เขาไม่อยากให้เธอรู้สึกผิด เขาเห็นซารางเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองมาโดยตลอด พ่อช่วยลูกสาว มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
“ฉันเข้าใจ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพราะซาราง ฉันก็จะยังคงดูแลคุณอยู่ดี เพราะในใจซาราง คุณคือพ่อของเธอมาโดยตลอด”
เชอร์รีนพูดช้าๆ เน้นทีละคำ
คำพูดนี้สัมผัสหัวใจขององค์ชายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ยังปฏิเสธอยู่ดี “เชอร์รีน คุณไปกับซารางเถอะ ผมอยู่เฝ้าเมืองS ก็ดีเหมือนกัน จะว่าไปแล้วงานของผมก็อยู่ที่นี่”
“ขาของคุณยังไม่สามารถฟื้นฟูให้เหมือนเดิมได้ จะทำงานได้ยังไง?” เชอร์รีนขมวดคิ้วครุ่นคิด นิสัยใจคอขององค์ชายนั้นดื้อรั้นทีเดียว!
“งานที่ต้องวิ่งมันทำไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่ยังสามารถวิเคราะห์คดีได้”
เธอไม่อยากคุยกับเขาต่อไปแล้ว จึงพูดขึ้นมาตรงๆ ว่า “คุณก็รู้จักนิสัยฉันดี ดังนั้นตราบใดที่ฉันตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
ซารางเงยหน้าขึ้นมาด้วยความงุนงง ปากของเธอยังเต็มไปด้วยแอปเปิล น้ำเสียงละมุนละไมของเธอดังอู้อี้ “คุณอาองค์ชายไม่อยากอยู่กับแม่ของหนูแล้วเหรอคะ?”
“เปล่า” องค์ชายมองไปที่เธอด้วยความเอ็นดู
“มันเป็นเพราะหนูทำให้ขาของคุณอาองค์ชายขยับเขยื้อนไม่ได้ ดังนั้นคุณอาองค์ชายเลยไม่ชอบหนูแล้วใช่ไหม?” ซารางกะพริบตาปริบๆ ถามอย่างจริงจัง
“คุณอาองค์ชายจะไม่ชอบซารางได้ยังไงล่ะ คิดมาก” เขาเอื้อมมือไปบีบจมูกเธอ
น้ำตาคลอเป็นประกายอยู่ในดวงตา ซารางเบะปากทำท่าจะร้องไห้ “คุณอาองค์ชายโกหก คุณอาองค์ชายต้องไม่ชอบหนูแล้วแน่ๆ เลย!”
สาวน้อยร้องไห้ตาแดงจมูกแดง หัวไหล่น้อยๆ ของเธอสั่นเทา ร้องสะอึกสะอื้น เหมือนกระต่ายที่ถูกทอดทิ้ง
สิ่งที่องค์ชายทนดูไม่ได้ก็คือสาวน้อยร้องไห้ พอเห็นสาวน้อยร้องไห้เขาก็รีบปลอบ
ซารางไม่สนใจเขา ร้องไห้ไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง เธอร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ “คุณอาองค์ชายต้องไม่ชอบหนูแล้วแน่ๆ เลย! หนูก็ไม่ชอบคุณอาองค์ชายแล้ว ไม่ชอบอีกต่อไป”
องค์ชายจะยอมทนดูซารางร้องไห้จนหายใจไม่ออกได้อย่างไร เขาใจอ่อนแล้ว “เอาล่ะ ไป เราจะไปด้วยกัน”
อันที่จริงเพิ่งผ่าตัดเสร็จ จะไปทำงานทันทีไม่ได้อยู่แล้ว ก็ถือเสียว่าไปพักร้อนให้สบายใจ อยู่เป็นเพื่อนซารางสักระยะหนึ่ง
มือน้อยขาวผุดผ่องเช็ดน้ำตา ในที่สุดซารางก็เปลี่ยนเสียงร้องไห้เป็นเสียงหัวเราะ ยังตั้งใจขยิบตาให้แม่ เธอเจ๋งสุดยอดไปเลยใช่ไหม!
รอยยิ้มคลุมเครือปรากฏขึ้นในดวงตา เชอร์รีนแอบยกนิ้วโป้งให้เธอ พอเห็นดังนั้น สาวน้อยก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข
จากนั้นเชอร์รีนก็เดินไปที่ห้องทำงานของแพทย์เจ้าของไข้ สอบถามเรื่องที่ต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญ
จากนั้นเธอก็ไปชำระค่าใช้จ่ายสำหรับหลายวันนี้ ทางโรงพยาบาลบอกเธอว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้รับการโอนไปยังชื่อของคุณออกัสแล้ว และได้รับการชำระเงินเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้วด้วย
เธอถึงกับอึ้งไป หลังจากกล่าวขอบคุณ เธอก็ออกไปจากที่นี่ จากนั้นจึงไปซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงสามใบไปยังเมืองทะเลหทัย
ในขณะเดียวกัน เธอยังได้บอกกับพ่อแม่ กนกอรและจักรกฤษเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ
กนกอรกลัวว่าเธอจะจัดการคนเดียวไม่ไหว จึงเสนอว่าขอไปที่เมืองทะเลหทัยด้วย เพื่อช่วยเธอดูแล แต่เชอร์รีนปฏิเสธ
เธอคิดว่าเธอควรจะดูแลด้วยตัวเธอเอง พ่อแม่ของเธออายุมากแล้ว ไม่เหมาะที่จะเดินทางไปไหนมาไหนให้เหนื่อย
ตั้งแต่ตอนบ่ายจนกระทั่งตกกลางคืน ออกัสไม่ได้เข้ามาที่โรงพยาบาลเลย แค่โทรหาซารางหนึ่งครั้งตอนสองทุ่มกว่าเท่านั้น
เชอร์รีนไม่ได้อยู่ในห้องผู้ป่วย เธอเดินออกไปซื้อของ และส่งกระเป๋าเดินทางติดตัวไปทางไปรษณีย์ ดังนั้นโทรศัพท์จึงมีเพียงซารางมารับสายคนเดียว
โทรศัพท์กินเวลานานมาก แต่ซารางยังคงถือโทรศัพท์ไว้ไม่ยอมวาง เธอหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ไม่มีใครรู้ว่าออกัสได้พูดอะไรบ้างในโทรศัพท์
จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมาจึงได้วางสายลง พยาบาลหยิบโทรศัพท์ไปจากมือของซารางและปล่อยให้เธอนอนหลับ
รถไฟความเร็วสูงระบุเวลาไว้ที่เก้าโมงเช้าวันรุ่งขึ้น เชอร์รีนเข็นรถเข็น ในขณะที่ซารางแบกกระเป๋านักเรียนใบเล็ก พร้อมกับว่าวรูปดาวสีส้ม เดินอยู่เคียงข้างเธออย่างเชื่อฟัง
นับตั้งแต่ได้รับบทเรียนในครั้งนั้น เธอก็ว่านอนสอนง่ายมากกว่าเดิม แม้ว่าจะไม่ได้จูงมือ แต่ก็ตามอยู่ข้างหลังอย่างเชื่อฟัง ไม่วิ่งเล่นไปทั่ว
ยังไม่ถึงเวลาขึ้นรถ จึงนั่งรออยู่ที่โถงรอขึ้นรถไฟ
ในโถงรอขึ้นรถไฟมีผู้คนจำนวนมาก บางคนก็เสียงดัง ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ กินอาหารอย่างรีบร้อนจนสะอึกอย่างรุนแรง “อึกอึกอึก…”
“โก่งคอส่งเสียงร้อง ขนสีขาวลอยล่องบนน้ำสีเขียว เท้าสีแดงดั่งไม้พายในสายน้ำ” ซารางลากเสียงยาวละมุนละไม ตอบอย่างซุกซนกวนประสาท
ได้ยินดังนั้น ผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ ต่างหัวเราะออกมา พากันแกล้งหยอกซาราง
เชอร์รีนสบสายตากับองค์ชาย ยิ้มมุมปาก รู้สึกจนปัญญา
ในเวลานี้โทรศัพท์ของเธอได้สั่นขึ้น เธอเหลือบมองหมายเลขแล้วลุกขึ้น เดินไปยังสถานที่ที่เงียบสงบก่อนจะรับสาย “เลอแปง”
“คุณและซารางยังอยู่ที่เมืองทะเลหทัยไหม? ผมเพิ่งกลับมาจากอเมริกา สองวันนี้วางแผนจะไปเมืองทะเลหทัย อย่าลืมนะว่าคุณรับปากผมไว้ ว่าจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ” เลอแปงพูดพร้อมกับหาวนอน
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน? ทำไมเสียงดังเอะอะจัง?” เลอแปงขมวดคิ้ว
แม้ว่าเธอกำลังยืนอยู่ในหัวมุม มีเสียงฝีเท้าคนเดินไปมา แต่เสียงพูดก็ยังดังออกมาจากมือถืออย่างชัดเจน
“สถานีรถไฟความเร็วสูง กำลังจะกลับไปที่เมืองทะเลหทัย”
“กำลังจะกลับไปที่เมืองทะเลหทัย? แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”
“กลับมาทำธุระที่เมืองS ฉันต้องไปเอาตั๋วแล้ว ถ้าคุณมาถึงเมืองทะเลหทัยเมื่อไหร่ ก็โทรหาฉันแล้วกัน แค่นี้นะ”
ในบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์
เลอแปงนอนขี้เกียจอยู่บนโซฟา ในมือถือถ้วยกาแฟเอาไว้ อีกมือหนึ่งกำลังเล่นเกมอยู่ พลางส่ายหน้าและทำเสียงจิ๊ปาก “ไม่ได้มีความจริงใจใดๆ ตามคาด กลับมาที่เมืองS ไม่บอกไม่กล่าวกันเลยสักนิด แถมยังรีบกลับไปที่เมืองทะเลหทัยอีก”
“เมื่อกี้นายคุยโทรศัพท์กับใคร?”
ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เลอแปงสะดุ้งตกใจ มือถือหล่นลงกับพื้นทันที
เลอแปงตบหน้าอกแล้วหันกลับไป เห็นพี่ใหญ่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ ร่างสูงใหญ่กำยำสวมชุดออกกำลังกายอยู่ ท่าทางสดชื่นและสบายใจ
“ผมจะคุยโทรศัพท์กับใครมันคือเสรีภาพและสิทธิ์ของผม พี่ใหญ่ ยุ่งเรื่องคนอื่นมากไปไม่ใช่เรื่องที่ดีนะ ระวังจะแก่เร็ว…” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มทะเล้น
ดวงตาอันลุ่มลึกทอดมาที่เขา ออกัสไม่สนใจคำพูดพล่ามของเขา สาวเท้าพุ่งไปข้างหน้าแย่งเก็บมือถือที่อยู่บนพื้นขึ้นมาและเปิดบันทึกการโทร
เมื่อเห็นหมายเลขที่คุ้นเคย เขาก็เชิดคางขึ้นทันที ใบหน้าอันหล่อเหลาดูอึมครึมทันที ราวเมฆดำปกคลุม
เขายกมือขึ้น ขว้างโทรศัพท์ไปบนโซฟา เปลี่ยนรองเท้าแล้วเดินพรวดพราดออกจากห้องนั่งเล่น