บทที่ 385 ออกเดินทาง ปัญหางานแต่งของหวังจิ่นหลิง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ตงหลิงจื่อชุนพลันหันกลับไปมอง พร้อมกับถลึงตาใส่หวังจิ่นหลิงในทันที ในยามนี้ เขาถึงได้รู้ว่า บริเวณโดยรอบของเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยคนมากมาย สีหน้าของตงหลิงจื่อชุนจึงแปรเปลี่ยนเป็นความอับอายในทันที
เขาหาได้ยินสิ่งใดไม่ นอกจากประโยคที่ว่า “ยามร่วมห้อง กลับเรียกชื่อบุรุษคนอื่น” อีกทั้งยังได้ยินอย่างชัดเจนเสียด้วย เขาเชื่อว่า ผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็จะได้ยินเช่นกัน
ตงหลิงจื่อชึนรู้สึกอับอายยิ่งนัก ถ้าหากเขามิได้จำผิดไปละก็ คืนนั้น องค์หญิงเหยาหวา กอดเขาพร้อมกับเรียกว่าเขาว่า “จื่อลั่ว”
ความอับอายเช่นนี้ ไม่ต่างกับการกล่าวว่าตนเองมิได้เรื่องเลยทีเดียว การที่ตงหลิงจื่อลั่วไม่ชอบองค์หญิงเหยาหวามิใช่เรื่องผิดนัก แต่องค์หญิงเหยาหวาต้องมาเป็นพระชายาของเขา หากในใจของพระชายาตนเองมีแต่บุรุษผู้อื่นละก็ อีกทั้งผู้คนในใต้หล้ากลับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาที่ถูกฝ่าบาทเลี้ยงดูตามใจเช่นนี้ จะไปรับได้ได้อย่างไรกัน
โดยเฉพาะ เมื่อถูกสตรีพูดออกมาเช่นนี้ มันเหมือนกับว่าเขาไม่อาจเทียบกับตงหลิงจื่อลั่วได้เลย
ตงหลิงจื่อชุนสีหน้าพลันเขียวคล้ำ พร้อมกับกวาดสายตามองทุกคนที่รอดูเรื่องสนุกอยู่ที่นี่ ทำเอาผู้คนที่กำลังรอชมเรื่องราวต้อ งอกสั่นขวัญผวา พร้อมกับรีบจากไปในทันที
“ชิงเฉิน เจ้าช่างชั่วร้ายยิ่งนัก องค์หญิงเหยาหวายังมิทันได้แต่งเข้าไป เจ้าก็พูดยั่วยุสร้างความไม่พอใจให้กับสามีของนางเสียแล้วแล้ว เช่นนี้ อนาคตข้างหน้า นางจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร” หวังจิ่นหลิงหาได้เห็นตงหลิงจื่อชุนอยู่ในสายตาไม่ พร้อมกับเดินออกไปพร้อมกับเฟิ่งชิงเฉินในทันที
ยามที่เขาเดินออกมานั้น ก็พลันพบว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังยืนรอเขาอยู่
แท้จริงแล้ว หากเฟิ่งชิงเฉินมิรอเขา เขาก็จะเดินออกไปพร้อมกับเฟิ่งชิงเฉินอยู่ดี ค่ำคืนนี้ เฟิ่งชิงเฉินสร้างปัญหาเอาไว้มากมายนัก
“ปฏิบัติตัวต่อคนอื่นเช่นไร ก็ย่อมได้รับการการกระทำเช่นนั้น ชีวิตที่ยังมิได้แต่งงานกับสตรีที่แต่งงานแล้ว ล้วนแต่ใช้ชีวิตแตกต่างกัน ข้าเพียงแค่เพิ่มสีสันให้กับชีวิตหลังแต่งงานขององค์หญิงเหยาหวาเท่านั้นเอง” เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีสนใจไม่ แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะต้องมาเจอกับด้านที่ร้าย ๆ ของนางเช่นนี้ ในเมื่อนางหาได้เป็นสตรีที่ดีไม่
“มีเหตุผล ต้องให้ช่วยหรือไม่ ?” จิตใจของมนุษย์อย่างไรก็ย่อมมีความรู้สึกลำเอียงอยู่เสมอ ในสายตาของหวังจิ่นหลิงนั้น ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำเช่นไรกับองค์หญิงเหยาหวา เขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ช่วยเหลือ? เฟิ่งชิงเฉินพลันส่ายหน้าไปมา หวังจิ่นหลิงทำเพื่อนางมาเยอะแล้ว นางมิอยากจะสร้างความลำบากให้กับเขาอีก ในเมื่อตัวเขาเป็นถึงผู้นำตระกูลหวังเช่นนี้ เขาย่อมต้องแบกรับภาระหน้าที่ในตระกูลหวังเอาไว้ ความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับมีมากมายพอแล้ว
หากเทียบกับความรับผิดชอบที่หวังจิ่นหลิงต้องเผชิญนั้น เรื่องของนางไม่ควรจะถูกพูดถึงเสียด้วยซ้ำ แต่เฟิ่งชิงเฉินก็หาได้ปฏิเสธน้ำใจของหวังจิ่นหลิงจนหัวชนฝาไม่ นางแย้มยิ้มกล่าวออกมาว่า “อะไรกัน คุณชายใหญ่ มาสนใจเรื่องรบราฆ่าฟันของเหล่าสตรีตั้งแต่เมื่อใด”
แม้ว่า เรื่องจะเกี่ยวพันไปถึงบุญคุณความแค้น แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเฟิ่งชิงเฉินนั้น กลับดูเหมือนเรื่องของสตรีที่แย่งชิงความโปรดปรานจากบุรุษตนเองเสียมากกว่า เมื่อหวังจิ่นหลิงเข้าใจเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดใจมากกว่าเดิมอีก เฟิ่งชิงเฉินมักจะคิดถึงผู้อื่นก่อนตนเองอยู่เสมอ แต่ทว่า คนพวกนั้นเคยคิดถึงนางบ้างหรือไม่?
ยามที่หวังจิ่นหลิงกำลังจะหันหน้าไปหาเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็พลันเห็นใบหน้าของนางที่ได้รับบาดเจ็บในทันที เขายิ่งรู้สึกปวดใจยิ่งนัก “ชิงเฉิน หากเจ้าไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้มออกมา หากเจ้ายิ้มออกมาเพียงครั้งเดียว ใบหน้าของเจ้าอาจจะเจ็บได้”
เฟิ่งชิงเฉินพลันจับใบหน้าของตนเองโดยไม่ใส่ใจ พลางกล่าวว่า “มิเป็นไร ข้ามิได้เจ็บ”
ยามที่หนานหลิงจิ่นฝานตบนางนั้น ถึงแม้ว่านางจะมิได้หลบ แต่นางก็รู้จักวิธีเลี่ยงมิให้โดนจุดสำคัญ เพื่อลดถอนพละกำลังของหนานหลิงจิ่นฝานที่ลงแรงมาตบนาง มิเช่นนั้น ด้วยแรงตบของหนานหลิงจิ่นฝานนั้น ฟันของนางคงได้หักไปเจ็ดแปดซี่แล้วกระมัง อาการบาดเจ็บบนใบหน้าของนางในยามนี้ เพียงแค่ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกตกใจไปเท่านั้น อย่างน้อยก็ไม่เท่ากับที่นางใช้แรงตบลงไปบนใบหน้าของหนานหลิงจิ่นฝานหรอก
นี่ถือเป็นข้อดีของหมอ เนื่องจากว่า พวกนางรู้ดีว่าจุดไหนบนร่างกายที่จะได้รับความเจ็บปวดมากที่สุด หรือว่าจุดไหนอ่อนแอมากที่สุด
“ข้าขอโทษ เป็นข้าที่มาช้าเกินไป หากข้ามาเร็วกว่านี้ เจ้าก็คงมิต้องมาเจ็บตัว” หวังจิ่นหลิงเอาแต่โทษตัวเอง ยามที่เขาทราบเรื่องนั้น หาได้รีบมุ่งหน้าไปที่พระราชวังไม่ เพียงแต่รีบมุ่งหน้าไปที่ห้องประชุมของตระกูลหวังแทน พร้อมกับไปตามหาท่านผู้อาวุโสตระกูล เพื่อกล่าวว่า เขายอมเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังแล้ว
หวังจิ่นหลิงหาได้พูดปดไม่ ตระกูลหวังมีความคิดที่อยากจะให้หวังจิ่นหลิงขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลหวังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ยินยอมเสียเอง โดยเฉพาะ การที่ให้เขาต้องมีบีบบังคับบิดาของตนเอง ให้ลงจากตำแหน่งผู้นำ เพื่อให้ตนเองขึ้นเป็นแทนนั้น อย่างไรหวังจิ่นหลิงก็ไม่ทำอย่างแน่นอน
แต่ทว่า ยามที่เขาได้รับข่าวจากคนในวังนั้น ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะต้องออกหน้าเพื่อช่วยเหลือ พร้อมกับยินยอมรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังแต่โดยดี เนื่องจากว่า มีเพียงตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังเท่านั้น ที่จะสามารถปกป้องเฟิ่งชิงเฉินได้ ใช้เพียงชื่อเสียงของคุณชายใหญ่ตระกูลหวังนั้น ไม่อาจกดอำนาจของหนานหลิงจิ่นฝานลงได้
“เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี หนานหลิงจิ่นฝานเองก็มิใช่ว่าโดนข้าฟาดกลับไปหนึ่งทีหรือ อีกทั้งเขาก็ขอโทษข้าแต่โดยดีแล้ว จิ่นหลิง ในวันนี้ข้าถึงได้รู้ว่า เจ้าเองก็มีด้านที่ให้อารมณ์ของตนมาควบคุมเหตุผลเช่นนี้ด้วย ข้าเอาแต่คิดเสมอว่าเจ้าเป็นคุณชายที่สุภาพบุรุษและอ่อนหวาน ที่แท้เจ้าก็มีมุมเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน” เฟิ่งชิงเฉินอยากจะรู้นัก ว่าระหว่างหวังจิ่นหลิงและหนานหลิงจิ่นฝาน พวกเขามีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่ เหตุใดหนานหลิงจิ่นฝานถึงได้ก้มหัวให้กับหวังจิ่นหลิงด้วยความนอบน้อมถึงเพียงนั้น? ช่างน่าสงสัยเสียจริง
หนานหลิงจิ่นฝานนั้น นับว่าเป็นปรมาจารย์ทางด้านความเย่อหยิ่งยิ่งนัก เขาไม่เห็นเสด็จอาเก้าอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ
หวังจิ่นหลิงรู้สึกเขินอายกับคำพูดขของเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก เขินเสียจนใบหูของเขาพลันขึ้นสี นับว่าโชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินมิทันได้เห็น “ข้าก็หาได้ให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลเช่นนั้นไม่ แต่ทว่า ผู้นำตระกูลหวังไม่สามารถพูดจาดี ๆ ได้ มิเช่นนั้นจะถูกผู้คนดูเบาเอา”
นับว่าเป็นคำอธิบายที่ดีแล้ว เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนั้น นางก็เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ฐานะของคน มักจะเป็นตัวกำหนดคำพูดคำจาที่ถูกส่งออกมา อย่างน้อยคำพูดของหวังจิ่นหลิงก็ดูมีน้ำหนักกว่านางมากนัก ทำให้นางดูเหมือนเป็นเพียงเสือกระดาษที่ไม่มีผู้ใดเกรงกลัวไปเลยทีเดียว
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันนั้น ทั้งสองคนก็ได้เดินมาถึงรถม้าของหวังจิ่นหลิงพอดี หวังจิ่นหลิงจึงยื่นมือออกไป เพื่อที่จะช่วยประคับประคองเฟิ่งชิงเฉินให้ขึ้นไปนั่งบนรถม้า แล้วตนเองถึงได้ตามขึ้นมา เมื่อนั่งลงไปได้ไม่นาน ก็พลันมีขันทีเดินเข้ามากล่าวว่า “คุณชาย ยาของท่านขอรับ”
“อื้ม” กล่องยาตลับเล็ก ๆ พลันวางอยู่บนกลางฝ่ามือของหวังจิ่นหลิงในทันที “ชิงเฉิน เจ้าทายก่อน มิเช่นนั้นมันอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นที่ไม่น่าดูเอาไว้ได้”
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก แม้แต่ตัวนางเองยังลืมที่จะหายามาทา แต่บุรุษผุ้นี้กลับจำได้ เฟิ่งชิงเฉินพลันรีบร้อนพยักหน้าลงในทันที ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังยื่นมือเข้าไปหยิบตลับยามานั้น หวังจิ่นหลิงกลับชักมือหนี พร้อมกับเปิดตลับยาออกมาเอง แล้วจึงควักยากออกมาเล็กน้อย “เจ้าเอียงหน้าเข้ามา”
ความอ่อนโยนของหวังจิ่นหลิงมีอำนาจมากมายยิ่งนัก เขาจะไม่ยอมปล่อยให้นางปฏิเสธโดยเด็ดขาด ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยินยอมหรือไม่ เขาก็หยิบยาออกมาทาให้บนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเสียแล้ว อีกทั้งยังทาไปมาอย่างช้า ๆ
ตัวยาที่มีความเย็น รวมไปถึงนิ้วที่มีความอุ่น ๆ ลากผ่านบนใบหน้าของนาง
มันช่วยบรรเทาให้รอยแดงบนใบหน้าของนางลดลงไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ทว่าความร้อนบนใบหน้ากลับเห่อร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
ร้อนยิ่งนัก!
เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกว่ารถม้าคันเล็กยิ่งนัก หวังจิ่นหลิงอยู่ใกล้นางเกินไปแล้ว อากาศมิค่อยถ่ายเทเลย
ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดที่จะผลักหวังจิ่นหลิงออกไปนั้น ก็พลันได้ยินหวังจิ่นหลิงกล่าวขึ้นมาว่า “อีกสามวัน ตระกูลหวังจะจัดงานเลี้ยงขึ้น เพื่อแจ้งให้ทุกคนได้รู้ว่า ตระกูลหวังได้มีการเปลี่ยนผู้นำตระกูลแล้ว อีกทั้งยังเป็นการบอกว่า ข้าต้องแบกรับภาระหน้าที่ของตระกูลหวังแล้วเช่นกัน หลังจากงานเลี้ยงจบลง ข้าจะต้องออกจากเมืองหลวงไปที่เมืองชิงสุ่ย นี่ถือเป็นบททดสอบของตระกูลหวังที่ได้มอบให้กับข้า เมื่อถึงเวลานั้น ข้าต้องออกจากเมืองหลวงไปเป็นเวลาครึ่งปีเลยทีเดียว ”
“บททดสอบของตระกูลหวัง เช่นนั้นมันไม่ควรจะทำก่อนที่เจ้าจะเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือ? เจ้าได้เป็นถึงท่านผู้นำตระกูลแล้ว เหตุใดจะต้องมีบททดสอบอีกด้วย?” เป้าหมายของเฟิ่งชิงเฉินพลันเปลี่ยนไปในทันที นางมิได้กังวลกับการกระทำของหวังจิ่นหลิงเมื่อครู่อีกแล้ว แต่นางกลับเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาแทน
“ข้าเป็นกรณีพิเศษ จึงได้จัดแบบทดสอบไว้ในภายหลัง” แท้จริงแล้ว บททดสอบของตระกูลหวังได้จบไปก่อนหน้านั้นแล้ว ในยามที่หวังจิ่นหลิงออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองในครานั้น ก็คือบททดสอบผู้นำตระกูลหวัง แต่ในครานี้ การที่หวังจิ่นหลิงต้องออกไปจากเมืองหลวง คือบทลงโทษที่คนของตระกูลหวังมอบให้เขา เนื่องจากว่าหวังจิ่นหลิงไม่ต้องการจะตบแต่งฮูหยินเข้าจวน
เฟิ่งชิงเฉินมิค่อยเข้าใจธรรมเนียมของคนในยุคนี้มากนัก แต่ในขณะเดียวกัน นางเชื่อใจในความสามารถที่มีคุณธรรมของหวังจิ่นหลิง นางจึงมิได้คิดอะไรมากมาย พร้อมกับกล่าวถามด้วยความเป็นกังวลว่า “มันจะอันตรายหรือไม่”
“ย่อมต้องอันตรายอยู่แล้ว แต่ทว่า เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป ตระกูลหวังย่อมไม่ให้ข้าได้พบเจอกับอันตรายต่าง ๆ อย่างแน่นอน เมื่อมีตระกูลหวังคอยปกป้องเช่นนี้ จะไปมีผู้ใดกล้าทำร้ายข้าได้” ความมืดในดวงตาของหวังจิ่นหลิงนั้น พลันมีประกายอะไรบางอย่างออกมา ราวกับว่า เขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างลงไปแล้ว
“เช่นนั้นก็ได้” เฟิ่งชิงเฉินพลันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เรื่องของคนในตระกูลหวังนั้น นางไม่อาจเข้าไปช่วยเหลืออันใดได้ แต่ทว่า มีบางอย่างที่นางสามารถทำได้