สาเหตุที่ซูจิ่นซีเกิดความกังวล เพราะหากต้องประมือกับหลานอวี่จริงๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะรู้ผลแพ้ชนะ ชาวบ้านในเมืองไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไปแล้ว
ตลอดมาเยี่ยโยวเหยามักไม่ลงมือกับสตรีโดยง่าย ทว่าเขากลับพูดยั่วยุหลานอวี่เช่นนี้ ทำให้รู้ว่าเขาอดกลั้นมามากพอแล้ว
หลานอวี่ชักกระบี่ปลายอ่อนจากข้างเอวออกมา
แววตากังวลของซูจิ่นซีค่อยๆ สงบลง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเตรียมพร้อม
เยี่ยโยวเหยาประมือด้วยวรยุทธ์ ส่วนซูจิ่นซีรับผิดชอบต่อสู้ด้วยพิษ
หลานอวี่ชักกระบี่ออกมา ตัวกระบี่ส่องแสงเป็นประกายรอบทิศทาง
ขณะเดียวกัน แมลงปอโลหิตที่ขวางทางซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ตัวของมันที่เดิมทีเป็นสีแดงโลหิตกลับกลายเป็นสีเขียวมรกต
แม้สีเขียวมรกตจะเป็นสีที่สว่างสดใส ทว่าพิษของมันรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เป็นสีแดงหลายเท่า พวกมันพุ่งเข้าจู่โจมซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาอย่างดุร้าย
แววตาของเยี่ยโยวเหยาดุดัน เขากวัดแกว่งกระบี่ในมือฆ่าแมลงปอที่บินเข้ามาโจมตี ซูจิ่นซีรีบหาสมุนไพรในระบบถอนพิษเพื่อปรุงยาถอนพิษของแมลงปอโลหิต
ทว่ายาสมุนไพรของซูจิ่นซีทำได้เพียงยับยั้งแมลงปอโลหิตไว้ชั่วคราว ไม่สามารถฆ่าแมลงปอโลหิตได้ หากต้องการกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก ต้องใช้สมุนไพรอีกหลายชนิด ในระบบถอนพิษของนางมีสมุนไพรไม่ครบ อย่างไรก็ตาม ซูอวี้ได้พาคนกลับไปนำสมุนไพรเหล่านั้นมาจากหอโอสถสกุลซูแล้ว
บัดซบ!
ซูจิ่นซีสบถด่าในใจ
บัดซบที่สุด ก่อนการเพิ่มระดับของระบบถอนพิษ สมุนไพรก็ไม่เพียงพอ ทว่าเวลานี้ระบบถอนพิษได้ยกระดับเป็นขั้นที่สองแล้ว สมุนไพรก็ยังไม่พอในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้อีก
ซูจิ่นซีรู้สึกสงสัยว่าระบบถอนพิษที่ผู้อาวุโสของสำนักถังเหมินให้มานี้เป็นของปลอมรุ่นสำเนาคัดลอกหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดว่าระบบถอนพิษเป็นของแท้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่ปรากฏเบื้องหน้ามีอันตรายถึงชีวิต
เหล่าแมลงปอโลหิตที่ถูกเยี่ยโยวเหยาสังหารเป็นเหมือนกับสมุนไพรกินคนที่แดนต้องห้ามของสกุลจง มันขยายพันธุ์ขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว
เมื่อศพของแมลงปอโลหิตตกลงบนพื้นก็กลายเป็นฝุ่นผง จากนั้นฝุ่นผงก็ขยายพันธุ์เป็นแมลงปอโลหิตตัวใหม่นับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว หัวของมันใหญ่กว่าแมลงปอโลหิตตัวเดิมสองถึงสามเท่า
นี่มันตัวอันใดกัน?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเคร่งเครียด
หลานอวี่แสดงสีหน้าลำพองใจ นางเก็บกระบี่และเริ่มเป่าขลุ่ยควบคุมแมลงปอโลหิตเหล่านั้น
เมื่อแมลงปอโลหิตได้ยินเสียงขลุ่ย ก็ยิ่งทวีความรุนแรงในการจู่โจมซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
“เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับสกุลจง? ”
ซูจิ่นซีมั่นใจอย่างมากว่าเหล่าสมุนไพรกินคนในสกุลจงกับแมลงปอโลหิตที่อยู่เบื้องหน้ามีที่มาเดียวกัน
“พระชายาโยวอ๋อง พูดให้มากความเพื่ออันใด? เรื่องในวันนี้ไม่ได้ซับซ้อนดั่งที่เจ้าคิด ขอเพียงเจ้าถอนพิษให้ท่านราชครู ทุกอย่างก็สามารถพูดคุยกันได้ง่าย ข้ารับรอง ตราบใดที่ราชครูกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนหน้านี้ ข้าจะถอนพิษทั้งหมดในแคว้นจงหนิง คืนความปกติสุขให้เมืองหลวง”
“เจ้าสำนักหลาน ดูแล้วเจ้าคงเติบโตมาด้วยการกินกระเทียมเป็นอาหารกระมัง? ” ซูจิ่นซีพูด
หลานอวี่ไม่เข้าใจความหมายของซูจิ่นซี ใบหน้าแสดงออกด้วยความสับสน
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเย้ยหยัน “วาจาสามหาว! ที่นี่เป็นเขตแดนแคว้นจงหนิงของข้า ผู้ใดรุกรานเมืองข้า ไม่ว่าใกล้หรือไกล ฆ่าไม่ละเว้น! ”
ซูจิ่นซีกล่าวด้วยแววตาดุดัน นางยกมือขึ้น ทันใดนั้นสัตว์เทพกิเลนก็พุ่งออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น เปลี่ยนร่างจากขนาดเล็กกลายเป็นสัตว์เทพตัวใหญ่
“สัตว์เทพกิเลน? ” หลานอวี่ประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า “สัตว์เทพกิเลนอยู่กับเจ้าได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก แววตาแสดงออกอย่างไร้เดียงสา “เหตุใดข้าถึงมีมันไม่ได้? ”
“เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับสกุลจง? ”
“สกุลจง… ” ซูจิ่นซีลากเสียงยาว ตั้งใจปกปิดให้นางอยากรู้ “เจ้าลองเดาดู! ”
ขณะที่พูด ดวงตาของซูจิ่นซีพลันปรากฏความดุดัน นางชี้นิ้วไปที่กูสือซานพลางออกคำสั่ง “สัตว์เทพกิเลน ฉีกร่างของคนผู้นั้น แล้วข้าจะให้สมุนไพรโบตั๋นแดงหนึ่งต้นและอวิ๋นกุ้ยสองผล”
สมุนไพรโบตั๋นแดงและอวิ๋นกุ้ย เป็นสมุนไพรชั้นเลิศระดับสอง แววตาของสัตว์เทพกิเลนเผยความตื่นเต้น มันพุ่งเข้าโจมตีกูสือซานอย่างดุร้าย
“ซูจิ่นซี เจ้ากล้าหรือ! ”
ใบหน้าของหลานอวี่ไม่หลงเหลือความลำพองใจและอวดดีเหมือนก่อนหน้า นางไม่มีเวลาเป่าขลุ่ยควบคุมแมลงปอโลหิต ทำได้เพียงชักกระบี่ปลายอ่อนจากเอวขึ้นมาต่อสู้กับสัตว์เทพกิเลนและปกป้องกูสือซาน
เมื่อสัตว์เทพกิเลนถูกขวางทางก็แผดเสียงคำรามด้วยความดุดัน มันพ่นเปลวเพลิงเหมันต์เข้าจู่โจม
หลานอวี่ตกใจรีบถอยห่าง แม้นางจะสามารถหลบเปลวเพลิงเหมันต์ของสัตว์เทพกิเลนได้ ทว่ายังคงได้รับบาดเจ็บจนกระอักเลือด
ส่วนแมลงปอโลหิต เมื่อเห็นสัตว์เทพกิเลนปรากฏตัวก็มีอาการเหมือนสมุนไพรกินคนที่แดนต้องห้ามสกุลจง มันตกใจบินถอยไกลออกไปหลายจั้ง
พวกมันยังคงมีท่าทีดุร้ายต่อซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา ทว่าไม่กล้าเข้าใกล้
สตรีสองนางที่ช่วยประคองกูสือซาน เมื่อเห็นสัตว์เทพกิเลนที่มีท่าทางดุดันน่าเกรงขามก็ตกใจจนสลบไปทันที สัตว์เทพกิเลนใช้กรงเล็บขนาดใหญ่ปัดไปทีหนึ่ง สตรีทั้งสองจึงกระเด็นลอยไปไกล จากนั้นสัตว์เทพกิเลนก็คาบกูสือซานที่อยู่ในสภาพหมดสติขึ้นมาราวกับเป็นของเล่น
สัตว์เทพกิเลนจับตัวกูสือซานมาได้ ทว่าไม่ได้ ‘ฉีก’ ร่างของกูสือซานตามคำสั่งของซูจิ่นซีทันที มันกลับนึกสนุกโยนกูสือซานเล่น เหมือนแมวที่ซุกซนไล่ตะปบหนูและโยนหนูไปมาในอากาศ
สัตว์เทพกิเลนโยนเล่นไม่สูงนัก สักพักกูสือซานก็หล่นลงบนเท้าของสัตว์เทพกิเลนอย่างรวดเร็ว
กูสือซานได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังได้รับพิษ ไม่มีทางรับมือกับการเล่นที่รุนแรงของสัตว์เทพกิเลนได้ จึงกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรงหลายครั้ง
หลานอวี่ร้อนใจตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น พลางตะโกนหยุดสัตว์เทพกิเลน “หยุดเดี๋ยวนี้! ”
สัตว์เทพกิเลนหันไปมองหลานอวี่ด้วยสายตาต่อต้านและพ่นเปลวเพลิงไปที่นาง
“พระชายาโยวอ๋อง บอกให้มันหยุดเดี๋ยวนี้! ”
หลานอวี่แผดเสียงใส่ซูจิ่นซี ในขณะที่นางลอยกระเด็นตกลงบนพื้น
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “หยุดหรือ? กล้าดีอย่างไร? เจ้าบอกเหตุผลให้ข้าฟังหน่อยสิ! อย่าลืมว่าข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว และเป็นเจ้าเองที่ยั่วยุก่อน”
“ข้าสำนึกผิดแล้ว! พระชายาโยวอ๋อง หยุดเถิด เจ้าออกคำสั่งให้สัตว์เทพกิเลนหยุดมือเถิด! ข้าจะพาราชครูจากไปเดี๋ยวนี้ และจะถอนพิษทั้งหมดในเมืองหลวงแคว้นจงหนิง”
หึ…
เป็นถึงเจ้าสำนักห้าพิษ ไม่เพียงพูดอ้อนวอนซูจิ่นซี ทั้งยังยอมถอยโดยการอาสาถอนพิษให้ทั้งหมด
ทว่าซูจิ่นซีไม่สนใจ!
“สายไปแล้ว!!! ”
“ข้าจะถอนพิษให้ผู้ที่ได้รับพิษทั้งหมด และจะสลายหมอกพิษที่ปกคลุมเมืองหลวง รับรองว่าจะไม่มีสารพิษหลงเหลือแม้แต่น้อย! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแผ่วเบา
หลานอวี่เห็นสัตว์เทพกิเลนทรมานกูสือซานจนอาการสาหัส ทว่าซูจิ่นซียังไม่ยอมออกคำสั่ง จึงยิ่งร้อนใจ
“ซูจิ่นซี เจ้าต้องการอันใด? ว่ามา! เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่? ขอเพียงเจ้าปล่อยท่านราชครูไป ข้ายอมเจ้าทุกอย่าง”
“เจ้ายอมข้าทุกเรื่องเลยหรือ? ”
“แน่นอน! ”
“เจ้ากล่าวเองนะ? ”
“ข้าเป็นคนรักษาคำพูด! ”
“ตกลง เช่นนั้นเจ้าก็ปลิดชีพตนเองเถิด! ”