ฮันนาเดินเข้ามาถามหลินจือด้วยความเป็นห่วง “ไม่ใช่ว่าพวกเธอจงใจกลั่นแกล้งคุณหรอกนะ”
หลินจือขยิบตาให้ฮันนาเบาๆ ฮันนาเข้าใจความหมายที่เธอสื่อออกมาทันที ความมุ่งร้ายของซูซีคงต้องคว้าน้ำเหลวเสียแล้วล่ะมั้ง?
ฮันนาไม่ได้ถามอะไรอีก เขาเอื้อมมือไปตบไหลหลินจือเบาๆ ในสายตาคนนอกคงคิดว่าเขาปลอบหลินจือที่กำลังตื่นตระหนก แต่ในความเป็นจริง ฮันนาพูดกับเธอว่า “ฉันจะตั้งตารอนะ”
หลังจากผู้หญิงคนนั้นเล่นจบทุกคนต่างปรบมือแสดงความยินดี แล้วหันมาให้ความสนใจหลินจืออีกครั้ง
สีหน้าของหลินจือเต็มไปด้วยความเก่อเขิน มือทั้งสองข้างวอร์มไปมาอยู่ข้างหน้าตัวเองพร้อมกับลุกยืนขึ้น
รายละเอียดเหล่านี้เป็นนานิที่สอนมันให้กับหลินจือ เธอจริงจังพอๆ กับผู้กำกับสั่งให้นักแสดงเล่นละคร แล้วหลินจือแสดงเป็นเสียงที่ไหนกัน ส่วนใหญ่ก็ลบไปเกือบหมดแล้ว จากนั้นเธอเดินไปที่เปียโนท่ามกลางสายตาตลกขบขันของทุกคนที่เฝ้ามองมา
ผิวพรรณของหลินจือที่ขาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อชุดขนสัตว์สีดำชุดนี้อยู่บนเรือนร่างเธอแล้วยิ่งขลับให้หญิงสาวงดงามเปล่งประกาย เธอนั่งลงตรงหน้าเปียโน ด้วยท่าทางสง่างามสูงส่ง
สร้อยคอทับทิมอนุภาคทำลายล้างเส้นนั้นที่สวมอยู่บนลำคอระหง แม้นยังไม่ได้แสดงฝีมือใดๆ ก็ไม่มีผู้ใดละสายตาจากเธอไปได้เลย
มือทั้งสองข้างของซูซียกขึ้นมากอดอกพร้อมกับยืนขึ้น จ้องเขม็งไปยังหลินจือที่นั่งอยู่หน้าเปียโน แล้วเฝ้าคอยเชยชมความอับอายขายขี้หน้าของเธอ
คืนนี้หล่อนเหมาที่นั่งทั้งโรงละคร และยังเตรียมการให้คนอัดวิดีโอไว้ตามมุมต่างๆ อีกด้วย ตราบใดที่ทำให้หลินจือต้องอับอาย หล่อนสาบานว่าจะใช้แรงกำลังทั้งหมดที่มีทำให้หลินจือหวาดกลัวไปจนตาย
ครั้งนี้ หล่อนต้องทำให้หลินจือไม่อาจชูคอขึ้นมาสู้หน้าใครได้อีก
แต่ใครจะรู้ หลังจากนั่งลงแววตาของหลินจือพลันเป็นประกายขึ้นมาทันใด ดูแน่วแน่และเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีความวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย
ซูซีสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล เมื่อเห็นว่าหลินจือคลี่ยิ้มแล้วกรีดกรายนิ้วเรียวไปตามคีย์บอร์ดของเปียโนอย่างสง่างาม ท่วงทำนองเสนาะหูถูกบรรเลงออกมาในบรรยากาศที่เงียบสงัด
ท่วงทำนองที่แสนไพเราะทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง และซูซีเองก็เช่นกัน
หลินจือเล่นเปียโนเป็นงั้นเหรอ
คาดไม่ถึงว่าเธอจะเล่นได้ไพเราะขนาดนี้?
และเมื่อตั้งใจฟังรายละเอียดของท่วงทำนอง เห็นได้ชัดว่าเธอเล่นได้อย่างมืออาชีพ เป็นไปได้อย่างไร!
ซูซีส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง จนเดินเซถอยหลังไปสองสามก้าว ไม่อยากเชื่อเลยว่าหญิงสาวที่นั่งอย่างสง่างามอยู่หน้าเปียโนตรงนั้นในขณะนี้คือหลินจือ
เธอตรวจสอบมาอย่างแน่ชัดว่า หลินจือไม่เคยเรียนเปียโนมาก่อน
ชาร์ลีไม่ชอบหลินจือ จึงไม่เคยส่งเธอไปเรียนเปียโนเลยสักครั้ง ให้ดีหลินจือก็คงทำได้เพียงแค่เรียนจากหนังสือจนจบเล่ม…
แต่ไม่ว่าซูซีจะไม่เชื่ออย่างไร หลินจือค่อยๆ เล่นเปียโนไปด้วยท่าทางผ่อนคลาย แถมยังเล่นได้อย่างไพเราะเสนาะหู
นานิขยับมายืนอยู่ข้างๆ ซูซีอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง แล้วกระแนะกระแหนขึ้นว่า “ประธานซูซี ไอคิวของคุณนี่น่าเป็นห่วงจริงๆ เลยนะ แม้ว่าหลินจือจะไม่ได้เรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่ใช่ว่าหลังจากนั้นเธอจะเรียนไม่ได้นี่?”
ซูซีกัดฟันกรอดจ้องมองเธอด้วยความเดือดดาล “พวกเธอสองคนกำลังเล่นละครอยู่งั้นเหรอ”
ท่าทางกระอักกระอ่วนของหลินจือเมื่อครู่ หล่อนคิดว่าตัวเองคงได้เห็นหลินจืออับอายขายขี้หน้าเป็นแน่ ใครจะรู้ว่าหลินจือกลับพลิกเกมกลับคุมสถานการณ์ได้ ด้วยโชว์ที่ราวกับว่ากำลังแสดงคอนเสิร์ต
นานิพยักหน้ายอมรับอย่างไม่ปิดบัง “ใช่ เราเล่นเป็นยังไงบ้างล่ะ ประธานซูซี?”
นานิยิ้มแป้นอย่างพออกพอใจ ซูซีโกรธจนมีควันปะทุขึ้นมาเหนือศีรษะ และเมื่อคิดถึงเรื่องที่นานิล้อเรื่องไอคิวของตัวเองเมื่อครู่นี้ ซูซียิ่งอยากฉีกนานิออกเป็นชิ้นๆ
นานิยังพูดต่อไปอีกว่า “พูดแล้วหลินจือก็เล่นเปียโนเก่งเหมือนกันนะเนี่ย ต้องขอบคุณคุณเทาเท่ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ว่าเพราะต้องถูกจับคู่กับเขา หลินจือคงไม่เอาแต่เรียนเล่นเปียโนทั้งวันทั้งคืนแบบนี้หรอก”
คำพูดก่อนหน้านี้ ซูซีเหยียดหยามการยอมอ่อนข้อให้ของหลินจือเอาไว้มาก แต่เวลานี้สถานการณ์ของหล่อนกับหลินจือเปลี่ยนไปแล้ว ซูซีรู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ยถากถาง
ดวงตาแดงก่ำจ้องเขม็งไปยังหลินจือที่กำลังสง่างามพร่างพรายอยู่บนเวที ซูซีถูกเธอและนานิทำให้โกรธจนแทบอยากร้องไห้
คนหนึ่งเงียบๆ อีกคนก็ร้ายปากจัด หลินจือเล่นเปียโนไม่พูดไม่จา ส่วนนานิกลับมาพูดจาเสียดแทงเธออยู่ข้างๆ ซูซีเข้าใจได้ทันทีว่าแผนทั้งหมดของเธอในคืนนี้นั้นสูญเปล่า
อย่างไรซะปากของนานิก็ยังไม่หยุดพูดกระแนะกระแหนใส่เธอง่าย “ซูซี คุณบอกว่าคุณหยุดไม่ได้งั้นเหรอ? คุณตอนนี้ จะเอาอะไรมาสู้กับหลินจือ เมื่อในหัวใจของเทาเท่ตอนนี้มีแต่เธออยู่ในนั้น คุณพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะ!”
คำพูดที่นานิพ่นออกมา สำหรับซูซีเป็นเพียงคำพล่อยๆ ไร้ประโยชน์
ซูซีหันกลับมาจ้องนานิเขม็ง นานิไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย พลางชำเลืองมองแล้วเอ่ยเตือนเสียงต่ำว่า “คุณลองคิดดูนะ ถ้าคุณทำร้ายหลินจือ แล้วคิดว่าเทาเท่จะไม่เผาทั้งตระกูลคุณให้ราบเป็นหน้ากลองเลยเหรอ”
สุดท้าย นานิพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “มีลูกสาวจอมปลิ้นปล้อนอย่างเธอ พ่อของเธอคงโชคร้ายไปอีกแปดชาติ เธอไม่ลองคิดสักนิดหน่อยเหรอ เธอเคยทำอะไรประสบความสำเร็จให้พ่อเธอบ้างไหม”
คำพูดสุดท้ายของนานิทำให้ซูซีทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป หล่อนตะโกนขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “นานิ!”
นานิบอกว่าเธอเป็นจอมปลิ้นปล้อน และยังบอกว่าพ่อของเธอโชคร้าย คำพูดเหล่านี้ทำให้ซูซีเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า
ซูซีจำต้องยอมรับเลยว่า ปากของผู้หญิงคนนี้ เลวทรามมากเกินไปจริงๆ
เสียงคำรามของซูซี ดึงดูดความสนใจจากสายตาทุกคนให้หันมองมายังพวกเธอ ซูซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากระงับไฟโทสะเหล่านั้นลงอีกครั้ง
เมื่อนานิวิ่งไปแหย่ซูซีสำเร็จได้อย่างพออกพอใจ ก็วิ่งกลับมาที่นั่งของตัวเอง นั่งชมเพลงเปียโนอันแสนไพเราะต่ออย่างสบายอารมณ์
หลังนานิจากไป ลูกสนุมคนหนึ่งก็เข้ามาถามซูซีด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ซี ตอนนี้เราต้องทำยังไง หลินจือคนนี้เล่นเปียโนเป็นได้ยังไง”
“ต่อไปเป็นรายการเต้นรำ เรายังจะทำต่อไหม”
เดิมทีลำดับต่อไปที่พวกเธอเตรียมไว้คือการเต้นรำ เพราะคิดว่าหลินจือคงเต้นรำไม่เป็นแน่ๆ เมื่อถึงตอนนั้นคงทำให้เธออับอายได้ แต่ตอนนี้จากคำพูดเหล่านั้นของนานิ เกรงว่าหลินจือคงเต้นรำเป็นอีกแน่ๆ
เช่นนั้นซูซีจึงทำได้เพียงกัดฟันพูดว่า “เลิก รอให้เธอเล่นเสร็จแล้วค่อยแยกย้ายกัน”
“ช่างเถอะ! พวกเธอคอยสนับสนุนอยู่ที่นี่ ฉันจะไปก่อน”
ซูซีสั่งกำชับด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ จากนั้นเดินกระแทกรองเท้าส้นสูงจากไปอย่างโกรธเคือง ถูกหลินจือพลิกสถานการณ์ได้เช่นนี้ ซูซีจะมีอารมณ์ที่ไหนไปจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำต่อกันล่ะ
เมื่อนานิเห็นว่าซูซีจากออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งพึงพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูซีต้องการให้หลินจืออับอายในงานเลี้ยงคืนนี้ แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นเสียหล่อนเองที่ต้องเป็นฝ่ายเศร้าหมองอย่างคาดไม่ถึง ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ!
ซูซีเดินออกมาจากภัตตาคาร เดิมทีหล่อนตั้งใจว่าจะเดินตรงไปยังรถของตัวเอง แต่สายตาพลันชำเลืองเห็นรถสีดำจอดอยู่ริมถนน… เทาเท่
หน้าต่างกระจกรถถูกลดลงมาครึ่งบาน เผยให้เห็นกรอบหน้าของชายหนุ่มครึ่งหน้า หล่อเหลาลุ่มลึก เขากำลังพูดคุยโทรศัพท์พร้อมกับสูบบุหรี่
หัวใจของซูซีเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หล่อนกัดฟัน เดินดุ่มๆ ไปที่รถคันนั้น
ตอนนั้นเธอยอมทิ้งแฟนที่คบหากันตอนอยู่ต่างประเทศ และกลับมาเพื่อมาใกล้ชิดกับเทาเท่ ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเทาเท่ร่ำรวย แต่เขายังหล่อเหลาราวกับเทพบุตรอีกด้วย
หากไม่ใช่เพราะคิดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์หญิงสาวผู้สง่าผ่าเผยต่อหน้าเขาเอาไว้ ป่านนี้หล่อนคงได้นอนกับเขาไปแล้ว
แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ…
ซูซีกัดฟันเดินไปเบื้องหน้า ไม่ต้องบอกว่าภายในใจเธอนั้นรู้สึกเสียดายมากแค่ไหน หากได้ตั้งแต่ตอนนั้นคงจบไปแล้ว
ถ้าหล่อนได้นอนกับเทาเท่ บางทีหล่อนอาจไม่สนใจเขามากมายอย่างในขณะนี้ก็ได้
จะหญิงหรือชายก็เหมือนกัน มักรู้สึกทนไม่ได้เสมอเมื่อมีเรื่องให้ค้างคาใจ