บทที่ 196 ขาของเขาอาจพิการ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

แต่องค์ชายกลับไม่ได้แสดงอาการซึมเศร้าใดๆ ออกมา เมื่อได้ยินทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เขาก็ยังหัวเราะเบาๆ ไปด้วย ไม่ได้ออกอาการมาก ถึงอย่างไรก็เพิ่งฟื้น ร่างกายยังคงอ่อนแอมาก

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะกลับ องค์ชายก็เรียกวิชที่มักจะเป็นผู้ช่วยของเขาอยู่เสมอ “นายอย่าเพิ่งไป ฉันมีอะไรจะคุยกับนายหน่อย”

วิชพยักหน้าและนั่งลงบนขอบเตียง “หัวหน้า ว่ามาได้เลย”

“ตอนนี้ในมือของฉันมีค้างอยู่หลายคดีไม่ใช่เหรอ? นายกลับไปบอกผู้กำกับให้มอบหมายให้คนอื่นไปสืบแทน”

วิชขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ทำไมต้องให้คนอื่นไปสืบแทน? คดีพวกนั้นกว่าหัวหน้าจะช่วงชิงมาได้มันไม่ง่ายเลยนะ ผมไม่ไป!”

“นายอย่าใช้อารมณ์ทำงาน! ตอนนี้ฉันมีสภาพแบบนี้ จะกลับไปวิ่งสะสางคดีได้ยังไง?”

“ก็แค่นอนโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ? พอหัวหน้าหายดีแล้ว ค่อยกลับไปสะสางคดีพวกนั้นก็ได้!”

“ปณวิช! นายลองกล้าพูดจาอวดดีกับฉันอีกทีสิ! คดีพวกนั้นเป็นชีวิตคน! เอาชีวิตคนมาล้อเล่นกับฉันได้ยังไง!” องค์ชายกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาทันที

วิชไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ครับผม!”

แพทย์เจ้าของไข้เดินเข้ามาในตอนนี้พอดี เขามององค์ชายแล้วบอกว่า “อุบัติเหตุไม่ได้ทำให้คุณได้รับบาดเจ็บในส่วนอื่นๆ จากผลการเอกซเรย์ ส่วนอื่นๆ ปกติดี มีเพียงส่วนที่ได้รับความเสียหายอย่างเดียวก็คือขา คุณมีอาการอัมพาตที่เกิดจากการคลาดเคลื่อนและกดทับของกระดูกสันหลัง ต้องทำการผ่าตัดรักษาอย่างทันท่วงที”

องค์ชายพยักหน้า จากนั้นจึงมองไปทางวิชที่ยังอยู่ในอาการมึนงง “ออกไปสิ”

“แต่ว่าหัวหน้า ขาของคุณ…”

องค์ชายไม่รอให้เขาพูดจบก็ตัดบททันที “ไอ้หนูทำไมนายเซ้าซี้จัง! รีบกลับไปทำงานไป!”

วิชไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยอย่างไร รู้สึกตัวเบาหวิวอย่างแรง จากนั้นความเจ็บปวดในหัวใจก็ปะทุขึ้นมา

ธนกรยังคงรอเขาอยู่ที่ทางเดิน ทั้งสองต้องออกไปทำภารกิจในช่วงบ่ายวันนี้

เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ธนกรเห็นเขาตาแดงและกัดฟันแปลกๆ “เกิดอะไรขึ้น? หัวหน้าด่านายเหรอ? ทำไมถึงมาสภาพนี้?”

“หัวหน้าไม่ได้ด่าฉัน! ฉันสงสารหัวหน้า รู้สึกเจ็บปวดแทนหัวหน้า!”

“แม้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่หัวหน้าองค์ชายก็ยังไม่บุบสลาย ยังดูดีมากอยู่เลย รู้ว่านายสนิทกับหัวหน้า แต่คงไม่ถึงขั้นนี้หรอกมั้ง?”

วิชจ้องเขม็งใส่ธนกรอย่างเกรี้ยวกราด “นายจะไปรู้อะไร!? หมอบอกว่าขาของหัวหน้าอาจจะเป็นอัมพาตก็ได้!”

“หา?” ธนกรยืนตะลึงอยู่กับที่

เชอร์รีนที่เดินผ่านทั้งสองพอดีได้ยินคำพูดเหล่านั้นทุกคำ และบังเอิญเผชิญหน้ากับทั้งสองอย่างเหมาะเจาะ

ครั้งก่อนที่องค์ชายฉลองวันเกิด วิชก็อยู่ในงานด้วย แล้วยังได้พูดคุยกับเชอร์รีนสองสามคำ ดังนั้นเขาจึงรู้จักเธอ

แต่ในเวลานี้ วิชดูไม่พอใจเชอร์รีนอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้ทักทายและพูดอะไรด้วย แค่มองผ่านแล้วเดินจากไป

วิชอายุยังน้อย เขาคิดว่าถ้าไม่มีเธอ หัวหน้าก็ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้!

หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว เชอร์รีนก็ยืนอยู่ที่เดิม คำพูดของตำรวจหนุ่มคนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว…

ขาขององค์ชายอาจจะเป็นอัมพาต?

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

พอได้สติ เชอร์รีนก็รีบจ้ำอ้าวไปยังห้องผู้ป่วย เธอแน่ใจว่าองค์ชายต้องปิดบังเธอเรื่องขาอย่างแน่นอน!

พอเข้าไปในห้องผู้ป่วย แพทย์เจ้าของไข้ก็ออกไปแล้ว องค์ชายกำลังเอนกายดื่มน้ำ พอเห็นเธอเข้ามา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันที “ซื้อโจ๊กอะไรมา หอมจัง”

เชอร์รีนจ้องมองเขาแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “โจ๊กข้าวดำค่ะ”

“มิน่าล่ะ คุณเอาโจ๊กมาให้ผมก็พอแล้ว แล้วรีบกลับไปดูแลซาราง เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ สาวน้อยต้องขวัญผวาแน่”

“ที่นั่งมีพยาบาลอยู่ คุณกินอาหารเช้าก่อน” เธอยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ยื่นโจ๊กให้เขา

ได้ยินดังนั้นองค์ชายก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เขารับชามมาแล้วกินทีละคำในขณะที่เชอร์รีนนั่งอยู่ข้างๆ

ครู่ต่อมาก็เห็นก้นชามแล้ว พอเห็นเธอยังไม่มีทีท่าว่าจะออกไป องค์ชายก็เร่งรัดอีกครั้ง “ถึงจะมีพยาบาลอยู่ แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นคุณ ซารางจะกลัวจนไม่เป็นสุข แล้วผมก็ไม่ได้เป็นอะไรด้วย กลับไปเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เชอร์รีนจึงโต้กลับในที่สุด เธอขมวดคิ้วจ้องมองเขา “ไม่ได้เป็นอะไรเลยเหรอ?”

เรื่องขา เขาตั้งใจจะปิดบังไปถึงเมื่อไหร่?

จากปฏิกิริยาของเธอ องค์ชายก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในใจอดคาดเดาไม่ได้ หรือว่าเธอจะรู้เรื่องขาแล้ว?

ความจริงได้พิสูจน์แล้ว การคาดเดาของเขาถูกต้อง วินาทีถัดไปเสียงของเชอร์รีนก็ดังขึ้นมา “เรื่องขา คุณตั้งใจจะปิดบังฉันไปจนถึงเมื่อไหร่?”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง แค่อยากจะรอให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วค่อยบอกคุณ” องค์ชายพูดอย่างไม่มีทางเลี่ยง

หลายวันมานี้เขากับซารางอยู่ในห้องผ่าตัด เธอต้องทนทุกข์ทรมานมาก เขาไม่ต้องการเพิ่มความรู้สึกผิดให้เธอในตอนนี้

เธอสูดหายใจลึกๆ สีหน้าและน้ำเสียงผ่อนคลายลง “คุณหมอว่ายังไงบ้างคะ?”

“หมอบอกว่าต้องผ่าตัด จากนั้นค่อยดูการฟื้นตัวอีกที”

เชอร์รีนพยักหน้า ก่อนจะไปที่ห้องทำงานของแพทย์เจ้าของไข้ เพื่อสอบถามเรื่องขาขององค์ชายโดยละเอียด

แต่ข้อสรุปที่ได้จากแพทย์เจ้าของไข้ไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะเขาไม่กล้าวินิจฉัยชี้ขาด ทำได้เพียงรอดูการฟื้นตัวหลังจากผ่าตัดเสร็จ

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือหลังการผ่าตัด ขาของเขาก็ยังไม่แน่ว่าจะเคลื่อนไหวได้หรือไม่ กุญแจสำคัญยังอยู่ที่การฟื้นตัว

เธอกลับไปที่ห้องผู้ป่วยอีกครั้ง รอจนองค์ชายหลับแล้วเธอค่อยออกไป

ซารางตื่นขึ้นมาแล้ว พยาบาลกำลังอ่านนิทานให้เธอฟัง ร่างน้อยนั่งฟังอยู่บนเตียงอย่างสนอกสนใจ

ขณะที่เกิดอุบัติเหตุ ร่างน้อยของเธอได้รับการปกป้องเป็นอย่างดีอยู่ในอ้อมกอดขององค์ชาย ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้สีหน้าของเธอดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก

เห็นเธอเดินเข้ามา ซารางก็เรียกแม่จ๋าด้วยเสียงอ่อนหวาน จากนั้นก็กลอกตามองไปรอบๆ ห้องผู้ป่วย ราวกับว่ากำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง

เชอร์รีนรับหนังสือนิทานมาจากพยาบาล นั่งลงและมองดูพฤติกรรมของเธอด้วยความสงสัย “ลูกกำลังมองหาอะไร?”

“ว่าวค่ะ ว่าวแพะยิ้มที่หนูไล่ตามไป คุณแม่ไม่ได้เอามาด้วยเหรอคะ?” เธอกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา

เธออายุแค่สามขวบ ยังไม่รู้อะไรอีกหลายอย่าง รวมถึงความน่ากลัว ความเกรงกลัว และความตาย คิดง่ายๆ ว่าแค่มีรถมาชน ต่อมาก็ปวดหัวนิดหน่อยเท่านั้น

ภายในชั่วพริบตา เธอก็ลืมความเจ็บปวดเหล่านั้นอย่างหมดสิ้นและคิดถึงของเล่นที่ตัวเองโปรดปรานเท่านั้น

แต่พ่อแม่จะลืมได้อย่างไร เหตุการณ์รถชนมันเหมือนกับเงามืดที่จะปกคลุมพวกเขาต่อไปอีกนาน