บทที่ 627 : ราชาหินที่แท้จริง!
ตอนนี้ถังเมิ่งถึงกับหูอื้อตาลาย เขาเต้นไปเต้นมาด้วยความดีใจ และดูท่าว่าจะมีความสุขอย่างมาก..
“พี่หยุนนะพี่หยุน.. คิดไม่ถึงว่าจะเล่นแบบนี้! ทำไมไม่บอกให้ฉันรู้ล่วงหน้าก่อน ปล่อยให้ฉันร้องไห้เสียใจอยู่ได้ตั้งนาน..”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับตอบไปว่า “อะไรของนาย? เล่นแบบนี้น่ะแบบใหน? หินพวกนี้ฉันก็แค่ตั้งใจจะซื้อไปตกแต่งบ้าน ใครจะไปคิดว่าข้างในจะกลายเป็นหยกล้ำค่าไปได้..”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นถ่อมเนื้อถ่อมตัว และไม่ยอมรับว่าเป็นความเก่งกาจของตัวเอง แต่กับอ้างว่าเป็นความบังเอิญแทน!
แต่ถึงกระนั้น.. ก็ไม่มีใครยอมเชื่อแม้แต่คนเดียว!
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พากันปรบมือชื่นชมจนเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมกับร้องตะโกนขอให้ทำการตัดราชาหินออกดู..
แต่หลิงหยุนไม่มีทางที่จะยอมตัดราชาหินออกดูง่ายๆอย่างแน่นอน เพราะอะไรที่ได้มาง่ายๆย่อมไม่มีคุณค่า..
ตอนนี้ทั้งเซียนหยกและเถ้าแก่ฮั่นต่างก็ยืนเอาหัวชนกัน และกำลังปรึกษาหารือกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด แต่หลิงหยุนคร้านที่จะแอบฟังว่าทั้งคู่คุยอะไรกันอยู่ เพราะเสียงร้องตะโกนรอบๆก็ดังกระหึ่มไม่หยุด
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่.. เซียนหยกและเถ้าแก่ฮั่นก็ดูเหมือนจะปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เซียนหยกจึงหันไปยิ้มให้กับทุกคนด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ ดวงตาของเขาหรี่เล็กในขณะที่ก้าวเดินเข้าไปหาหลิงหยุน
“หลิงหยุน.. ฉันขอตัดหินอีกสักก้อนจะได้มั๊ย? ขออีกเพียงแค่ก้อนเดียวเท่านั้น..”
แม้ว่าสีหน้าในระหว่างที่พูดของเซียนหยกนั้น จะดูเรียบเฉยเป็นปกติ แต่น้ำเสียงของเขากลับสั่นด้วยความกระตือรือร้น
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเป็นปกติ “ได้สิครับ..! เว้นแต่ราชาหินก้อนนี้ นอกนั้นเชิญคุณเลือกได้ตามสบายเลย..”
ที่ผ่านมา.. หินดิบของหลิงหยุนก็ถูกนำไปตัดดูถึงห้าก้อนแล้ว และความจริงเขาเองก็ไม่ได้สนใจราชาหินมากสักเท่าไหร่ แต่เขาสนใจหินมังกรเขียวที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานแห่งนี้มากกว่า และหากเซียนหยกยอมขายให้แล้วล่ะก็ เขาก็ยินดีและเต็มใจที่จะซื้ออย่างยิ่ง..
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยังคงยืนยันไม่ให้ตัดราชาหินอีกครั้ง เซียนหยกก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแต่ก็พยายามปกปิดความรู้สึกไว้ และเดินไปที่รถเข็นทั้งสามคันของหลิงหยุนอย่างช้าๆ
ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง ทุกคนกำลังรอคอยให้เซียนหยกเลือกหินดิบก้อนที่หกขึ้นมาตัดออกดู
ระหว่างนั้น.. ฝูงชนที่พากันมามุงดูก็พยายามเบียดเสียดแย่งกันเข้าไปใกล้บริเวณรถเข็นของหลิงหยุน จนตี้เสี่ยวอู๋ต้องสั่งให้คนของแก๊งมังกรเขียวเจ็ดแปดคนมาช่วยขวางไว้อีกแรง
“เสี่ยวอู๋.. นายยืนซื่อบื้ออยู่ทำไม? รีบมาช่วยกันห้ามผู้คนเร็วเข้า!”
ถังเมิ่งเกรงว่าผู้คนจะพากันกรูเข้ามาฉกหินไปจากรถเข็นของหลิงหยุน เขาจึงพยายามป้องกันไม่ให้ใครเข้าใกล้รถเข็นทั้งสามคันได้เลย
หินพวกนี้ล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น! ก้อนหนึ่งมีมูลค่าหลายแสนหยวน..
อย่าว่าแต่ถังเมิ่งเลย แม้แต่มู่หลงเฟยจื่อเองก็ยังกางแขนออกขวางผู้คนไม่ให้เข้าใกล้รถเข็นทั้งสามคันด้วยเช่นกัน จนตอนนี้เหงื่อของเธอกก็ไหลท่วมกายไปหมด
มู่หลงเฟยจื่อไม่ใช่คนโง่.. เธอรู้แล้วว่าหินที่หลิงหยุนเลือกนั้นล้วนแล้วแต่ต้องเป็นสีเขียวทั้งสิ้น และตอนนี้ภายในใจของเธอก็สับสนอย่างไม่สามารถอธิบายได้
แต่หลิงหยุนกลับไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงอะไรนัก! เพราะเขาได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ในระยะสามสิบห้าเมตรไว้แล้ว และหากใครกล้าขโมยหินของเขาไป เขาก็จะรู้ได้ทันที และโทษของมันผู้นั้นก็คือตายสถานเดียว!
ความจริงแล้วหลิงหยุนเองก็มีแหวนพื้นที่ซึ่งตอนนี้เขาได้สร้างพื้นที่ในการเก็บของเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ดังนั้นหากจะแอบนำหินพลังชีวิตทั้งสองสามคันรถไปเก็บไว้ก็คงจะไม่มีใครจับได้
แต่หากเขาทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการขโมย.. อีกทั้งเซียนหยกก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจ เขาจึงต้องการเจรจาซื้อขายกับเซียนหยกอย่างเปิดเผยและยุติธรรม
ในเมื่อเขาไม่ได้ขโมยของของใคร.. ใครก็ห้ามขโมยของของเขาเช่นกัน! และใครที่กล้าทำเช่นนั้น ก็ต้องได้รับโทษตายอย่างเดียวเท่านั้น!
“ฉันขอเลือกตัดก้อนนี้..”
เซียนหยกเลือกได้หินดิบก้อนหนึ่ง พร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนเป็นการขออนุญาต หลิงหยุนได้เห็นหินที่เซียนหยกเลือกก็ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
‘ช่างโชคดีเหลือเกินที่เซียนหยกไม่เลือกเอาหินก้อนที่มีพลังชีวิต!’
เพราะการนำหินพลังชีวิตมาตัดนั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่หลิงหยุนจะไม่มีวันยินยอมอย่างแน่นอน และหากเซียนหยกเลือกได้หินพลังชีวิตจริงๆ เขาคงต้องหาวิธีเปลี่ยนเป็นหินก้อนอื่นจนได้อย่างแน่นอน
“เชิญตามสบายครับ!” หลิงหยุนร้องบอกด้วยท่าทางสบายๆ
“ขอบใจน้องชายมาก!”
เซียนหยกลูบคลำหินที่ทั้งห้าก้อนที่ราวกับผูกติดกันไว้ด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ในใจได้แต่คิดว่าหากหินก้อนที่เขาเลือกมานี้เป็นสีเขียวอีกครั้งจริงๆ ครั้งนี้เขากับเถ้าแก่ฮั่นจะยอมเชื่อว่าหลิงหยุนเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง!
เวลานี้.. ไม่มีใครกล้าพูดว่าหินในรถของหลิงหยุนไม่ใช่สีเขียวอีก แต่ก็ยังมีอยู่เพียงแค่สองสามคนที่ยังคงมีตาแต่ไร้แวว..
จูหย่งหวังและโหวเย่าจงที่ได้ยินว่าหินก่อนหน้านี้ล้วนเป็นสีเขียวหมด ก็ถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นทันที แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นลมหมดสติไป หนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนยังคงเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ และเป็นความโชคดีอย่างเหลือเชื่อของหลิงหยุนเสียมากกว่า อีกทั้งยังไม่ยอมเชื่อว่าหินในรถเข็นทั้งสามคันของหลิงหยุนจะเป็นสีเขียวไปเสียทุกก้อน
จูหย่งหวังเห็นเซียนหยกเลือกหินที่ติดกันทั้งห้าก้อน ก็ได้แต่เลียริมฝีปากและพูดขึ้นว่า
“ก็แค่หินธรรมดาๆหรอกน่า! ถ้าตัดออกมาเป็นสีเขียวอีก ฉันจะกินหินให้ดูเลย!”
หลิงหยุนเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า หินทั้งห้าก้อนติดกันนี้เป็นหินที่มีสีห้าสี แต่กลับไม่มีก้อนใหนเป็นสีเขียวแม้แต่ก้อนเดียว เขาจึงไม่อยากใส่ใจกับคำพูดของจูหย่งหวังนัก
“นั่นสิ.. หากเทียบแล้วหินนี่ก็แค่มีรูปร่างแปลกประหลาด คงเทียบไม่ได้กับราชาหิน!”
โหวเย่าจงดูเหมือนจะฉลาดกว่าจูหย่งหวัง เขาดูเป็นมืออาชีพมากกว่า และสามารถวิเคราะห์ออกมาได้มีเหตุมีผลมากกว่า
แต่หลิงหยุนก็ไม่ใส่ใจโหวเย่าจงแม้แต่น้อยเช่นกัน และได้แต่คิดในใจว่า ใหนๆเด็กหนุ่มหน้าโง่สองคนนี้ก็จะต้องฟันร่วงหมดปากอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาพูดต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน!
แต่การที่หลิงหยุนไม่ตอบโต้อะไร ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะนิ่งเฉยไม่ตอบโต้กลับ!
มู่หลงเฟยจื่อที่อดรนทนไม่ได้ถึงกับหันไปตะโกนดุทั้งชายหนุ่มสองคน “พวกคุณสองคนเมื่อไหร่จะไปให้พ้นหูพ้นตาฉันซะทีนะ?!”
ตอนนี้มู่หลงเฟยจื่อไม่เพียงรู้สึกสับสนอยู่ในใจและยากที่จะอธิบายออกมาได้ และยังต้องมารำคาญใจกับหนุ่มเพลย์บอยสองคนนี้อีก เธอไม่สนใจลูกค้ารายใหญ่ทั้งสองคนของตระกูลมู่หลงอีกเลย เพราะตราบใดที่มีหลิงหยุน ธุรกิจของเธอก็ไม่มีทางที่จะล่มจมหรือมีปัญหาไปได้..
แต่เมื่อนึกถึงหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ยืนอยู่ข้างหลิงหยุน มู่หลงเฟยจื่อก็อดที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้ และนึกอยากให้ตัวเองได้ไปยืนอยู่ข้างเขาในเวลานี้ แต่ก็คงเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น.. เพราะความจริงแล้วการเป็นเพียงแค่เพื่อนกับหลิงหยุนน่าจะเหมาะกว่า..
เพราะด้วยอุปนิสัยของมู่หลงเฟยจื่อ เธอไม่ยอมที่จะใช้ผู้ชายร่วมกับผู้หญิงคนอื่นอย่างแน่นอน!
และหากไม่ใช่เพราะหลิงหยุนห้ามไว้ก่อนหน้านี้ ตี้เสี่ยวอู๋คงเข้าไปจัดการกับหนุ่มเพลย์บอยทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว
‘เจ้าโง่สองคนคงยังไม่รู้ตัวสินะว่าหายนะกำลังจะมาเยือน..’ หลิงหยุนจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองคนยิ้มๆ แต่ไม่พูดอะไร
หินทั้งห้าก้อนที่ราวกับผูกติดกันไว้และค่อนข้างหนักมากนั้น กำลังถูกเคลื่อนย้ายไปยังเครื่องตัดหิน
“เซียนหยก.. ครั้งนี้ต้องระวังให้มาก อย่าให้หินของผมเสียหายล่ะ!” หลิงหยุนพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
และครั้งนี้ซ่งเจิ้งหยางจะเป็นผู้ลงมือตัดหินด้วยตัวเอง..
ท่าทางการตัดหินของซ่งเจิ้งหยางนั้นดูงดงามราวกับศิลปะชิ้นหนึ่ง ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาดูเหมือนจะใหญ่กว่าฝ่ามือของคนธรรมดาทั่วไป มือของซ่งเจิ้งหยางไม่เพียงแค่นิ่งมาก แต่ยังแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ละครั้งที่ลงมือก็ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว
แต่เพราะหินห้าก้อนนี้หนักมากจึงยากต่อการเคลื่อนย้าย ทำให้การตัดหินเป็นไปค่อนข้างยากลำบาก หลิงหยุนจึงสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคอยเคลื่อนย้ายหินให้ และให้เขาคอยฟังคำสั่งของซ่งเจิ้งหยาง
และแล้วเสียงเครื่องตัดหินทำงานก็ดังขึ้น..
เมื่อมีผู้ช่วยเคลื่อนย้ายหินเช่นนี้ จึงทำให้การตัดสินเป็นไปได้อย่างสะดวกมากขึ้น ซ่งเจิ้งหยางจึงเลือกที่จะตัดตรงกลางของหินทั้งห้า..
หลิงหยุนเห็นอยู่แล้วว่าด้านในของหินที่อยู่ตรงกลางนั้นเป็นสีแดง..
ตี้เสี่ยวอู๋ทำหน้าที่หมุนหินให้ ส่วนซ่งเจิ้งหยางก็มีหน้าที่ตัด ในวินาทีนั้น.. ไม่มีใครสนใจความแข็งแรงของตี้เสี่ยวอู๋เลยแม้แต่น้อย และบริเวณนั้นก็คลุ้งไปด้วยเศษฝุ่นจากเครื่องตัดหินจนดูคล้ายกับหมอก
“โอ้โห.. ฝุ่นขาวไปหมดเลย?”
“นั่น.. เริ่มเห็นสีแดงบ้างแล้ว!”
“จริงด้วย.. นี่ถ้าเป็นหยกแดงจริงๆ ก็นับว่าเป็นหยกที่มีเนื้อดีที่สุดทีเดียว แล้วก็มีราคาสูงมากด้วย..”
“ตัดลึกไปแค่หนึ่งเซนติเมตรก็เห็นเนื้อหยกสีแดงแล้วหรือนี่?”
หลิงหยุนยืนฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนรอบๆด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง และได้แต่คิดในใจว่าที่แท้สีแดงสดใสที่อยู่ด้านในหินก็คือหยกเนื้อแดงที่นับว่าเป็นหยกที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด และราคาสูงมากงั้นรึ?
“เป็นหยกเนื้อแดงชั้นดีจริงๆด้วย!”
ซ่งเจิ้งหยางที่ได้เห็นชัดเจนเป็นคนแรก ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น เขาเพิ่งเคยพบหยกแดงที่มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ และราคานั้นก็เรียกได้ว่าไม่อาจประเมินค่าได้..
ซ่งเจิ้งหยางรู้ดีว่าหยกเนื้อแดงลักษณะนี้นั้นมีมูลค่าสูงเพียงใด เพราะเขาเองก็ได้เห็นกับตาตัวเองในการประมูลหยกเมื่อไม่นานมานี้
เขายังจำได้ว่าครั้งนั้นเป็นการประมูลหยกทั่วโลก และมีกำไลหยกสีแดงฉานราวกับเลือดคู่หนึ่งถูกนำขึ้นมาประมูล ราคาที่ประมูลนั้นสูงถึง 15.88 ล้านหยวน
และนั่นเป็นเพียงแค่กำไลคู่หนึ่งเท่านั้น ซ่งเจิ้งหยางรู้สึกว่าสีของกำไลคู่นั้นยังไม่สุกใสเท่ากับหยกชิ้นนี้เลยด้วยซ้ำ นี่เขาเพียงแค่ตัดด้านข้างออกดูเพียงเล็กน้อย ยังเปล่งประกายสะดุดตาได้ถึงเพียงนี้!
อีกทั้งวันนี้ท้องฟ้าก็ค่อนข้างมืดครึ้มไม่ค่อยมีแสงแดด แต่หยกสีแดงก้อนนี้กลับสามารถเปล่งประกายสุกใสได้ถึงเพียงนี้ ซ่งเจิ้งหยางได้แต่คิดในใจว่า
‘นี่ต่างหากจึงคู่ควรเป็นราชาหินที่แท้จริง!’