นไหวเจียง มิฉะนั้นก็เป็นเพียงไฟธรรมดา แม้โยวอ๋องได้มันไปก็ใช้ประโยชน์อันใดได้ไม่มากนัก หลานอวี่ไม่เข้าใจว่าโยวอ๋องต้องการอัคคีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นไหวเจียงไปเพื่อประโยชน์อันใด? ”

เยี่ยโยวเหยาคร้านอธิบายให้หลานอวี่ฟัง เขาชักสีหน้าเย็นชาและไม่พูดอันใด

ซูจิ่นซีจึงพูดขึ้นว่า “ตามที่ข้ารู้มา อัคคีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเทพแห่งสำนักห้าพิษในเมืองของเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งของที่ใช้แล้วสลายไป พวกเราใช้ไม่นาน ต้องการใช้งานเพียงเจ็ดวันเท่านั้น เรื่องอัคคีศักดิ์สิทธิ์สำหรับเจ้าสำนักหลานแล้ว นับว่าไม่สำคัญอันใด ทว่าชีวิตของท่านราชครูนั้น… ”

ซูจิ่นซีพูดด้วยท่าทีเห็นใจ นางส่ายศีรษะและขมวดคิ้วมองกูสือซานที่ถูกหนอนพิษเผ่าเหมียวทำร้ายจนหายใจรวยริน

กูสือซานที่นิ่งเงียบมาตลอดพยายามปกปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะหยิบขวดลายครามใบหนึ่งจากอกเสื้อโยนไปให้เยี่ยโยวเหยาโดยไม่มีท่าทีลังเล

รอจนเยี่ยโยวเหยาหยิบไปแล้วจึงพูดว่า “สิ่งที่อยู่ภายในขวดนี้คืออัคคีศักดิ์สิทธิ์ ครั้งนี้ข้าพกติดตัวมาไม่มาก ทว่าอัคคีศักดิ์สิทธิ์ภายในขวดนี้เพียงพอสำหรับการใช้งานเจ็ดวัน! ”

เยี่ยโยวเหยายื่นขวดลายครามใบนั้นให้ซูจิ่นซี ความหมายก็คือให้ซูจิ่นซีตรวจสอบดูว่าข้างในมีพิษหรือไม่

แม้ขวดใบนี้จะทำมาจากเครื่องแก้วลายคราม ทั้งภายในยังบรรจุด้วยเปลวไฟ ทว่าเมื่ออยู่ในมือของซูจิ่นซี รอบขวดลายครามกลับเย็นเฉียบ ไม่มีความรู้สึกร้อนแต่อย่างใด

ระบบถอนพิษทำการวิเคราะห์ข้อมูลภายในขวดลายคราม ด้านในขวดไม่พบสารพิษใดๆ ทว่าเปลวเพลิงที่พวกเขาใช้งานย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้นซูจิ่นซีต้องทำตามกระบวนการ นางเปิดระบบถอนพิษตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากตรวจสอบแล้วจึงหันไปพยักหน้าให้เยี่ยโยวเหยา

หลานอวี่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังตรวจสอบพิษ ทว่านางไม่เข้าใจวิธีการตรวจสอบพิษของซูจิ่นซี และเกิดความสงสัยอย่างมาก ทว่าเวลานี้นางเป็นห่วงอาการของกูสือซานมากกว่า จึงไม่คิดสอบถามเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบพิษของซูจิ่นซีและเดินเข้าไปหากูสือซานทันที

หลังจากที่หลานอวี่ตรวจดูอาการของกูสือซาน ใบหน้างดงามพลันปรากฏความดุดัน นางหันไปถามซูจิ่นซี “พวกเจ้าวางยาพิษหนอนเผ่าเหมียวกับเขาหรือ? ”

ซูจิ่นซีไม่ปฏิเสธ

หลานอวี่หยิบขลุ่ยสั้นขนาดเท่าฝ่ามือจากอกเสื้อขึ้นมาเป่า ไม่นานนักก็มีสตรีสองนางที่สวมชุดเช่นเดียวกับหลานอวี่ และมีท่าทางสง่างามไม่น้อยไปกว่านางปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ช่วยนางประคองตัวกูสือซาน

“พระชายาโยวอ๋อง! พวกเราทั้งสองมาทำข้อตกลงกันเป็นเช่นไร? ”

ซูจิ่นซีเลิกคิ้วราวกับสนใจในคำพูดของหลานอวี่

“เจ้าถอนพิษให้ราชครู ส่วนข้าจะถอนพิษให้ชาวบ้านในเมือง เรื่องในวันนี้นับว่าพวกเราเสมอกัน เป็นเช่นไร? ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน นางใช้หางตามองกูสือซานที่ถูกสตรีสองนางประคองไว้ “เจ้าสำนักหลาน พิษเล็กน้อยเพียงเท่านี้ เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักห้าพิษแห่งแคว้นไหวเจียง อย่าบอกนะว่าเจ้าถอนพิษนี้ไม่ได้! ”

หลานอวี่ชะงักงัน ใบหน้าพลันซีดขาว

ซูจิ่นซีพูดสำทับอีกครั้งว่า “นอกจากนั้น วันนี้แคว้นไหวเจียงของเจ้าสร้างความโกลาหลให้เมืองหลวงแคว้นจงหนิง อย่างไรก็ตาม สำหรับข้าแล้วนับเป็นพิษธรรมดา สามารถแก้ไขได้ง่ายดายยิ่งนัก เช่นนั้นเหตุใดข้าต้องทำข้อตกลงกับเจ้าด้วย? ”

สีหน้าหลานอวี่ยิ่งขาวซีด

ว่ากันตามจริง แม้ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าความสามารถด้านวิชาพิษของหลานอวี่ร้ายกาจเพียงใด ทว่าขณะที่นางปรากฏตัว ระบบถอนพิษได้วิเคราะห์พิษที่อยู่ในตัวของนางทั้งหมดแล้ว

จากระดับความร้ายกาจของพิษ ชนิดของพิษ และอื่นๆ ซูจิ่นซีสามารถวิเคราะห์ได้ว่านางสามารถต่อกรกับหลานอวี่ได้ ทว่าหลานอวี่กลับไม่รู้ว่าซูจิ่นซีเก่งกาจด้านใดบ้าง มีตื้นลึกหนาบางอย่างไร

ด้วยเหตุผลนี้ ซูจิ่นซีจึงได้เปรียบ สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ทั้งหมด

ซูจิ่นซีพูดจบ ยังพูดเสริมอีกประโยคว่า “เจ้าสำนักหลาน หากเจ้าฉลาดพอก็รีบหาวิธีถอนพิษให้ท่านราชครูของพวกเจ้าเถิด! หากยังรีรอ… ก็อย่าตำหนิว่าท่านอ๋องของพวกเราเปลี่ยนใจ อย่างไรเสีย… เรื่องที่พวกเจ้าหลอกลวงไท่จื่อแห่งแคว้นจงหนิงให้ก่อกบฏ พวกเรายังไม่ได้คิดบัญชีนี้กับพวกเจ้าเลย”

ซูจิ่นซีพูดพลางจับมือเยี่ยโยวเหยาหันหลังเดินจากไป

ใบหน้างดงามขาวสะอาดของหลานอวี่แปรเปลี่ยนเป็นขึงขังดุร้าย นางเป่าขลุ่ยสั้นเป็นทำนองแปลกประหลาด ทันใดนั้น แมลงปอโลหิตจำนวนมหาศาลก็บินมาขวางทางอยู่เบื้องหน้าซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา

“ทั้งสองท่าน ต้องขออภัยด้วย! พระชายาโยวอ๋อง หากวันนี้เจ้าไม่ถอนพิษหนอนเผ่าเหมียวให้ท่านราชครู ก็อย่าคิดจะจากไปที่ใดเลย! ”

ความอดทนของเยี่ยโยวเหยาดำเนินมาถึงขีดสุด เขาหันหลังกลับไปยกกระบี่ชี้หน้าหลานอวี่ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ลงมือเถิด! ”

ทว่าซูจิ่นซีกลับมีท่าทีกังวลใจ