บทที่ 386 ล้างด้วยเลือด ไม่ควรต่อกรกับตระกูลขุนนาง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นั่นก็คือ ยาที่หวังจิ่นหลิงต้องใช้ในระหว่างการเดินทาง
ในเมื่อต้องออกจากจวนไปนานนับปีเช่นนี้ หากต้องมาพบเจอกับอาการปวดหัวตัวร้อนนับว่าเป็นเรื่องปกติ เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่า หวังจิ่นหลิงออกจากจวนในแต่ละครั้ง มักจะมีท่านหมอติดไปกับหวังจิ่นหลิงด้วยเสมอ แน่นอนว่าทักษะการแพทย์ของท่านหมอนั้น ย่อมไม่แย่ แต่ทว่า
การออกจากจวนในแต่ละครั้ง ย่อมต้องมีตัวยามากมายที่ไม่อาจใช้ได้ทันท่วงที บางทีหวังจิ่นหลิงอาจจะต้องนำยาแพทย์แผนจีนไปเป็นคันรถก็ได้ แต่ทว่า ยาของแพทย์แผนจีนนั้น ต้องใช้วัตถุดิบในการนำมาทำตัวยามากมายนัก บางทีการออกเดินทางเช่นนี้ พวกเขาอาจจะไม่สามารถซื้อวัตถุดิบบางอย่างได้ หรือหากเกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้นมา มันย่อมไม่คุ้มค่าที่เสี่ยงเอา
อีกทั้งตัวยาของแพทย์แผนจีนได้ผลลัพธ์ช้ากว่า หวังจิ่นหลิงต้องออกจากเมืองไปด้วยภาระหน้าที่ที่มากมายเช่นนั้น หากเขาเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ย่อมไม่อาจมีเวลามากมายในการใช้พักฟื้น แม้ว่าแพทย์แผนตะวันตกจะมีข้อจำกัดด้วยตัวของมันเอง แต่ทว่ากลับเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วกว่า ฉะนั้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงตัดสินใจว่า นางจะช่วยหวังจิ่นหลิงจัดเตรียมพวกยาฉุกเฉินต่าง ๆ เอาไว้ให้เขาไปใช้ระหว่างการเดินทาง
“จิ่นหลิง ก่อนเจ้าจะไป ให้ไปหาข้าที่จวนซุนหน่อยเถิด ข้าจะได้จัดเตรียมยาเผื่อเอาไว้ให้เจ้า”
“ได้ วันมะรืนนี้ข้าจะไปหาเจ้าที่จวนตระกูลซุน” ความตั้งใจของเฟิ่งชิงเฉินนั้น หวังจิ่นหลิงย่อมไม่อาจปฏิเสธไปได้ แม้ว่าเขาจะคิดว่า ยาพวกนั้นอาจะไม่ได้ใช้ก็ตาม
นี่หาได้เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากเมืองหลวงไม่ ทุกครั้งที่เขาออกไป เขาก็มักจะกลับมาอย่างปลอดภัยอยู่เสมอ หวังจิ่นหลิงจึงมิทันได้คาดคิดว่า ยาที่เฟิ่งชิงเฉินได้จัดเตรียมให้กับเขานั้น มันจะมีประโยชน์มากเพียงใด หวังจิ่นหลิงเพียงแค่คิดว่า มันเป็นเพียงความหวังดีที่เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจมอบให้กับเขาเท่านั้น เขาถึงได้คิดที่จะรักษาน้ำใจของนางเอาไว้
หลังจากที่เรื่องเกิดขึ้นแล้วนั้น หวังจิ่นหลิงย่อมรู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนัก นับว่าเป็นโชคดีที่ได้เฟิ่งชิงเฉินช่วยจัดเตรียมยาไปให้เขามากพอ มิเช่นนั้น หวังจิ่นหลิงจะต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลที่อายุสั้นมากที่สุดเป็นแน่
สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินเตรียมยาเอาไว้ให้เขาก็คือ ยาช่วยชีวิต!
“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาหาข้าวันมะรืน ข้าจะได้จัดเตรียมของเอาไว้ให้” ในหัวของเฟิ่งชิงเฉินพลันคิดทบทวนไปมา นอกจากยาใช้ภายนอกแล้ว ควรจะนำยาป้องกันตัวติดไปให้เขาด้วยเล็กน้อย จิ่นหลิงถือเป็นคุณชายที่มีฐานะสูงส่ง เขาย่อมไม่รู้จักทักษะการป้องกันตัวเองเป็นแน่ หากว่าองครักษ์ไม่อาจมาปรากฏตัวช่วยเขาได้ทันละก็ การที่หวังจิ่นหลิงมีอุปกรร์ช่วยป้องกันตัวเองเอาไว้ จะได้ช่วยยืดเวลาออกไปให้พวกเหล่าองครักษ์ได้หน่อยนึง
ยาถอนพิษอะไรต่าง ๆ ก็ควรจะจัดเตรียมไปด้วย ความปลอดภัยต้องเป็นที่หนึ่ง หากเกิดมีคนวางยาพิษเขาขึ้นมา พวกเขาย่อมต้องลำบากเป็นแน่ เฟิ่งชิงเฉินได้แต่คิดคำนวณไปมา ก็พลันพบว่า ของที่นางจะต้องเตรียมให้หวังจิ่นหลิงมีมากมายนัก มิรู้ว่า รถม้าของเขาจะใส่ของพอหรือไม่
หลังจากที่หวังจิ่นหลิงทายาให้เฟิ่งชิงเฉินเสร็จแล้วนั้น ก็กลับไปนั่งที่เดิม พร้อมกับมองไปยังเฟิ่งชิงเฉินที่ทำหน้ามุ่ยขบคิดว่า จะต้องเตรียมของอะไรให้กับเขาบ้าง หวังจิ่นหลิงที่เห็นเช่นนั้น พลันรู้สึกว่า ลักษณะพวกเขาสองคนในยามนี้ คล้ายกับฮูหยินที่กำลังคิดเตรียมของให้กับสามี ยามที่ต้องออกเดินทางไปที่ไกล ๆ ก็ไม่ปาน
แม้ว่ามันจะดูไร้สาระ แต่กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจยิ่งนัก
หวังจิ่นหลิงหาได้รบกวนเฟิ่งชิงเฉินอีกไม่ เขารอจนกว่าเฟิ่งชิงเฉินใช้ความคิดจนเสร็จ ก็พลันเห็นเฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าลงด้วยความพอใจว่า “ของที่จะต้องเตรียมไปก็มีเท่านี้ กลับไป ข้าจะรีบไปเตรียมของให้กับเจ้า”
“อื้ม เพียงแค่เป็นของที่เจ้าเตรียมเอาไว้ ข้าจะต้องเอาไปด้วยแน่นอน” หากเป็นของที่เฟิ่งชิงเฉินเตรียมเอาไว้ให้กับเขา เขาย่อมต้องเอาไปด้วย แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ใช้ก็ตามแต่
เอ่อ แม้ว่าคำพูดนี้จะดูปกติ แต่เหตุใดเมื่อฟังดูแล้วเฟิ่งชิงเฉินกลับรู้สึกแปลก ๆ ยิ่งนัก? แต่ทว่า นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแปลกตรงที่ใด เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็ไม่อาจหาเรื่องมาพูดคุยอันใดได้อีก
หวังจิ่นหลิงก็เป็นคนเช่นนี้ เมื่อเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไป เขาก็รีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องไปในทันที เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของนาง
“ชิงเฉิน เรื่องการสร้างจวนตระกูลเฟิ่งขึ้นมาใหม่นั้น ข้าได้สั่งให้จิ่นหานไปจัดการแล้ว เมื่อถึงเวลา ข้าจะให้จิ่นหานนำช่างฝีมือของตระกูลหวังมาทำงานให้เจ้าเอง เจ้าวางใจได้ บ้านไม้ที่เป็นห้อง ๆ อย่างที่เจ้าต้องการนั้น พวกเขาจะทำตามอย่างที่เจ้าต้องการอย่างแน่นอน”
ตระกูลหวังมีช่างฝีมือเป็นของตนเอง อีกทั้งช่างฝีมือของตระกูลหวังนั้น มีฝีมือมากกว่าช่างภายในราชวังถึงสามส่วน ยามที่คนในราชวงศ์ต้องการสร้างตำหนักใหม่นั้น ก็จะมาหยิบยืมช่างของคนในตระกูลหวังไปช่วยงานเช่นกัน
“เรื่องนี้ ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก ข้าจะหาคนมาทำเองดีกว่า” ช่างฝีมือตระกูลหวังมีชื่อเสียงมากนัก ซุนเจิ้งเต้าเคยเล่าให้นางฟังมาก่อน อีกทั้งยังเป็นเตือนสตินางอย่างอ้อม ๆ ด้วยว่า ทางที่ดีอย่าได้ใช้ช่างของตระกูลหวังเป็นอันขาด มิเช่นนั้น มันอาจจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาก็เป็นได้
สิ่งที่สำคัญก็คือ ผู้ที่มีใจคิดอิจฉาริษยามีมากมายนัก คนชนชั้นสูงในเมืองหลวงมีมากเพียงใด พวกเขาล้วนแต่อยากเชิญให้คนตระกูลหวังไปสร้างเรือนสร้างจวนให้ทั้งนั้น แต่ทว่า พวกเขาล้วนแต่ถูกตระกูลหวังปฏิเสธกลับมาจนหมด หากนางที่เป็นเพียงเด็กกำพร้า สามารถได้ตัวช่างตระกูลหวังไปได้นั้น เช่นนี้ย่อมต้องมีคนมาคอยจับจ้องนางมากมายอีกเป็นแน่
เรื่องการซื้อการขาย หากมากไปย่อมไม่ดี หวังจิ่นหลิงสามารถช่วยปกป้องนางได้ แต่เขาย่อมไม่อาจช่วยปกป้องนางไปทั้งชีวิตได้ มิใช่หรือ?
อีกทั้งหวังจิ่นหลิงเอง ก็มีเรื่องที่ต้องจัดการด้วยเช่นกัน เขาย่อมไม่อาจมาช่วยคุ้มกันนางได้ตลอดเวลา และในยามนี้ หวังจิ่นหลิงก็เป็นถึงผู้นำตระกูลหวังแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใจเขาคิดได้
คืนนี้เขาออกหน้าช่วยนาง หากหวังจิ่นหลิงกลับจวนไป บางทีเขาอาจจะต้องโดนผู้อาวุโสภายในจวนตระกูลหวังอบรมเอาได้
ความกังวลของเฟิ่งชิงเฉินนั้น หวังจิ่นหลิงรับรู้ได้เป็นอย่างดี เขาเพียงแค่อยากให้เฟิ่งชิงเฉินได้แต่สิ่งที่ดี ๆ เท่านั้น แต่เขามิได้คิดถึงในมุมมองของนางที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวต่าง ๆ “ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้ช่างของตระกูลหวังก็ได้ ในเมืองหลวงมีช่างฝีมือของชาวบ้านมากมายนัก เมื่อถึงเวลา ข้าจะให้จิ่นหานหามาให้เจ้าเอง”
“นี่นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องไปรบกวนถึงจิ่นหานหรอก เมื่อถึงเวลาข้าจะไปตามหาเอง หากหาไม่เจอจริง ๆ ละก็ ข้าค่อยไปให้จิ่นหานมาช่วยหาก็ได้” นางสกุลเฟิ่งหาใช่สกุลหวังไม่ สินทรัพย์ที่ตระกูลหวังมี ย่อมมิได้ให้นางนำมาใช้สอย เพื่อต้องการที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น นางจะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลหวัง
แน่นอนว่า สิ่งที่นางเกลียดมากที่สุด คือกฎเกณฑ์ภายในตระกูลหวัง บ้านขุนนางชนชั้นสูงบางคน มีกฎเกณฑ์ภายในตระกูลมากมายเสียยิ่งกว่าในวังหลวงเสียอีก นางรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก ยามที่ไปเยือนตระกูลหวังในทุก ๆ ครั้ง
เมื่อพูดถึงตระกูลหวังนั้น นางก็พลันนึกเรื่องของหนานหลิงจิ่นฝานขึ้นมาได้ในทันที ก็พลันลังเลไปครู่หนึ่ง พร้อมกับพยักหน้าลง เพื่อตัดสินใจที่จะกล่าวถามออกมา และก็เพื่อไขข้อข้องใจของตนเองด้วย “ใช่แล้ว จิ่นหลิง หนานหลิงจิ่นฝานเป็นอันใดไปหรือ เหตุใดเขาถึงดูหวาดกลัวเจ้ายิ่งนัก”
“เขาหาได้กลัวข้าไม่ เขากลัวคำว่าผู้นำตระกูลหวังสี่คำนี้” หวังจิ่นหลิงไม่คิดปกปิดเรื่องราวต่อเฟิ่งชิงเฉิน ถึงแม้ว่า เรื่องนี้จะถูกปิดเป็นความลับต่อคนทั่วไป หากมิใช่เพราะหนานหลิงจิ่นฝานทำเช่นนี้ เขาก็คงไม่ยินยอมรับช่วงต่อ ตำแหน่งผู้นำตระกูลหวังหรอก
“จักรพรรดิองค์ก่อนของหนานหลิงใช้สกุลหวัง”
“หา?” เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่กล้ามองหน้าหวังจิ่นหลิงมากนัก “เหตุใดหนานหลิงจิ่นฝานคือคนของตระกูลหวัง? เช่นนั้น ตระกูลหวังจะสามารถจงรักภักดีต่อราชวงศ์ตงหลิงได้อย่างไร ”
ท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินที่ตกตะลึงนั้น นับว่าสร้างความเพลิดเพลินให้กับหวังจิ่นหลิงยิ่งนัก “นับว่าใช่ หนานหลิงจิ่นฝานนับว่าเป็นตระกูลหวังอีกสายหนึ่งเช่นกัน แต่ทว่าความสัมพันธ์กับเขาและพวกข้า หาได้มีความสนิทชิดเชื้อกันไม่ โดยทั่วไปแล้ว ตระกูลใหญ่ๆ มักจะเป็นกันเช่นนี้ เมื่อมีลูกหลานมากมาย พวกเขาก็จะกระจัดกระจายตัวไปอาศัยอยู่ไปทั่วแคว้นแดนทั้งเก้า เพื่อไปมีผู้นำเป็นของตนเอง แต่ทว่าหากท่านผู้นำของพวกเขาตายไปแล้ว หากไม่สามารถหาผู้นำคนต่อไปขึ้นมาแทนได้ มิเช่นนั้น สายหลักเองก็ไม่อาจไม่เข้าไปยุ่งด้วยได้เช่นกัน แต่สิ่งที่เจ้าพูดถึงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ตงหลิงนั้น นับว่าไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากว่าลูกหลานตระกูลขุนนางจะจงรักภักดีต่อตระกูลของตนเท่านั้น”
“แล้วฝ่าบาทจะทนได้งั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกมึนงงยิ่งนัก แต่นางก็พอจะเข้าใจเรื่องราวได้ ในยุคปัจจุบัน มีชาวจีนไม่น้อย สามารถเข้าไปรับตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลในแถบยุโรปหรืออเมริกาได้เช่นกัน รวมไปถึง ประเทศจีนก็มีคนต่างประเทศ เข้ามารับตำแหน่งในภายในได้ด้วยเช่นกัน เพียงแค่ต้องมีความจงรักภักดีในตำแหน่งของตน ขอเพียงแค่สามารถทำงานทุกอย่างได้ลุล่วงก็พอแล้ว
“ทนไม่ได้ก็ต้องทน ขุนนางในราชสำนัก สองในสามล้วนแต่มาจากลูกหลานตระกูลขุนนาง หากฝ่าบาทมิคิดจะใช้งานตระกูลขุนนางเหล่านั้น ประเทศก็จะไม่อาจเดินต่อไปได้” นี่นับเป็นจุดแข็งของตระกูลชนชั้นสูง นั่นหมายความว่า ตระกูลเหล่านี้เอง ก็จะสามารถมีส่วนได้ส่วนเสียในการเข้าร่วมศึกแย่งชิงอำนาจในราชสำนักเช่นกัน ถึงแม้ว่า ฝ่าบาทจะต้องคอยกดอำนาจเหล่าตระกูลขุนนางพวกนี้เอาไว้ เพื่อให้พวกเขามีอำนาจน้อยลง แต่ทว่า หากฝ่าบาทคิดที่จะล้มล้างตระกูลเหล่านี้ ก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน เนื่องจากว่า พวกตระกูลขุนนางเหล่านั้น ก็สามารถคิดหาวิธีตอบโต้กลับได้
หากกดดันพวกเขามากเกินไป ก็เรียนรู้จากตระกูลชุยเสีย ตระกูลชุยมักอาศัยอยู่อย่างสันโดษ พร้อมกับนั่งชมใต้หล้าที่เกิดความระส่ำระสายไปมา พวกเขานั่งอยู่บนกองเงินของความมั่งคั่งที่ตระกูลของตนเองได้เก็บสะสมเอาไว้ เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายของลูกหลานในรุ่นต่อ ๆ ไป หากรวบรวมทรัพย์สินร้านค้าที่ดินต่าง ๆ นั้น พวกเขาก็จะสามารถคอยหล่อเลี้ยงคนในตระกูลต่อไปได้อีกนาน
แต่ทว่า หากเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นเล่า หากพวกตระกูลขุนนางไม่อาจอยู่อย่างสันโดษได้ หากว่าฝ่าบาทพบเห็นเข้าเล่า แล้วนำกำลังพลมาฆ่ากวาดล้างชั่วโคตรล่ะ?
นั่นถือว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุอย่างแท้จริง !