ได้ยินดังนั้นสีหน้าของเชอร์รีนก็บึ้งตึงอย่างถึงที่สุด สีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นชา “นั่งลง!”
ซารางตกใจกลัวจนตัวสั่นเทิ้ม ห่อไหล่ลง นั่งอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก
“ยื่นมือออกมา” น้ำเสียงของเธอไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด
ซารางยื่นมือขาวละมุนออกไปข้างหน้า ตามมาด้วยเสียง “เผียะ” จากนั้นเสียงร้องไห้งอแงก็ดังลั่นทั่วห้อง
เชอร์รีนยกมือขึ้น จากนั้นฟาดลงไปบนฝ่ามือน้อยๆ ขาวละมุนละไม ทั้งแรงทั้งหนัก ฝ่ามือแดงขึ้นภายในชั่วพริบตา
ขณะที่ออกัสผลักเปิดประตูห้องผู้ป่วยเข้ามา สายตาก็เห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้านี้
“เจ็บไหม?” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องซาราง
ซารางร้องไห้จนน้ำตานองหน้า เธอพยักหน้าพลางสะอึกสะอื้น “เจ็บ..”
แต่สีหน้าเธอยังคงนิ่งเฉย เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ซารางร้องไห้จ้ากว่าเดิม น้ำตาปริ่ม หดมือน้อยๆ กลับ
แต่เชอร์รีนออกแรงคว้ามือที่เธอซุกไว้และถามอีกครั้ง “เจ็บไหม?”
“เจ็บ…เจ็บ…แม่จ๋าเจ็บมาก…” เธอร้องไห้จนดูไม่ได้ ตาแดงจมูกแดง น่าสงสารที่สุด
เชอร์รีนยกมือขึ้นและกำลังจะฟาดลงไปอีกครั้ง ออกัสขยับร่างสูงใหญ่สาวเท้าเข้าไปหา ก่อนที่ฝ่ามือของเธอจะฟาดลงมา เขาก็คว้าซารางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
ดวงตาเรียวยาวหรี่ลง เขาจ้องเขม็งไปที่เธอแล้วขมวดคิ้ว “คุณกำลังทำอะไร?”
เธอไม่สนใจเขา แค่ดึงมือของซารางขึ้นมาแล้วฟาดลงไปอีกสองครั้ง
“เจ็บ…เจ็บ…แม่จ๋าเจ็บมาก…เจ็บมากจริงๆ…” ซารางสะอื้นไห้หายใจไม่ทัน สำลักอย่างหนัก
มือใหญ่เห็นข้อต่อชัดเจนจับข้อมือของเชอร์รีนไว้ ออกัสขยับริมฝีปากถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณไม่ได้ยินเหรอว่าเธอร้องว่าเจ็บ?”
“ฉันก็อยากให้เธอเจ็บนั่นแหละ เจ็บจะได้จำบทเรียนนี้ได้!” หน้าอกของเชอร์รีนกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ฝ่ามือขวาของเธอก็แดงเช่นกัน ทั้งร้อน ทั้งเจ็บ
เธอเอื้อมมือไปดึงตัวซารางที่ยังคงร้องไห้กระซิกออกจากอ้อมกอดของออกัส จากนั้นก็วางเธอลงบนเตียงแล้วตำหนิเสียงทุ้มต่ำ “ห้ามร้อง นั่งดีๆ!”
ซารางรู้สึกกลัวจนห่อตัวเล็กลง น้ำตานองหน้า มองไปที่ออกัสอย่างคับข้องใจ
ออกัสขยับขาเรียวยาวเดินตรงเข้าไป แต่ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงข้างเตียง มือใหญ่ก็ถูกเชอร์รีนดึงไว้
มือของเธอยังคงเล็กบาง นิ่มนวล แต่ฝ่ามือกลับร้อนผ่าวผิดปกติ เขาหลุบตาลงมองฝ่ามือของเธอ ฝ่ามือของเธอแดงและร้อนกว่าของซารางเสียอีก
ดวงตาลุ่มลึกขยับเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่ของออกัสยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า ความหมายของการกระทำของเธอ เขาเข้าใจขึ้นมากแล้ว…
“ลูกยังจำสิ่งที่แม่เคยพูดกับลูกได้หรือเปล่า?” เธอถามซารางที่อยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเย็นชาตามปกติ
“ถ้าไม่มีแม่อยู่ ห้ามไปที่ที่มีรถเยอะ ที่น้ำลึกก็ไปไม่ได้ ห้ามเล่นกับไฟ…” น้ำเสียงของเธอตะกุกตะกักปนกับเสียงสะอื้น แต่ไม่กล้าร้องไห้อีก
“ครั้งนี้ทำผิดตรงไหน?” เธอคาดคั้นถามต่อ
“ไม่มีแม่อยู่ ไปสถานที่ที่มีรถเยอะ…” เธอตอบอย่างว่าง่าย
“วันหลังไปข้างนอกไม่ว่าจะไปไหน สิ่งแรกก็คืออย่าลืมบอกแม่ หลังจากได้รับอนุญาตลูกถึงไปได้ เข้าใจหรือยัง?”
เด็กยังเล็กอยู่ ชอบวิ่งเล่นไปทั่ว ส่วนผู้ใหญ่ถึงแม้จะดูเด็กอยู่ แต่ให้ตามเธอแจ 24 ชั่วโมง กะพริบตาไม่ได้ ต้องคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเธออยู่ตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!
“เข้าใจแล้วค่ะ…”
“เสียงดังอีกหน่อย เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้วค่ะ!”
“ตอนนี้นอนได้แล้ว”
ซารางยังไม่กล้าขานรับ สูดน้ำมูกแล้วนอนลงบนเตียงอย่างเชื่อฟัง เธอดึงผ้าห่มคลุม หลับตาลง รู้สึกคันฝ่ามือ แต่ก็ไม่กล้าปริปาก
เชอร์รีนรักเธอมาก แทบจะไม่เคยโมโหมาก่อนเลย แต่พอโมโหขึ้นมา ซารางก็รู้สึกกลัวมาก
ครู่ต่อมาเธอก็หลับสนิท บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งร้องไห้ไป หน้าอกน้อยๆ ยังคงกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด
เชอร์รีนถืออ่างน้ำอุ่นเข้ามา เอาผ้าขนหนูชุบให้เปียกแล้วบีบให้แห้ง เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าน้อยๆ ของเธออย่างแผ่วเบา
ออกัสนั่งอยู่บนโซฟา เอาขายาวไขว่ห้างอย่างสง่างาม ดวงตาอันมืดมนลุ่มลึกจ้องมองภาพนั้น เพียงครู่เดียว
แววตานั้นลึกซึ้งเกินไป ลึกดั่งน้ำวนที่ไม่อาจหยั่งถึง ราวกับจะกลืนกินเธอเข้าไป ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังเล็กบางและงดงามของเธอ นัยน์ตาดำมืดราวกับน้ำหมึก
ในห้องผู้ป่วยนั้นเงียบสงบ ไม่ว่าเสียงเบาแค่ไหนก็ได้ยิน เธอเช็ดมือของซาราง ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟา คอยจ้องมองพวกเธอจากทางด้านหลัง
ในเวลานี้โทรศัพท์มือถือได้สั่นขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องผู้ป่วยแล้วรับสาย
“ออกัส ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?” เป็นเสียงของสุนันท์
“มีธุระอะไร?” เขาไม่ตอบ แต่ถามออกไปเช่นนี้
“เรื่องซาราง พวกเราไม่เคยปรึกษากันมาก่อนเลย แต่ซารางก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เราจะถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้ไม่ได้ ถ้าแกต้องการสิทธิ์ในการเลี้ยงดูซาราง แม่เห็นด้วยอยู่แล้ว รีบจดทะเบียนรับรองซารางโดยเร็วที่สุด จากนั้นค่อยเปลี่ยนนามสกุล…”
ความจริงเป้าหมายของสุนันท์ไม่ใช่สิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็ก เธอคิดหาวิธีที่จะทำให้เรื่องนี้ชัดเจนโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ทั้งสองมีสถานะคลุมเครือยุ่งเหยิงต่อไปเรื่อยๆ ถึงอย่างไรก็แอบอยู่ด้วยกันแล้ว!
ออกัสขมวดคิ้ว เผยให้เห็นร่องรอยความหงุดหงิด กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องนี้ผมได้ตัดสินใจไว้แล้ว แม่ครับ แค่นี้ก่อนนะ…”
ไม่รอให้สุนันท์พูดอะไรอีก เขาก็วางสายทันที พอดีกับที่เชอร์รีนเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย
ออกัสขยับเท้าก้าวเข้าไปหาและขวางทางเดินของเธอไว้ เงาร่างสูงใหญ่ปกคลุมเชอร์รีนไว้ได้สนิท
“เรื่องสิทธิ์เลี้ยงดูซาราง เรามาคุยกันตอนนี้เถอะ…” เขามองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วเอ่ยปากขึ้น
หัวใจของเชอร์รีนเต้นเร็ว ฝ่ามือฝ่าเท้าร้อนผ่าว แผ่นหลังยืดตรง สีหน้าเย็นชา พลางปฏิเสธว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลา และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับคุณ!”
“แต่ว่าผมมี…”
“ออกัส ถ้าคุณยังพอมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง คุณก็ควรรู้ว่าตอนนี้เราไม่ควรคุยเรื่องนี้เลย!”
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดคุยเรื่องนี้!
ซารางเกิดอุบัติเหตุรถชน เพิ่งจะฟื้นได้วันเดียวเท่านั้น เขาจำเป็นต้องโหดร้ายขนาดนี้เลยหรือ?
เชอร์รีนมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขา ดวงตาของเธอใสสะอาดดั่งน้ำ เยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง “ออกัส คุณไม่รู้สึกว่าคุณใจร้ายเกินไปหน่อยเหรอ?”
“ผมไม่คิดอย่างนั้น…” ริมฝีปากบางกระตุก เขามองไปที่เธอและกล่าวคำเหล่านี้ออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก ต่อให้คุณร้อนใจจะคุยให้ได้ก็ต้องรออีกสองสัปดาห์ค่อยคุย”
พูดจบเธอก็ไม่สนใจเขาอีก ก้าวเท้ากำลังเดินออกไป ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของออกัสก็เข้ามาใกล้เธอและเบียดเธอติดกับประตูห้องผู้ป่วยด้านหลัง
เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาอันลุ่มลึก ลมหายใจอันแข็งแกร่งและร้อนผ่าวของผู้ชายพ่นรดใบหน้าของเธอ มือใหญ่เห็นข้อต่อชัดเจนบีบคางอันนิ่มนวลของเธอไว้ สุ้มเสียงของเขาฟังดูอึมครึมผิดปกติ แต่กลับพูดออกมาอย่างชัดเจนทุกคำ “ไม่ เราต้องคุยกันตอนนี้เท่านั้น มิฉะนั้น ผมกลัวว่าจะต้องเสียใจทีหลัง…”
“ออกัส ฉันรับปากแล้วว่าจะคุยกับคุณ แต่คุณอย่ามาทำกันเกินไป!” เธอปัดมือที่เขาบีบคางของตัวเองไว้ ในที่สุดความโกรธก็ปะทุออกมา
“ตอนนี้ใจเย็นๆ ฟังผมพูดก่อน…” สองมือของเขาเปลี่ยนมาบีบหัวไหล่ของเธอด้วยกำลังที่พอดี “บางที สิ่งที่ผมพูดอาจจะตรงกับสิ่งที่หัวใจคุณต้องการก็ได้…”