บทที่ 628 : หินตกแต่งบ้าน!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 628 : หินตกแต่งบ้าน!

แม้ว่าวันนี้ท้องฟ้าจะไม่มีแสงแดดจัดมาก และอากาศก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวอะไรมากมาย  แต่ระหว่างที่ซ่งเจิ้งหยางประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเป็นหยกเนื้อแดงชั้นเยี่ยมนั้น  เหงื่อของเขาก็ถึงกับไหลท่วมตัวเลยทีเดียว

ทั้งซ่งเจิ้งหยางและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็จดจ่ออยู่กับการตัดหิน และเมื่อผู้คนที่รายล้อมอยู่ได้ยินว่าเป็นหยกเนื้อแดงชั้นเยี่ยม ต่างคนต่างก็พากันเบียดเสียดเข้าไปเพื่อจะได้ชมเนื้อในของหินให้เห็นกับตา จนใครก็ขวางแทบไม่อยู่

และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรบกวนการตัดหินของซ่งเจิ้งหยาง เซียนหยกจึงได้สั่งให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของหออวี้ติงเซวียนหลายสิบนายเข้ามาจัดการดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยทันที

หออวี้ติงเซวียนแห่งนี้จัดพนันหินอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง พนักงานรักษาความปลอดภัยเหล่านี้จึงมีประสบการณ์ในการจัดระเบียบผู้คนดี  พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นมืออาชีพ หลังจากที่เข้ามาเพียงแค่เดี๋ยวเดียว ก็สามารถจัดการเคลียร์พื้นที่ออกเป็นวงกว้างได้ราวสิบห้าเมตร และกันให้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องดูอยู่นอกบริเวณ

ทุกคนต่างก็ให้ความร่วมมือดี และไม่มีใครกล้าก้าวล้ำมานอกอาณาเขตเลยแม้แต่คนเดียว

และในเวลานี้ ทั้งถังเมิ่งและมู่หลงเฟยจื่อต่างก็ไม่ต้องคอยระมัดระวัง และเป็นกังวลว่าจะมีใครมาขโมยหินในรถเข็นไปอีก ทั้งคู่จึงสามารถดูการตัดหินได้อย่างสบายอกสบายใจ

และแน่นอนว่าผู้ที่อยู่ใกล้จุดตัดหินมากที่สุดก็คือหลิงหยุน หลงหวู่ ถังเมิ่ง มู่หลงเวิ่นฉี เซียนหยก  เถ้าแก่ฮั่น และพ่อค้าจิวเวลรี่ที่มีชื่อ และบรรดานักพนันหินตัวยง

พวกเขาต่างก็ยืนอยู่ในวงล้อมของผู้คนที่ถูกกันไว้นอกพื้นที่วงกลม และกำลังมองซ่งเจิ้งหยางตัดหินในระยะประชิด ซ่งเจิ้งหยางเองก็ตัดหินได้อย่างชำนิชำนาญ

“เฒ่าซ่ง.. ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการพนันหินที่หออวี้ติงเซวียนในวันนี้ เอาเป็นว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการตัดหินพวกนี้ออกดู  ถ้าคุณเหนื่อยก็บอกผม ผมจะรับหน้าที่ต่อเอง..”

ระหว่างที่ซ่งเจิ้งหยางกำลังตัดหินอย่างเคร่งเครียดจนเหงื่อไหลท่วมตัวนั้น  เซียนหยกก็ร้องบอกอย่างเป็นห่วงเป็นใย

เซียนหยกนั้นชื่นชอบและหลงใหลหยกเป็นชีวิตจิตใจ และนี่นับว่าเป็นหยกชิ้นใหญ่เนื้อดีที่สุดเท่าที่เขาเคยตัดมา อีกทั้งยังเป็นหยกที่หาได้ยากมากจนไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ แม้แต่ซ่งเจิ้งหยางที่ตัดเพียงแค่ด้านข้างของหยก ก็ยังถึงกับเกร็งไปทั้งตัว!

ทั่วทั้งเมืองจิงฉูนั้น มีเพียงซ่งเจิ้งหยางและเซียนหยกเท่านั้นที่ขึ้นชื่อ และเป็นที่รู้จักว่าเชี่ยวชาญและชำนาญในการตัดหยกมากที่สุด ในจิงฉูนี้จะหาใครมีฝีมือเทียบเท่าสองคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นการที่ซ่งเจิ้งหยางลงมือตัดหยกด้วยตนเอง จึงมีเพียงเซียนหยกเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเตือนเขาให้ทำด้วยความระมัดระวังได้

“เซียนหยก.. คุณจะกังวลไปทำไมกัน? นี่ไม่ใช่หยกของคุณสักหน่อย?”

ซ่งเจิ้งหยางปาดเหงื่อที่ไหลออกมา และให้ผู้ช่วยข้างๆช่วยรดน้ำลงบนใบมีดและหินเพื่อลดความร้อน ระหว่างนั้นก็พูดคุยหยอกล้อกับเซียนหยกอย่างสนุกสนาน

เซียนหยกเป็นผู้ที่รักและหลงใหลหยก ส่วนซ่งเจิ้งหยางก็เป็นนักพนันหิน ทั้งคู่ต่างก็นับว่าไม่ธรรมดาเลย..

หลิงหยุนมองดูซ่งเจิ้งหยางที่ตัดหินด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกอย่างมาก หากเปลี่ยนให้เขาไปเป็นผู้ตัดแทน เขาคงไม่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือพวกนั้นให้เสียเวลา เขาคงจะรียกกระบี่มังกรขาวออกมา และรับรองว่าไม่ถึงหนึ่งนาที ก็สามารถตัดหินทั้งห้าก้อนนี้ได้หมด

หลังจากที่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ซ่งเจิ้งหยางก็ยกมือขึ้นถูกัน และเริ่มตัดหินส่วนอื่นต่อไป แม้ว่าเขาจะตื่นเต้นดีใจอย่างมากเมื่อพบว่าภายในหินคือหยกสีแดงเนื้อดีที่หาได้ยาก แต่ก็ยังคงสามารถควบคุมอารมณ์ให้สามารถทำการขัดหิน และตัดหินต่อไปได้อย่างเป็นปกติ และดูเหมือนจะเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

นี่ไม่ต่างจากการฝึกฝนของหลิงหยุน ที่ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงใด หรือเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ และน่าหวาดกลัวแค่ใหน ก็ต้องรักษาความสงบนิ่งเป็นปกติของใจไว้ให้ได้..

ไม่เพียงแค่การตัดหินและการฝึกวิชาเท่านั้น การใช้ชีวิตก็เช่นเดียวกันที่จำเป็นจะต้องรักษาจิตใจที่สงบนิ่งไว้ให้ได้  ดูอย่างเด็กนักเรียนที่จะสอบเอนทรานซ์ บางคนทำคะแนนและผลการเรียนได้ดีมาตลอด และเห็นได้ชัดว่าจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อผลสอบเอนทรานซ์ออกมา เด็กกลุ่มนี้กลับสอบไม่ได้ก็มี นั่นเป็นผลมาจากสภาวะจิตใจที่ไม่สงบนิ่งเมื่อต้องเผชิญกับนาทีวิกฤตินั่นเอง

ซ่งเจิ้งหยายที่ตอนนี้มีผู้ช่วยที่ดีอย่างตี้เสี่ยวอู๋  เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็สามารถขัดหินก้อนนั้นจนมองเห็นหยกสีแดงเนื้อดีได้อย่างชัดเจน

และนี่นับว่าเป็นหยกแดงเนื้อบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่เคยพบมา  ขนาดของมันใหญ่กว่าลูกบาสเก็ตบอลเสียอีก สีของมันก็แดงฉานราวกับเลือด  และใสเป็นประกายระยิบระยับงดงามชวนฝันอย่างที่สุด

ทั้งซ่งเจิ้งหยางและตี้เสี่ยวอู๋ที่อยู่ใกล้หยกสีแดงสุดในเวลานี้ ใบหน้าของพวกเขาทั้งคู่ล้วนกลายเป็นสีแดงที่เกิดจากการะสะท้อนของเนื้อหยก ซ่งเจิ้งหยางยกมีดตัดหินออก เขาจ้องมองหยกสีแดงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กับตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับสั่งว่า

“เสี่ยวอู๋.. เธอช่วยยกขึ้นให้ทุกคนในที่นี้ได้เห็นชัดๆเถอะนะ!”

“โอ้โห.. ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหยกสีแดงเนื้อดีแบบนี้..  แถมยังใหญ่กว่าลูกบาสเก็ตบอลอีก!”

“ช่างเป็นหยกที่หาได้ยากนัก คงยากที่จะประเมินเป็นค่าได้..”

“ ก้อนใหญ่ขนาดนี้ไม่รู้ว่าจะนำมาแกะสลักทำหัวแหวนได้กี่วง ทำกำไลกับต่างหูได้อีกกี่คู่..”

“หยกสีแดงเนื้อดีชิ้นใหญ่ขนาดนี้ ต้องไม่ต่ำกว่าแปดร้อยล้านอย่างแน่นอน.. เหลือเชื่อ! เด็กนั่นจ่ายเงินซื้อไปแปดสิบล้าน แต่เพียงแค่พริบตากลับได้กำไรกลับมาหลายสิบเท่าตัวเลยทีเดียว!”

“นั่นแค่ก้อนเดียว.. ยังมีอีกตั้งสี่ก้อนที่ยังไม่ได้ตัดออกดู..”

………….

คนที่มุงดูเหตุการณ์ต่างก็ตกใจจนช็อคไปตามๆกัน ทุกคนถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่  ดวงตาของพวกเขาจ้องมองหยกสีแดงเนื้อดีขนาดใหญ่นั้นพร้อมกับร้องกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ..

ผู้หญิงดูหมือนจะร้องเสียงดังกว่าผู้ชายมาก พวกเธอต่างก็จ้องหยกสีแดงใสพร้อมกับยืนอ้าปากหวออยู่อย่างนั้น..

“ช่างเป็นหยกที่สวยงามมากจริงๆ.. เป็นประกายชวนฝัน สมบูรณ์ไร้ที่ตำหนิ..”

มู่หลงเฟยจื่อที่ตกใจกับไข่มุกราตรีของหลิงหยุนมาแล้ว ก็ถึงกับตกใจสุดขีดไม่ต่างจากผู้หญิงคนอื่น เธอไม่ได้ตกตะลึงในมูลค่าของหยกสีแดงเนื้อดีนั้น แต่ตกตะลึงในความงดงามของเนื้อหยกต่างหาก..

ถังเมิ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่พอใจหลิงหยุนอย่างที่สุด ก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีเช่นกัน เขากรีดร้องดีใจกับกำไรมหาศาลที่จะได้รับในครั้งนี้

ซ่งเจิ้งหยางไม่ได้สนใจหยกสีแดงเนื้อดีนั้นอีก เขาเดินตรงไปยืนอยู่หน้าเซียนหยกพร้อมกับถามขึ้นว่า

“เซียนหยก หินทั้งห้าก้อนนี้ ผมเลือกตัดชิ้นที่อยู่ตรงกลางดู แล้วที่เหลืออีกสี่ก้อนล่ะ..?!”

พูดจบซ่งเจิ้งหยางก็ยิ้มให้เซียนหยก ราวกับจะสื่อความหมายอะไรบางอย่าง..

“ไม่จำเป็นต้องตัดดูอีกแล้ว..”

หลังจากหายจากอาการตกใจสุดขีด และสามารถสงบจิตสงบใจได้แล้ว เซียนหยกจึงตอบซ่งเจิ้งหยางไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ยังมีเหตุผลอะไรที่จะต้องตัดหินที่เหลืออีกสี่ก้อนออกดู ในเมื่อหินทั้งห้าก้อนผูกติดกันเช่นนั้น ต่อให้ตัดออกดูก็ต้องพบหยกสีแดงก้อนใหญ่อีกอยู่ดี..

หลังจากนั้นเซียนหยกก็หันไปพูดกับหลิงหยุน และเสียงพูดคุยอึกทึกครึกโครมก็ค่อยๆเงียบลงทันที ทุกคนต่างก็กำลังรอฟังว่าเซียนหยกจะพูดอะไรกับหลิงหยุน

เซียนหยกยืนนิ่งพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นประสานกันไว้ด้านหน้า พร้อมกับโค้งตัวลงทำการคำนับหลิงหยุน

แต่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้หลิงหยุนกลับไม่หลบการคำนับของเซียนหยก และยังคงยืนนิ่งพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยเป็นแสดงออกว่ายอมรับการคำนับจากเขา..

ไม่มีใครคาดคิดว่าหลิงหยุนจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ และตอนนี้เขาเองก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ความสามารถของเขานั้นควรค่าแก่การได้รับการคาราวะจากเซียนหยกอย่างแท้จริง..

หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “ท่านเซียนหยกไม่ต้องมีพิธีรีตองก็ได้ครับ..”

เซียนหยกมองหลิงหยุนด้วยแววตาเศร้าสร้อย หลังจากนั้นจึงยืดตัวตรงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เมื่อครู่ฉันเสียมารยาทไป หวังว่าเธอจะไม่ถือสา!”

“น้องชาย.. ฉันต้องขอบคุณเธอมากจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเธอ หินล้ำค่าพวกนี้ก็คงจะต้องกลายเป็นหินไร้ค่าถูกฝังลืมอยู่ที่ลานแห่งนี้ ช่างเป็นความโง่เขลาของฉันจริงๆ!”

ระหว่างที่รอให้หลิงหยุนพูดนั้น ซ่งเจิ้งหยางก็เดินตามเข้ามาพอดี เขายิ้มพร้อมกับบอกเซียนหยกว่า

“เซียนหยก.. รู้ตัวตอนนี้ก็ยังไม่สายนี่! ตอนนี้ราชาหินยังเป็นที่ข้องใจของทุกคน หากจะผ่าออกดูจริง ผมจะให้คุณเป็นคนลงมือผ่าด้วยตัวเอง..”

เซียนหยกหันไปมองหน้าผู้คนโดยรอบ ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่ตื่นเต้นและรอคอยการผ่าราชาหินออกดู จากนั้นจึงพยักหน้าพร้อมกับตัดสินใจพูดออกไปว่า

“งั้นก็ผ่าออกดู..!”

แต่ซ่งเจิ้งหยางรีบร้องเตือนทันที “แต่มันเป็นหินตกแต่งบ้านของหลิงหยุน คุณต้อง..”

เซียนหยกหันไปมองซ่งเจิ้งหยางพร้อมกับพูดสวนขึ้นทันที “คุณไม่ต้องย้ำอีกก็ได้! เพราะผมกำลังจะพูดเรื่องนี้กับน้องชายท่านนี้อยู่พอดี..”

หลังจากนั้น เซียนหยก็ไม่สนใจซ่งเจิ้งหยางอีก เขาหันกลับไปถามหลิงหยุน “น้องชาย.. ไม่ทราบว่าเธอมีเงื่อนไขอย่างไรหากฉันต้องการผ่าราชาหินออกดู?”

ในเมื่อถึงเวลาแล้ว.. หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องเล่นแง่อีกต่อไป เขารอคอยคำพูดประโยคนี้จากปากของเซียนหยกอยู่นานแล้ว และได้เวลาที่เขาจะขอหินมังกรเขียวซึ่งเป็นสมบัติของหออวี้ติงเซวียนแล้ว

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “เซียนหยก.. ราชาหินเป็นของที่ผมจะนำไปตกแต่งบ้าน ผมได้บอกไว้แล้วว่าหากต้องการจะผ่าออกดูก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน..”

หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของหลิงหยุน ร่างของเซียนหยกก็ถึงกับสั่นไปหมด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง จากนั้นจึงหันไปมองสมบัติประจำร้านเป็นครั้งสุดท้าย ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงหันกลับไปพูดกับหลิงหยุนว่า..

“หินที่ตั้งอยู่กลางลานแห่งนี้  คิดว่าน้อยชายคงจะได้เห็นแล้วสินะ! มันคือสมบัติประจำหออวี้ติงเซวียนมีชื่อว่า.. หินมังกรเขียว!”

“น้องชาย.. ฉันจะใช้สมบัติล้ำค่าของทางร้านแลกกับโอกาสในการตัดราชาหินก้อนนี้ดู ไม่ทราบว่าเธอคิดเห็นยังไง?”

หลิงหยุนมองลึกลงไปในดวงตาของเซียนหยกพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เซียนหยก.. นั่นเท่ากับว่าทันทีที่คุณตัดราชาหินออกดู  คุณก็จะเสียหินมังกรเขียวก้อนนั้นให้กับผมทันที!”

เซียนหยกตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ใช่.. ถือว่าเป็นการขอโทษจากฉันก็แล้วกัน!”

ทันทีที่ได้ฟังคำตอบของเซียนหยก หลิงหยุนถึงกับยิ้มมุมปากพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า

“ได้.. ถ้าเช่นนั้นหินมังกรเขียวก้อนนี้เป็นของผมแล้ว เชิญตัดราชาหินออกดูได้เลย!”