“มองคนอื่นไปเรื่อยเปื่อยได้ยังไงกัน!” เลอแปงพูดเบาๆอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็มีเสียงสตาร์ทรถดังขึ้น เขาตบลงบนขาตัวเอง : “เล็กซัสของฉัน!”
หลังจากผ่านไปซักพักหนึ่งแล้ว ประกาศมีการแจ้งเริ่มตรวจตั๋ว มือหนึ่งจูงซาราง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ดันรถเข็นเดินเข้าไปในขบวนรถไฟ
ตอนที่ซื้อตั๋วนั้นเนื่องจากว่าไม่มีตั๋วที่นั่งติดกัน ดังนั้นเชอร์รีนจึงซื้อได้เพียงแค่ตั๋วแยก3ใบ พอดีที่นั่งข้างๆซารางเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง ก็เลยขอเปลี่ยนที่นั่ง และที่นั่งของทั้งสองคนกับองค์ชายก็ห่างกันเพียงไม่กี่แถว ไม่ได้ไกลกันนัก สะดวกมาก
ศีรษะน้อยๆพิงอยู่ตรงหน้าต่าง มือของซารางกำลังแกะว่าวอยู่ : “หม่ามี๊ ต่อไปจะไม่ได้เจอคุณอาแล้วใช่ไหมคะ?”
“ไม่ใช่ว่าหนูไม่ชอบเขาหรอคะ หนูยังบอกว่าเขาเป็นคนไม่ดีอยู่เลยไม่ใช่หรอ?” เชอร์รีนละสายตากลับมา ก้มลงมองเธอ
“ตอนแรกก็ไม่ชอบมากๆค่ะ เขาโมโหเสียงดังใส่หนู ดุหนู เอาเจ้าดิ๊กมาขู่หนู แล้วก็ยังไม่ให้หนูโทรหาหม่ามี๊ด้วย!”
พูดถึงความผิดเหล่านั้น ปากเล็กๆของเธอก็ปิดลง จำได้อย่างชัดเจนมาก
“แต่ เขาป้อนข้าวให้หนู สอนหนูเล่นกับเจ้าดิ๊ก ตอนกลางคืนก็นอนกับหนู ให้ว่าวหนู หม่ามี๊หนูคิดถึงคุณอาแล้ว!”
หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย เชอร์รีนยื่นมือออกมาลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน เธอคิดว่าหรือบางทีจะเป็นเพราะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำจริงๆ
พาซารางจากไปแบบนี้ แต่กลับไม่ได้บอกเขาเลยแม้แต่คำเดียว จะดูเป็นการทำเกินไปหรือเปล่า?
ไม่พูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นระหว่างสองคนเป็นการชั่วคราว เพราะถึงอย่างไร เขาก็คือพ่อแท้ๆของซาราง แล้วก็เอาสิทธิการเลี้ยงดูซารางให้เธอ เห็นแก่หน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความรู้สึกหรือเหตุผลแล้วนั้นเธอก็ควรจะทักเขาไป
ถึงแม้ว่าระหว่างเขาสองคนจะไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันอีกในอนาคต เหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่เขาเองก็มีสิทธิที่จะรู้ทิศทางและแหล่งการเดินทางของซารางเช่นกัน
หว่างนิ้วกระชับขึ้นเล็กน้อย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือจะกดส่งข้อความถึงเขา แต่หยิบออกมาแล้วถึงได้พบว่าแบตหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่างเถอะ กลับไปถึงเมืองทะเลหทัยแล้วค่อยส่งก็แล้วกัน
ตัดซารางออกไปแล้ว เธอกับเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกันอีกเลยแม้แต่นิดเดียว…..
แล้วจู่ๆหัวใจก็เหมือนกับถูกมือใหญ่จับเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเจ็บปวด เธอยกมือขึ้นมาตบลงเบาๆ บางทีรอให้ชีวิตเข้าร่องเข้ารอยแล้ว ตอนที่ทุกอย่างกลับมาสงบเหมือนปกติ ก็จะค่อยๆลืมเลือนไปเองเช่นกัน…..
ถึงสถานีรถไฟความเร็วสูง ดวงตาที่หรี่ลงของออกัสจ้องมองอยู่บนหน้าจอที่กำลังเลื่อนในห้องโถง เห็นสถานะขบวนรถไฟที่จะไปเมืองทะเลหทัยนั้นการตรวจตั๋วเสร็จสิ้นแล้ว
แววตาและใบหน้ายังคงมืดมน แม้กระทั่ง มีความเย็นชาแผ่ออกมาด้วย
มือใหญ่กระชับแน่น ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างเย็นชา ความเยือกเย็นกระจายออกมาจากร่างของเขา
เธอนี่ดีจริงๆเลย! พาลูกสาวของเขาจากไปโดยไม่บอกกล่าวกันซักคำ!
เธอยอมให้สิทธิเลี้ยงดูซาราง แต่ไม่ใช่ให้เธอมากำเริบเสิบสานแบบนี้!
เช็คดูตั๋วรถไฟความเร็วสูงที่จะไปเมืองทะเลหทัย เป็นหลังจากนี้อีกสามชั่วโมงแล้ว ใบหน้าเย็นชานั้นมองไม่เห็นถึงอารมณ์ใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว เขาซื้อตั๋วไปเมืองทะเลหทัยจากเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ
สี่ชั่วโมงครึ่ง เป็นเวลาที่ไม่ยาวและไม่สั้นไป แต่กลับทำให้นอนหลับได้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อเนื่องติดๆกันในช่วงเวลานี้ทำให้เชอร์รีนอ่อนล้ามาก เธอนั่งพิงที่นั่งของเธอแล้วหลับไป
บ่ายโมงครึ่งถึงเมืองทะเลหทัยตรงเวลา เดินออกมาจากสถานีรถไฟความเร็วสูง ซารางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเหมือนกับนกตัวน้อยๆ กระโดดไปมา
อากาศในช่วงสี่ฤดูของที่เมืองทะเลหทัยนี้เท่าๆกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน แต่ก็ไม่ได้ร้อนอบอ้าวเหมือนกับเมืองs ประกอบกับฝนที่กำลังตกด้วยแล้วทำให้รู้สึกหนาวๆอยู่บ้าง
องค์ชายไม่ใช่ครั้งแรกที่มาที่เมืองทะเลหทัย ในช่วงสี่ปีนี้เขามาที่เมืองทะเลหทัยนี้อยู่หลายครั้ง ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเมืองทะเลหทัยนี้เป็นอย่างมาก
ในห้องที่ไม่มีคนพักอยู่หลายวัน จึงดูสกปรกอย่างเห็นได้ชัด เชอร์รีนให้ซารางเปิดทีวีให้กับองค์ชาย หลังจากนั้นเธอก็จัดเก็บห้อง
จากด้านในจนถึงด้านนอก จัดเก็บไปทีละห้อง มีอยู่สองห้องพอดี เธอกับซารางพักห้องหนึ่ง แล้วองค์ชายก็พักอีกห้องหนึ่ง
เปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ เอาเสื้อผ้าขององค์ชายแขวนเข้าตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็ไปทำอาหารกลางวัน
ซารางน่ารักมากจริงๆ รอหลังจากที่เชอร์รีนทำซุปเสร็จแล้วนั้น เธอก็ถือไปให้องค์ชาย หลังจากนั้นก็เอาให้หม่ามี๊แล้วสุดท้ายถึงให้ตัวเอง
บรรยากาศในการทานข้าวด้วยกันของทั้งสามคนนั้นเป็นไปอย่างมีความสุขและความสนิทสนมกัน ระหว่างนั้น ทางตำรวจโทรมาหาองค์ชาย บอกว่าต้องการให้เขารวบรวมเรื่องรายงานวิเคราะห์ของคดีสองสามคดีให้
เมื่อได้ยินแล้ว เชอร์รีนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา : “เพิ่งจะผ่าตัดเสร็จก็จะดูรายงานวิเคราะห์อะไรกันคะ ถึงแม้จะดูรายงานวิเคราะห์ก็ต้องหลังจากนี้ครึ่งเดือนเหมือนกันนะ!”
องค์ชายยิ้ม : “คดีฉุกเฉินน่ะครับ ตั้งคดีเพื่อตรวจสอบมาเป็นปีแล้ว ตอนนี้กว่าจะได้เบาะแสมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ จะต้องรีบคว้าโอกาสเอาไว้ก่อน แค่สองชั่วโมงก็รวบรวมเสร็จแล้วล่ะครับ”
“ได้ค่ะ งานของคุณฉันไม่ขัด แต่จะต้องมีกฎระเบียบนะคะ วันนึงคุณทำงานสองชั่วโมง หลังจากนั้นสามชั่วโมงก็ใช้สำหรับการออกกำลังกายช่วงขา”
“ครับ” องค์ชายพยักหน้า เขาเองก็รู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ ไม่เหมาะกับการทำงานเป็นระยะเวลาที่นานเกินไปด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วนั้น เชอร์รีนก็เก็บถ้วยชามและตะเกียบ ซารางทำการบ้าน ส่วนองค์ชายก็จัดแจงเอกสารในโน๊ตบุ๊ค
ยังคงรู้สึกง่วงนอนอยู่บ้าง เธอยื้อต่อไปไม่ไหว จึงกลับมาที่ห้องนอนแล้วนอนหลับไปสองสามชั่วโมง และรอจนตอนที่ลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็เป็นเวลาหกโมงแล้ว เนื่องจากฝนตก ท้องฟ้าจึงมืดลงแล้ว
นึกได้ว่าองค์ชายยังไม่มีของใช้สำหรับผู้ชายเลยนั้น เธอก็ให้ซารางเชื่อฟังอย่างว่าง่าย แล้วไปซื้อผักสดที่ตลาดก่อน และยังมีกระดูกหมู หลังจากนั้นก็ค่อยไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
ผ้าเช็ดตัว ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และยังมีรองเท้าแตะผู้ชาย มีดโกน ชุดลำลอง เธอก็ซื้อมาทั้งหมดครบถ้วน
ฤดูร้อนของเมืองทะเลหทัยมีฝนตกอยู่บ้าง อีกทั้งตกแล้วก็จะตกอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ตกมาทั้งวันแล้ว และตอนนี้ก็ไม่เพียงแค่ดูเหมือนจะยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่กลับตกแรงขึ้นอีกด้วย
ขึ้นมาบนปากทางตึกแล้ว เสื้อถักที่อยู่บนร่างของเธอนั้นก็เลี่ยงจากการเปียกปอนไม่ได้เลย เธอก้มหน้าลงแล้วสะบัดหยดน้ำที่อยู่บนร่มเบาๆ
“อุ๊ย นี่ไม่ใช่คุณครูเชอร์รีนหรอกหรอ”
เงยหน้าขึ้นมอง เธอสบตากับป้าอิ่มที่อายุห้าสิบกว่าๆ อวบอ้วนเล็กน้อยและในมือถือเม็ดแตงอยู่ตรงหน้า
ทั้งสองคนอยู่ชั้นเดียวกัน ปกติแล้วก็เพียงแค่เจอหน้ากันแล้วก็ทักทายกันเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น พยักหน้ารับแล้วเธอก็ทักทายขึ้น : “ป้าอิ่ม”
“ประตูบ้านของคุณปิดหลายวันเลย ฉันคิดว่าคุณจะไม่ได้พักอยู่ที่นี่แล้วเสียอีก”
“ค่ะ กลับไปเมืองsมาน่ะค่ะ”
“แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อตอนกลางวันทำไมฉันเห็นคุณเข็นผู้ชายคนหนึ่งมา ดูแล้วขาของผู้ชายคนนั้นจะขยับไม่ได้ ป้าอิ่มจะบอกคุณให้นะว่าอย่าพาผู้ชายอะไรเข้ามาอยู่ในบ้าน ตอนนี้คุณอายุยังน้อย ถึงแม้ว่าจะต้องดูแลซาราง ก็ยังสามารถหาผู้ชายที่คล้ายๆเราได้ แล้วค่อยแต่งงานใหม่ อย่าให้ผู้ชายพิการมาทำลายชื่อเสียงของคุณเชียวนะ” เม็ดแตงที่เอาออกมาอยู่ในปาก ป้าอิ่มเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูภาคภูมิใจ
คำพูดนี้เข้าหูเชอร์รีนแล้วรู้สึกว่าไม่น่าฟัง ความโมโหก่อขึ้นภายในใจ เธอเอ่ยขึ้นอย่างชัดเจน
“ต่อไปป้าอิ่มจะพูดจาก็กรุณาเคารพกันบ้างนะคะ เขาไม่ใช่ผู้ชายคนอื่นอะไร แต่เขาเป็นคู่หมั้นของฉัน เดี๋ยวอีกซักพักนึงเราก็จะหมั้นกันแล้ว แล้วเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายที่พิการด้วย เพียงแค่ขาของเขาขยับไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ป้าอิ่มไม่ต้องมาคิดหนักเรื่องของฉันหรอกนะคะ!”
เป็นการหาเรื่องให้ลำบากใจ ป้าอิ่มส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความโมโห หันหลังกลับไป มีอะไรที่ไม่ธรรมดางั้นหรอ ขาขยับไม่ได้เป็นการชั่วคราวกับพิการมีอะไรที่แตกต่างกัน!
ดูคำพูดแบบนั้น ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่พิการคนนึงเองรึไง ต้องพูดจาเสียงดังขนาดนี้เลย เป็นที่รักขนาดนี้เลยหรือ? ขาดผู้ชายขนาดนั้นเลย?
“คำพูดนี้ของคุณเชอร์รีนนี่น่าฟังจริงๆเลยนะ จุ๊ๆ…..”
เสียงเยือกเย็นทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง จากนั้นก็เป็นเสียงปรบมือดังขึ้นเสียงดังกังวานและเป็นจังหวะ
ได้ยินแล้วนั้น ร่างของเชอร์รีนดูเหมือนจะสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย หันกลับไป เห็นว่าออกัสกำลังยืนอยู่ทางด้านหลังอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างสูงยืนตัวตรง แววตาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
“คุณมาได้ยังไงคะ?”เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้น
ริมฝีปากบางยกขึ้นมาอย่างเย็นชา แต่กลับไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ขายาวๆของเขาก้าวไปข้างหน้า หรี่ดวงตาที่ดุมองไปยังถุงใสๆที่เธอถืออยู่ : “รองเท้าผู้ชาย มีดโกน ชุดลำลอง แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว…..”
น้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมานั้นเย็นชามาก และลดลงต่ำมาก ราวกับว่าหากทุบเข้าไปลึกๆในก้นบึ้งของหัวใจแล้ว ทำให้อดที่จะสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้
“อืม ซื้อครบถ้วนเลยนี่ แต่คุณเชอร์รีนไม่เห็นว่าซื้อของสำคัญที่สุดขาดไปอย่างนึงหรอ ที่คุมกำเนิด…..”
จ้องมองเธออย่างดุเดือดและลึกซึ้ง ออกัสรู้สึกเพียงแค่เลือดที่อยู่ในร่างกายกำลังไหลเชี่ยวนั้นพุ่งเข้าไปด้านบนสุดของศีรษะ รู้สึกร้อนไปทั้งร่างกาย มีความรู้สึกใจร้อนอยากจะบดขยี้เธอแบบนั้น…..
เขารีบมาติดต่อกันหลายวัน ประโยคแรกที่ได้ยินกลับเป็นการปกป้องผู้ชายคนอื่นของเธอ!
ไปตายซะ! เธอนี่ดีจริงๆ ยั่วยุความอดทนและการล้ำเส้นของเขามาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาอยากจะใช้มือบีบคอเรียวๆนั่นของเธอให้หักเสียเลย แล้วถือโอกาสตีขาขาวๆสองข้างของเธอนั้นให้หักอีกด้วย!
“ตอนนี้พวกเรามีความสัมพันธ์เป็นอดีตสามีภรรยากันแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าฉันจะซื้ออะไร คุณก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่ง ไม่ใช่หรอคะ?”
ไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห สีหน้าท่าทางของเชอร์รีนนั้นนิ่งมาก เอ่ยพูดอย่างเชื่องช้า
ดังนั้นไม่ว่าเธอจะซื้ออะไร เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะมายุ่ง ได้ยินคำพูดนี้ของเธอหมายความว่า ตั้งใจจะซื้อที่คุมกำเนิดจริงๆ?
เขาจ้องมองใบหน้าที่นิ่งเฉยของเธออย่างเย็นชา ฝ่ามือใหญ่ที่อยู่ข้างลำตัวนั้นกำหมัดแน่น บนหลังมือปรากฏเป็นเส้นเลือดขึ้นมา รู้สึกโมโหเสียจนยากที่จะควบคุม
“ถ้าหากคุณอยากจะมาหาซารางไม่ใช่จะมาทะเลาะด้วย ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาข้างในได้”เธอมองเขาพลางเอ่ยขึ้น หลังจากนั้นก็หันหลังแล้วเปิดประตูไป
ดวงตาที่เย็นชาของออกัสหรี่ลง จ้องมองเบื้องหลังร่างบางของเธออย่างเย็นชา ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็งที่เยือกเย็น เพียงพอที่จะสามารถทำให้คนกลายเป็นน้ำแข็งได้
มองเธอแบบนั้นแล้วก็ตามหลังเธอไป และด้วยความโมโหที่ปะทุอยู่นั้น ก็กลั้นเอาไว้ แล้วเดินเข้าไป
ได้ยินเสียงฝีเท้า ซารางที่อยู่ในห้องนั้นก็วิ่งออกมา และยังร้องเรียกหม่ามี๊ด้วยเสียงหวานๆ แต่หลังจากที่เห็นออกัสแล้วนั้น เธอก็เหมือนกับนกน้อยที่เบิกบานแล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเขาเลย
ร่างสูงนั้นก้มตัวลงเล็กน้อย เขาอุ้มซารางอยู่ในอ้อมแขน มองพิจารณาห้อง ไม่ใหญ่ไม่เล็ก สไตล์การตกแต่งเป็นสไตล์ของผู้หญิงคนนั้นจริงๆ
ซารางเป็นเหมือนกับจิงโจ้ที่เกาะอยู่บนร่างของออกัส มือเล็กๆที่ขาวละเอียดอ่อนนั้นวนเวียนอยู่ที่ใบหน้าของเขา : “คุณอา เราจะไปเล่นว่าวกันเมื่อไหร่ดีคะ?”
“แน่นอนว่าจะต้องเป็นตอนที่มีลมสิครับ…..”เสียงของเขาทุ้มต่ำ ถึงแม้ว่าจะพูดกับซาราง แต่แววตาอันมืดมนกลับจ้องมองเชอร์รีนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เชอร์รีนนั้นเห็นเขาเป็นอากาศไปแล้วเสียอย่างนั้น ยุ่งวุ่นอยู่กับงานของตัวเอง ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่เลย