เมื่อซูซีเดินไปถึงรถของเทาเท่ เธอแล้วก้มตัวลงเคาะหน้าต่างกระจกรถ ด้วยชุดราตรีสีแดงคอวีแหวกลึก เธอก้มลงอย่างจงใจ เพื่ออวดเรือนร่างของตัวเอง
ในเรื่องรูปร่างของซูซีเธอมั่นใจว่าตัวเองก็สะบัดสะบิ้งอยู่ไม่น้อย
ผู้ชายที่ไหนจะไม่ฝักใฝ่กันล่ะ
เช่นนั้นซูซีจึงเชื่อว่าตนดึงดูดความสนใจของเทาเท่ได้อย่างแน่นอน
ใครจะรู้ เทาเท่วางสายโทรศัพท์แล้วเลื่อนกระจกลงโดยไม่มองเธอเลยสักนิด ซ้ำยังพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปให้พ้น!”
เมื่อไหร่ก็ตามที่ซูซีได้รับความอัปยศอดสูจนถึงขีดสุด เธอมักหายใจไม่ออก และโกรธจนแทบหมดสติ
“เทาเท่!” ซูซีกระทืบเท้าพลางจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มผู้อยู่ในรถ
เทาเท่หันมามองหล่อนด้วยสีหน้าเอือมระอาเต็มที สายตาที่เต็มไปด้วยความสะอิดสะเอียน ทว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นกลับเลวร้ายยิ่งกว่า “ดูเธอสิ หนีหัวซุกหัวซุนออกมาแบบนี้ คงถูกหลินจือตบหน้ามาสินะ”
ซูซีโกรธจนแทบอยากร้องไห้
ซูซีรู้สึกว่าตั้งแต่ที่ตัวเองกับเทาเท่มีความขัดแย้งต่อกัน เทาเท่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้ในเมื่อก่อนเขาจะเย็นชากับหล่อนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยพูดทำร้ายจิตใจหล่อนเลยสักครั้ง
แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนเฉยเมย ปากคอเราะราย ราวกับปีศาจที่ผุดออกมาจากนรก มักทำให้หล่อนเสียหน้าและเสียความมั่นใจอยู่ทุกครา
เทาเท่ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยเตือนอย่างหมดความอดทน “ยังไม่ไปอีกเหรอ อยากรับรู้ถึงความรู้สึกของการถูกตบหน้าด้วยตัวเองใช่ไหม”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากเธอยังไม่รีบไสหัวไปซะ เขาจะลงมาตบเธอ
“แล้วคุณจะเสียใจที่วันนี้คุณทำกับฉันแบบนี้!” หลังจากพูดคำพูดรุนแรงแบบนั้นซูซีก็วิ่งร้องไห้จากไป
เมื่อก่อนเธอยังคาดหวังว่า จะได้เทาเท่กลับมาอีกครั้ง ทว่าวันนี้เธอกลับไม่หวังอะไรอีกแล้ว เพราะเทาเท่คือศัตรูของเธอ ชนิดที่ทำให้เธอเกลียดจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เหมือนกับพวกของหลินจือ เธอเกลียดพวกเขา!
เทาเท่คร้านจะใส่ใจกับคำพูดร้ายกาจนั้นของซูซี ถึงเวลาที่เขาต้องถอนรากถอนโคนเบลซและต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเขาสักที ส่วนซูซีคงไม่มีอะไร หรือความสามารถอะไรที่จะกระโดดขึ้นมาได้อีก?
เดิมทีเขาไม่อยากเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมกำจัดพวกเขาให้สิ้นซากแบบนี้ แต่เบลซและซูซีสร้างเรื่องเดือดร้อนไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะเบลซหนำซ้ำยังข่มขู่เขาด้วยเรื่องอื้อฉาวของพ่อกับแม่ เขาจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป
เพราะเรื่องเก่าๆ ของสองสามีภรรยาไกอาและวีนาถูกเปิดโปงออกมา ชื่อเสียงของฟอเรนากรุปในตอนนี้จึงได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก อีกหลายโครงการที่มีแนวโน้มที่ดีก็ต้องหยุดชะงัก
เขาไม่ได้สนใจเรื่องเงินและโครงงานที่สูญเสียไปเหล่านั้น เงินหมดก็หาใหม่ได้ โปรเจกต์หากสูญเสียไปก็คิดหาโปรเจกต์อื่นๆ ขึ้นมาได้ สิ่งที่เขาสนใจคือคนเลวทรามต่ำช้าอย่างเบลซ เขาจึงนิ่งนอนใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด
หลังจากที่หลินจือบรรเลงเพลงจบลง ทุกคนต่างปรบมือให้เธออย่างอบอุ่น
ฮันนายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะเล่นเปียโนเก่งขนาดนี้ ระดับนี้เล่นคอนเสิร์ตได้เลยนะเนี่ย”
หลินจือกล่าวอย่างนอบน้อม “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ เพียงแค่เล่นสบายๆ”
ฮันนาเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “คุณรู้ ผมไม่ได้ล้อเล่น”
ใครที่ฟังเพลงเปียโนเป็นต่างเข้าใจได้ว่า หลินจือเล่นได้ดีมากแค่ไหน
หลินจือเพียงยิ้มเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรกลับไป
เพราะตั้งแต่เด็กๆ หลินจือไม่เคยได้สัมผัสเปียโนเลยสักครั้ง ตอนนั้นเธอจึงไม่สบายใจจนต้องจ้างติวเตอร์ส่วนตัวมาสอน โชคดีที่เธอยังมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ตอนที่เริ่มต้นเรียนจึงเรียนรู้ได้อย่างราบรื่น
แม้แต่ครูสอนเปียโนยังชื่นชมเธอไม่หยุด และยังแนะนำให้เธอไปสอบวัดระดับ ใจของหลินจือเพียงแค่อยากตั้งใจเป็นนักเขียนบทละครเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจที่จะไปสอบวัดระดับอะไรนั่น
เธอไม่คิดมาก่อนว่า วันหนึ่งตัวเองจะได้รับเกียรติจากทักษะการเล่นเปียโนของตัวเอง
นานิเดินมาหาเธอ แล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้ “โทรศัพท์เธอมีสายเข้า”
หลินจือรับโทรศัพท์มา เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากเทาเท่ จึงรีบกดรับสายแล้วเดินเลี่ยงมาอีกทาง เสียงเทาเท่ดังออกมาจากปลายสายทันที “ซูซีไปแล้ว เมื่อไหร่คุณจะออกมา”
หลินจือนึกประหลาดใจ สอดส่ายสายตาไปรอบๆ ไม่เจอซูซีจริงๆ ด้วย
เธอถามด้วยความสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงว่าเธอไปแล้ว”
เทาเท่ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมอยู่หน้าประตูทางเข้าภัตตาคาร”
หลินจือตกใจอีกครั้ง “คุณอยู่หน้าประตูทางเข้าภัตตาคาร?”
“อืม” เทาเท่ตอบอย่างใจเย็น “เป็นห่วงคุณ เลยตามมา”
หลินจือหมดคำพูด งานเลี้ยงอาหารค่ำเริ่มมาก็เนิ่นนานแล้ว เขารออยู่ข้างนอกมาตลอดเลยงั้นเหรอ
“ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้” เห็นอยู่ชัดๆ ว่าซูซีโกรธขนาดนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้เธอกับนานิก็ไม่ต้องจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป สถานที่แบบนี้ไม่เหมาะกับเธอจริงๆ
“โอเค” เทาเท่ตอบรับ
เมื่อเธอได้ฟังเช่นนั้นจึงพูดอ้อมแอ้มแกมสั่งการไปว่า “งั้น หรือไม่คุณก็ขับรถห่างออกไปอีกช่วงหนึ่ง ฉันกับนานิจะออกไปหาคุณ และอย่าให้ใครเห็น…”
เทาเท่ “…”
หน้าอกถูกกระแทกอย่างรุนแรง เขาถูกรังเกียจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เขาจะพูดอะไรได้ ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
“เลี้ยวขวาตรงถนนข้างหน้ามันจะมีซอยเล็กๆ ผมจะไปรอพวกคุณที่นั่น”
“อืม แล้วเจอกัน” หลินจือตอบกลับแล้ววางสายไป
นานิเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอจริงๆ ตอนที่เธอเดินเลี่ยงไปรับโทรศัพท์ นานิได้เข้าไปทักทายกับเหล่าคุณหญิงคุณนายพวกนั้นเป็นที่เรียบร้อยและบอกว่าต้องไปแล้ว เหตุผลคือเพราะหลินจือเป็นประจำเดือนและรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว หลินจือคล้อยตามคำพูดของนานิแล้วกล่าวลาพวกเธอ หญิงสาวทั้งสองจึงเดินจูงมือกันจากออกมา
“เทาเท่กำลังรอเราอยู่ที่ปากทางข้างหน้า” หลังจากออกมาจากภัตตาคารหลินจือบอกเรื่องนี้กับนานิ
นานิจับแขนหลินจือแล้วยิ้มเยาะ “จากCEOผู้โด่งดังสู่คนขับรถไร้ตัวตน เธอคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไง?”
หลินจือเคยชินกับความยินดีปรีดาของนานิในความโชคร้ายของเทาเท่อยู่ร่ำไปแบบนี้ “ฉันไม่คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะมา เขาบอกว่ารออยู่ข้างนอกมาตลอด”
“รออยู่ข้างนอกมาตลอด?” นานิประหลาดใจ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เขาห่วงใยเธอจริงๆ นะ”
หลินจือพยักหน้า “ดังนั้นตอนนี้ฉันจะยอมรับน้ำใจของเขาอย่างใจเย็น”
นานิประหลาดใจ “ทำไมแกดูปล่อยวางได้ขนาดนี้”
หลินจือเอ่ยขึ้น “หลายสิ่งหลายอย่าง เมื่อเราไม่มัวแต่คิดคำนวณถึงผลลัพธ์ เราก็จะปล่อยวางไม่ได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอสงสัยว่าตัวเองและเทาเท่จะซ่อมแซ่มเรื่องนี้กันได้หรือไม่ โดยไม่คิดเล็กคิดน้อยกับทุกอย่าง
นานิหัวเราะออกมา “ถ้าเขารู้ว่าในใจเธอคิดแบบนี้ เขาคงโกรธจนกระอักเลือดแน่ๆ”
ขณะพูดทั้งคู่ก็เดินมาจนถึงปากทางเข้า มองเห็นรถของเทาเท่จอดอยู่ หลินจือหันซ้ายมองขวา หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอื่นอีก จึงลากนานิเข้าไปในรถของเทาเท่
ทันทีที่นานิก้าวขึ้นมาบนรถ เธอกล่าวขอบคุณเทาเท่ด้วยรอยยิ้ม “ประธานเทาเท่ ขอบคุณนะคะที่มารับเรา”
“ไม่เป็นไรครับ” เทาเท่ตอบกลับแล้วสังเกตสีหน้าของหลินจือผ่านกระจกมองหลังทันที ค้นหาคำตอบว่าคืนนี้ซูซีทำให้เธอได้รับความลำบากใจหรือไม่
“คืนนี้ราบรื่นดีไหม” แม้ว่าการแสดงออกของหลินจือจะราบเรียบ แต่เขายังถามด้วยความกังวลใจ
นานิตอบคำถามนี้แทนหลินจือ “ไม่ต้องบอกก็รู้เลยค่ะว่าราบรื่นมากแค่ไหน”
หลังจากที่นานิเล่าให้เทาเท่ฟังว่า ซูซีให้คนพูดถึงเรื่องที่หลินจือเคยหย่ามาก่อนต่อหน้าสาธารณชน และยังบอกอีกว่าซูซีคิดว่าหลินจือไร้ความสามารถจึงคิดทำเรื่องที่จะทำให้หลินจือต้องอับอายขายขี้หน้า เทาเท่ขับรถไปพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันแน่นเป็นเส้นตรง
ซูซีหล่อนคิดอยากลองดี รนหาที่ตายครั้งแล้วครั้งเล่า