แม้ว่าเมิ่งชิงซีจะหวาดผวาจากการที่เธอทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้สึกดีใจมากที่ถังโจวโจวแท้งลูกไป คุณป้าลั่วต้องเกลียดขี้หน้าถังโจวโจวมากกว่าเดิมแน่ๆ เธอจะคอยดูว่าถังโจวโจวจะทำให้คุณป้าพอใจได้อีกครั้งอย่างไร 

 

 

           เมิ่งชิงซีเกลียดเด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว เพราะการมีอยู่ของเขาทำให้คุณแม่ลั่วทรยศเธอ ย้ายฝั่งไปอยู่กับถังโจวโจว ไหนยังจะให้เลิกคิดถึงลั่วเซ่าเชินอีก เมิ่งชิงซีคิดขึ้นมาแล้วก็โมโห 

 

 

ฉินอวิ๋นเห็นว่าสีหน้าของเมิ่งชิงซีดูหงุดหงิด แต่ยังไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ได้ “ดูท่าแล้ว ลูกยังมีเรื่องที่จะบอกแม่อีก?” จริงๆ ฉินอวิ๋นรู้ว่าเมิ่งชิงซีจะพูดอะไร แต่เธอแค่รู้สึกว่าลูกสาวของเธอนั้นมีเรื่องอยากจะพูดอีก 

 

 

           เมื่อเมิ่งชิงซีถูกฉินอวิ๋นถามเช่นนี้ เธอก็นึกถึงปัญหาที่มันรบกวนจิตใจเธอมาตลอดวัน เธอขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ฉินอวิ๋นมากขึ้นและกระซิบว่า “แม่คะ หนูจะทำยังไงดี ตอนนี้เซ่าเชินสงสัยหนู เขาจะไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ห้าง” 

 

 

           เมิ่งชิงซีใจเต้นตึกตัก เมื่อเธอนึกถึงแววตาของลั่วเซ่าเชินที่มองมาที่เธออย่างสะอิดสะเอียน เธอก็รู้สึกหัวใจแตกสลาย ที่เธอทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ได้เซ่าเชินมาไม่ใช่หรือ? แต่เขาไม่เข้าใจเธอเลยสักนิด ซ้ำยังจะตามใจยายถังโจวโจวนั่นอีก! 

 

 

“เอาละ แม่จะช่วยลูกเอง ชิงซี คราวหน้าคราวหลังลูกต้องระวังให้ดีสิ ในเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว ก็อย่าทิ้งปัญหาไว้ให้ตัวเอง” ฉินอวิ๋นไม่ได้บ่นลูกสาว เธอคิดว่าเธอและลูกสาวมีสภาพแวดล้อมในการเติบโตที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจัดการของลูกจึงไม่ได้ช่ำชองอย่างเธอ 

 

 

ฉินอวิ๋นนึกถึงวีรกรรมที่เธอเคยทำ เธอไม่เคยทิ้งปัญหาไว้ให้ตัวเองเลย เธอจึงเชิดหน้าชูตาและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระจนถึงตอนนี้ และเธอก็ยังสามารถคว้าหัวใจของเมิ่งไหวเซินเอาไว้ได้อีกด้วย ติดอยู่นิดเดียว จนป่านนี้แล้วผู้เฒ่าเมิ่งยังไม่ยอมรับเธอเลย 

 

 

โชคดีที่ผู้เฒ่าเมิ่งรักและเอ็นดูชิงซีมาก เพื่อเห็นแก่หน้าของชิงซีและไหวเซิน เขาจึงไม่ค่อยทำให้เธอลำบากใจ แม้ว่าฉินอวิ๋นจะไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์หลังเก่า หนึ่งปีก็เจอหน้าผู้เฒ่าเมิ่งเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ผู้เฒ่าเมิ่งก็ยังคงดูถูกดูแคลนเธอ จนมันกลายเป็นปมในใจของฉินอวิ๋นมาตลอด 

 

 

“จริงเหรอคะแม่… แม่ดีกับหนูที่สุดเลย!” เมื่อเมิ่งชิงซีได้ยินฉินอวิ๋นพูดเช่นนั้น ดวงใจที่หนักอึ้งของเธอก็ผ่อนคลายลง แบบนี้เซ่าเชินก็ทำอะไรเธอไม่ได้แล้ว ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เขาก็ต้องเชื่อ 

 

 

ฉินอวิ๋นเห็นว่าเมิ่งชิงซีพึงพอใจเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกว่าลูกสาวของเธอไม่เคยเรียนรู้อะไรจากเธอบ้างเลย แต่ฉินอวิ๋นก็รู้สึกดีที่ลูกสาวของเธอเป็นแบบนี้ ตราบใดที่ไหวเซินยังรักชิงซี เธอก็ไม่ต้องกังวลใจกับชิงซีอีก 

 

 

“แม่มีลูกเป็นลูกสาวคนเดียว ถ้าไม่ดีกับลูก แล้วจะให้ไปดีกับใครล่ะ” พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ ฉินอวิ๋นยังมีปมในใจอีกปมหนึ่ง เธอไม่สามารถมีลูกชายให้เมิ่งไหวเซินได้ เธออยู่กินกับเขามานาน แต่ท้องของเธอก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย 

 

 

ความหวังในใจของฉินอวิ๋นค่อยๆ ริบหรี่ลง ท้ายที่สุดเธอก็สามารถยอมรับความจริงที่ว่า ชีวิตนี้เธออาจจะมีได้แค่เมิ่งชิงซี เพราะฉินอวิ๋นไม่มีลูกชาย ผู้เฒ่าเมิ่งจึงไม่ยอมรับเธอ 

 

 

ถ้าฉินอวิ๋นมีหลานชายให้ตระกูลเมิ่งได้ ในสายตาของผู้เฒ่าเมิ่ง เธอก็คงจะมีที่ยืนที่ดีกว่านี้ แต่ไม่ว่าฉินอวิ๋นจะพยายามมากแค่ไหน ร่างกายเธอก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ ดังนั้นเธอจึงมองว่าเมิ่งชิงซีเป็นดั่งชีวิตจิตใจของเธอ 

 

 

โชคดีที่เมิ่งไหวเซินไม่ได้หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของลูกชาย แม้ว่าจะมีเมิ่งชิงซีเป็นลูกสาวแค่เพียงคนเดียว แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับเธอ ฉินอวิ๋นจึงโล่งอกไป 

 

 

เมิ่งชิงซีเอาแต่ฝังตัวออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกของฉินอวิ๋น ฉินอวิ๋นตีศีรษะเธอเบาๆ “ชิงซีเอ๊ย โตจนป่านนี้แล้ว ยังจะอ้อนอยู่อีก ลุกขึ้นมานั่งกินข้าวดีๆ หิวแล้วใช่ไหม” 

 

 

“แม่ขา หนูหิว หนูอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งนาน ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย” เมื่อเมิ่งชิงซีได้รับคำเตือนจากฉินอวิ๋น ท้องของเธอก็เริ่มร้องโครกครากขึ้นมาทันที 

 

 

           ฉินอวิ๋นร้อนใจ เมื่อได้ยินว่าตั้งแต่เที่ยงเธอยังไม่ได้กินอะไร “เอ๊ะ เด็กคนนี้นี่ หิวแล้วทำไมไม่หาอะไรกินล่ะ ผู้หญิงคนนั้นมีค่ามากกว่าท้องที่หิวของลูกหรือไง” 

 

 

ฉินอวิ๋นยิ่งไม่ชอบถังโจวโจวมากขึ้นไปอีก เมิ่งชิงซีพูดต่อไปอีกว่า “ก็หนูไม่มีทางเลือกนี่คะ เซ่าเชินเขาอยู่ตรงนั้น ถ้าหนูยังออกไปกินข้าวได้อย่างสบายใจ เซ่าเชินเขาจะมองหนูเป็นคนยังไง แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ถังโจวโจวแท้งลูก แลกกับหนูที่ไม่ได้กินข้าวแค่มื้อเดียวก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” 

 

 

เมื่อฉินอวิ๋นเห็นเมิ่งชิงซีพูดได้อย่างง่ายดาย เธอก็ไม่พูดอะไรอีก “พอๆ ยังจะพร่ำอยู่อีก หิวแล้วก็รีบกินข้าวสิ จะรอให้แม่ป้อนหรือไง” ฉินอวิ๋นรู้ว่าเมิ่งชิงซีกำลังมีความสุข แม้ว่าเธอจะห่วงเมิ่งชิงซีอยู่ลึกๆ แต่ตอนนี้เธอก็ไม่อยากขัดความสุขของลูก 

 

 

“แม่ก็รีบกินเถอะค่ะ พ่อยังไม่กลับ เดี๋ยวหนูกินเป็นเพื่อน” 

 

 

“เรานี่จริงๆ เลย ถึงคุณพ่อจะยังไม่กลับบ้าน ลูกก็ไม่ต้องมากินข้าวเป็นเพื่อนแม่หรอก” แม้ว่าฉินอวิ๋นจะพูดสบายๆ แต่ความจริงแล้วเธอก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เมิ่งชิงซีมีให้เธอ ลูกสาวของเธอคิดถึงเธอแบบนี้ ไม่เสียแรงที่เธอคอยช่วยเหลือลูกสาวอยู่ตลอด 

 

 

เมิ่งชิงซีหัวเราะอย่างมีความสุขและไม่ตอบอะไร เธอรีบกินข้าวอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้เธอจะหิวแค่ไหน เธอก็ยังกินด้วยท่วงท่าสง่างาม ไม่เสียแรงที่ฝึกอบรมมารยาทผู้ดีมาตั้งหลายปี 

 

 

 

 

 

ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวคุยกันอยู่อีกพักหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าสีหน้าของถังโจวโจวเริ่มแสดงอาการอ่อนเพลีย เขาก็กดให้เธอนอนลงเพื่อพักผ่อน ถังโจวโจวไม่อยากนอน แต่ลั่วเซ่าเชินยังดื้อที่จะทำอย่างนั้น เธอจึงต้องนอนลงไป 

 

 

เธอมองไปที่ร่างกายสูงใหญ่ของลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวเอ่ยถามในขณะที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม “เซ่าเชิน เมื่อไรฉันจะได้กลับบ้านคะ ฉันไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินช่วยห่มผ้าห่มให้เธอ “ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลย ดูแลร่างกายให้ดีก่อน อย่างน้อยช่วงนี้คุณก็ควรอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล พอผ่านไปสักพัก ผมจะไปถามคุณหมอและเอาคำตอบที่แน่ชัดมาให้คุณ” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินจัดห้องพักผู้ป่วยแบบวีไอพีให้ถังโจวโจว อยู่ที่นี่ถังโจวโจวจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินตั้งท่าจะออกจากห้องไป เธอก็รีบผงกหัวขึ้นถาม “เซ่าเชิน คุณจะไปไหนคะ” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอดูหวาดผวาอยู่เล็กน้อย เขาเดาว่าเธอน่าจะรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาจึงเดินกลับมาหาและลูบศีรษะเธอ “ผมไม่ไปไหนหรอก แค่จะไปอาบน้ำ เดี๋ยวผมกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณนะ” 

 

 

ถังโจวโจวถึงได้วางใจ ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ไปไหนก็ดีแล้ว เธอเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้เธอดูเหมือนจะตกใจเกินเหตุไปหน่อย แต่เธอแสดงอาการนั้นออกไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ ถังโจวโจวจึงได้แต่พูดต่ออย่างเขินอายว่า “ค่ะ เซ่าเชิน ฉันจะรอคุณกลับมา” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินลูบศีรษะเธออีกครั้ง “สบายใจได้ ผมไปไม่นานหรอก” ทันใดนั้นถังโจวโจวก็รู้สึกได้ว่าลั่วเซ่าเชินลูบศีรษะเธอแบบนี้เหมือนกับที่เขาลูบหัวสุนัขอย่างไรอย่างนั้น แล้วถังโจวโจวก็คิดว่าความคิดของเธอตลกดี ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป 

 

 

ถังโจวโจวยังสงสัยอยู่ว่าลั่วเซ่าเชินจะอยู่ในห้องพักผู้ป่วยกับเธอได้อย่างไร แม้ว่าภายในห้องจะมีโซนครัวและห้องน้ำ แต่ว่าเตียงมันก็มีแค่หลังเดียว ถ้าลั่วเซ่าเชินจะอยู่กับเธอที่นี่ เขาก็ต้องนอนบนโซฟาตัวเล็กนั่น แต่ลั่วเซ่าเชินมือเท้ายาว ถ้าเขานอนบนโซฟา เขาต้องอึดอัดอย่างแน่นอน 

 

 

แต่แล้วเมื่อพยาบาลมาถึง ปัญหานี้ก็ถูกแก้ไข พยาบาลสองคนเข็นเตียงหลังหนึ่งมาไว้ที่ข้างเตียงของถังโจวโจว ถังโจวโจวถึงได้เข้าใจแผนของลั่วเซ่าเชิน ที่แท้ก็มีเตียงเสริมนี่เอง ใช่สิ ก็เขาเป็นคุณชายนี่ เขาจะทรมานร่างกายตัวเองได้อย่างไร! 

 

 

ลั่วเซ่าเชินสั่งให้หวังหวาเอาเสื้อผ้ามาให้เขาชุดหนึ่ง หลังจากเขาชำระร่างกายเสร็จแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ถือกะละมังน้ำร้อนที่มีผ้าขนหนูอยู่ในนั้นเดินออกมา “เซ่าเชิน นี่คุณจะทำอะไรคะ” เมื่อถังโจวโจวเห็นเขาถือกะละมังอยู่ในมือ เธอก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ 

 

 

นี่มันไม่ใช่ภาพลักษณ์ของเขาที่เธอคุ้นชินเลย ลั่วเซ่าเชินกลอกตา “แค่นี้ก็ดูไม่ออกเหรอคุณ ผมจะเช็ดตัวให้คุณไง” 

 

 

“หา! คุณจะเช็ดตัวให้ฉัน?” ถังโจวโจวใจเต้นตึกตักเมื่อมองดูลั่วเซ่าเชินค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหน้าของเธอถึงแดงก่ำแบบนี้ 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ถังโจวโจวยังลงจากเตียงไม่ได้ แต่เขาก็รู้ว่าเธอรักความสะอาด ในเมื่ออาบน้ำไม่ได้ ก็ขอให้ได้เช็ดตัวก็ยังดี แค่นี้เธอก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว 

 

 

ลั่วเซ่าเชินเลิกผ้าห่มออก เขาไม่ได้ปลดกระดุมเสื้อของถังโจวโจว เขาเลิกเสื้อขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะนาบผ้าขนหนูร้อนลงไปบนผิว 

 

 

ถังโจวโจวหยุดเขาไม่ทันแล้ว เธอนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะบุ่มบ่ามมากขนาดนี้ เสื้อก็ไม่ถอด นึกจะเช็ดก็เช็ดเลย ความจริงแล้วเธออยากให้ลั่วเซ่าเชินเรียกพยาบาลมา แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดแบบนั้น ลั่วเซ่าเชินก็เริ่มลงมือเช็ดตัวให้เธอแล้ว 

 

 

ลั่วเซ่าเชินไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เขารีบเช็ดตัวให้ถังโจวโจวและดึงเสื้อลงมาให้เรียบร้อย เขากลัวเธอจะหนาว เขามองดูถังโจวโจวที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ทันใดนั้น ลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกนึกขำกับท่าทางของเธอ “มองอะไร ยังไม่รีบนอนอีก” 

 

 

“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อน” ถังโจวโจวรู้สึกว่าที่ลั่วเซ่าเชินทำสิ่งนี้ให้เธอ ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อน วันๆ ลั่วเซ่าเชินมักจะชอบเหน็บเธอเป็นครั้งคราว อีกทั้งยังโมโหโกรธเธออยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งถังโจวโจวก็รับมือไม่ไหว 

 

 

แต่วันนี้ลั่วเซ่าเชินเขายุ่งทั้งวัน ตอนนี้ก็ยังจะมาเช็ดตัวให้เธออีก และไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับเธอเลยด้วย ถังโจวโจวคิดว่าเขาไม่เหมือนเดิมแบบนี้เป็นเพราะลูกใช่ไหม? 

 

 

“ไม่เหมือนตรงไหน คุณจะบอกว่าเมื่อก่อนผมทำไม่ดีกับคุณเหรอ” ลั่วเซ่าเชินเลิกคิ้วขึ้น 

 

 

ถังโจวโจวกลัวว่าเขาจะโกรธ เธอจึงรีบพูดว่า “เปล่าค่ะ ไม่ใช่ เมื่อก่อนคุณก็ดีกับฉัน แต่ตอนนี้คุณยิ่งดีขึ้นไปอีก เซ่าเชิน ถ้าเป็นเพราะลูก คุณไม่จำเป็นต้อง…” 

 

 

ลั่วเซ่าเชินตัดบทก่อนที่เธอกำลังจะพูด “พอแล้ว โจวโจว ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด คุณรีบนอนเถอะ” 

 

 

ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินไม่อยากคุยถึงเรื่องนี้ เธอก็ไม่เซ้าซี้อีกต่อไป เธอปิดเปลือกตาลง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอหลับตาลงแล้ว เขาก็ยกกะละมังไปเทในห้องน้ำ จากนั้นเขาก็นอนลงบนเตียงที่ตั้งอยู่ข้างๆ ถังโจวโจว 

 

 

พยาบาลดันเตียงทั้งสองหลังชิดกัน ดังนั้นจึงเหมือนว่าพวกเขากำลังนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ด้วยกัน ลั่วเซ่าเชินโอบถังโจวโจวเข้ามาในอ้อมแขน ส่วนถังโจวโจว เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากแผงอกของเขา เธอก็เข้าสู่นิทราไปอย่างช้าๆ 

 

 

เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวหายใจอย่างสม่ำเสมอ เขาก็ค่อยๆ นึกถึงคำที่ถังโจวโจวเพิ่งพูดออกมา ความจริงแล้วลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องทำเช่นนั้น แค่เขาแสดงออกให้ถังโจวโจวเห็นว่าเขารักและห่วงใยเธอ ถังโจวโจวก็ไม่วุ่นวายแล้ว แต่ทำไมเขาถึงต้องทำมากกว่านี้ล่ะ? 

 

 

ลั่วเซ่าเชินได้แต่ทบทวนความผิดของตัวเอง เป็นเพราะเขามีเรื่องบางอย่างที่ปิดบังถังโจวโจวไว้ และวันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้มาโรงพยาบาลกับถังโจวโจว เธอจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้อย่างไร?