บทที่ 202 ไม่เกี่ยวกับคุณ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

“ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่จะมีลมล่ะคะ?” ร่างเล็กคว่ำหน้าลงบนหน้าอกกว้างที่อบอุ่นของออกัส ซารางมีท่าทางที่จะซักถามไปจนถึงที่สุด

“ดูพยากรณ์อากาศก็รู้แล้ว…..”สายตาของเขายังคงมองตามร่างนั้นไป เมื่อเห็นว่าเธอเอาของใช้ของผู้ชายเดินเข้าห้องน้ำไปนั้น ความโมโหก็ปรากฏขึ้นมา แม้กระทั่งบีบซารางแน่นอย่างไม่รู้ตัว

ซารางเจ็บ ร่างบิดไปไม่หยุด : “คุณอาเจ็บนะคะ คุณอาบีบหนูแล้ว แล้วก็รีโมตค่ะ คุณอารีบดูพยากรณ์อากาศสิคะ”

มือใหญ่ปล่อยมือทันที ออกัสหยิบรีโมตขึ้นมา หลังจากนั้นก็กดไปยังช่องที่กำลังรายงานพยากรณ์อากาศอยู่ รับมือกับเจ้าเด็กจอมเซ้าซี้

“ซาราง หนูไม่ได้บอกว่าอยากจะดูเจ้าหัวล้านไม่ใช่หรอ คุณอาทำคอมพิวเตอร์เอาไว้ให้แล้ว หนูมาดูสิ”อีกทางด้านหนึ่งที่กำลังพยายามหมุนรถเข็นอยู่ องค์ชายก็ออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นผู้ชายที่สง่างาม สูงส่งและหล่อเหลานั่งอยู่บนโซฟา เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย

มือใหญ่ยกก้นซารางให้ร่างเล็กของเธอมานั่งลงบนตักของเขา แล้วโอบเข้ามาในอ้อมแขนอีกครั้ง จากนั้นออกัสถึงได้มองไปยังองค์ชาย กระตุกมุมปากขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำ และยังมีความยั่วยุและลำพองใจมากอีกด้วย : “ผมมาหาลูกสาวของผม……..”

มีเจตนา คำพูดของเขาเน้นน้ำเสียงตรงในตอนที่เขาพูดคำว่าลูกสาวของผม

เชอร์รีนยุ่งเสร็จแล้วเดินออกมาพอดี จึงเอ่ยพูดขึ้นกับซาราง : “ดูพยากรณ์อากาศเสร็จแล้ว หนูก็ควรไปอาบน้ำนอนได้แล้วนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน”

สองสามวันมานี้เล่นเสียจนบ้าเป็นหลัง พอพูดถึงไปเรียนนั้นก็ดูจะไม่มีความสุข อ่อนปวกเปียกดูไม่มีชีวิตชีวาเลยอย่างไรอย่างนั้น

“หนูไม่อยากจะให้คุณครูเอาดอกไม้แดงดอกเล็กๆให้แล้วใช่ไหม? หรือว่าอยากจะให้พวกเพื่อนพูดกันว่าหนูเป็นพวกชอบโดดเรียนกันคะ?”

ซารางทำปากมุ่ย ถึงแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยังพยักหน้าลงแรงๆ : “รู้แล้วค่ะ หม่ามี๊!”

จากนั้น เชอร์รีนก็มองไปยังออกัสอีกครั้ง : “ถ้าหากยังดูไม่พอพรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่ แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องพักผ่อนแล้ว คุณเองก็ควรกลับไปได้แล้ว”

หลังจากนั้นยังไม่รอให้ออกัสได้พูด ซารางก็ชิงเอ่ยพูดขึ้นก่อนแล้ว : “หม่ามี๊ ข้างนอกฝนตกหนาวมากเลยนะคะแล้วก็มืดมากด้วย วันนี้คุณอาพักอยู่ที่นี่ ดีไหมคะ?”

“ที่นี่ไม่มีที่พักของคุณอาค่ะ แล้วอีกอย่างคุณอาเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่กลัวความมืดแล้วก็ไม่กลัวหนาวด้วย คุณอาหาที่พักเองได้นะคะ”

เขามองแล้วคิ้วหน้าก็ขมวดขึ้นมา พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “ผู้ใหญ่ก็เป็นคนเหมือนกันนะคุณ กลัวความมืดกลัวหนาวเป็นเหมือนกัน”

ได้ยินแล้ว เชอร์รีนอดที่จะโมโหไม่ได้ จ้องมองเขา นี่เป็นคำพูดที่คนเป็นผู้ใหญ่ควรพูดใช่ไหม?

“ฟ้ามืดแล้วจริงๆ แล้วฝนก็ตกด้วย คุณออกัสก็ไม่คุ้นกับเมืองทะเลหทัยด้วย เชอร์รีน ให้พักที่นี่ซักคืนเถอะ”องค์ชายเอ่ยขึ้น

หึ ออกัสพ่นเสียงหัวเราะเยาะผสมกับความดูถูกออกมา ออกัสจะต้องให้เขามาพูดคำพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

มองเขาแล้ว เชอร์รีนจึงทิ้งคำพูดเอาไว้อย่างเย็นชา : “ตอนกลางคืนนอนโซฟาแล้วกัน”

จากนั้นเธอก็อุ้มซารางเดินไปห้องน้ำ ส่วนองค์ชายก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงแค่ออกัสคนเดียวเท่านั้น

ตอนกลางคืนยิ่งมืดลง ภายในห้องก็กลับสู่ความเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าฤดูร้อนของเมืองทะเลหทัยตอนกลางคืนจะหนาวขนาดนี้ ร่างสูงที่อยู่บนโซฟานั้นขยับไปมา ดวงตาเรียวหรี่ขึ้นอย่างนอนไม่หลับ

หลังจากนั้น เสียงเดินย่องก็ดังขึ้นมา ซารางเดินกอดผ้าห่มที่สูงกว่าตัวเองเข้ามา เซไปเซมา แล้ววางลงบนโซฟาอย่างยากลำบาก : “คุณอา ให้ค่ะ!”

ออกัสจูบลงบนหน้าผากของเด็กน้อยสองครั้งอย่างใจอ่อน น้ำเสียงทุ้มต่ำมีความอ่อนโยนเป็นอย่างมาก : “รีบไปนอนได้แล้วครับ”

จูบลงที่ใบหน้าของเขาหนึ่งที แล้วซารางก็ก้มตัวลงอีกครั้งแล้ววิ่งกลับห้องไป

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

ออกัสตื่นเช้ามาก หลังจากที่เดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำแล้ว สายตาก็จ้องมองไปยังอุปกรณ์ล้างหน้าแปรงสีฟันชุดใหม่นั่น แล้วหัวเราะเยาะออกมา จากนั้นก็ฉีกมาใช้ ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วก็ใช้มีดโกนของใช้ผู้ชายทั้งหมดที่เธอซื้อมา เขาก็เคยใช้มาแล้วทั้งหมด ผ้าเช็ดตัวก็ไม่ปล่อยไปเช่นเดียวกัน

เดินออกมาจากห้องน้ำ ตอนที่ยืนอยู่ในห้องรับแขกกลับได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากในห้อง

“จะใส่กางเกงสูทไหมคะ? ไม่ได้ออกไปข้างนอก ฉันรู้สึกว่าใส่กางเกงวอร์มจะสบายหน่อย….”

ดวงตาที่เงียบขรึมนั้นหรี่ขึ้นมาอย่างดูอันตราย ก้าวเข้าไปในห้องขององค์ชาย และเป็นอย่างที่คิดเอาไว้เห็นเธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า เอ่ยถามองค์ชายด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน เหมือนกับเป็นภรรยาที่ใจดีอย่างไรอย่างนั้น……

เขาอยากที่จะฆ่าองค์ชายก่อน แล้วค่อยฆ่าเธอ!

แววตาที่เยือกเย็นนั้นมองอยู่ที่ร่างของเชอร์รีน ออกัสก้าวเดินไปทางเธอ ดวงตาดำสนิทที่เย็นชาและโดดเดี่ยว แขนหนายกขึ้นแล้วรวบข้อมือเล็ก แล้วใช้แรงลากเธอออกมาจากห้องด้วยแรงที่มาก ข้อมือขาวๆนั้นแดงไปเป็นที่เรียบร้อย และเธอก็รู้สึกเจ็บมาก

“ปล่อยฉัน!” เชอร์รีนดิ้นแรงๆอยู่ทางด้านหลัง

แต่เขากลับไม่แม้แต่จะสนใจเลยเสียด้วยซ้ำ เขาลากเธอออกมาจากห้อง แล้วเดินลงมา แต่กลับยังเดินไปทางด้านหน้าอยู่

เชอร์รีนโมโหแล้ว ยื่นมือออกไปทุบตีเขาแรงๆ ทันใดนั้นฝนก็ทำให้ทั้งสองคนเปียกปอน ทั้งเส้นผม ใบหน้าและเสื้อผ้า

เขาก้าวเท้าค่อนข้างเร็ว และพื้นก็ลื่น เชอร์รีนจึงล้มลงที่พื้นอย่างไม่ทันระวัง ตรงหัวเข่ารู้สึกเจ็บและร้อนวูบขึ้นมา

หน้าอกของออกัสยังคงขึ้นลงอย่างแรง เปียกน้ำฝนที่เยือกเย็นนี้ก็ไม่ได้ทำให้ไฟความโมโหในร่างกายของเขาดับลงได้เลยแม้แต่นิดเดียว

รู้สึกได้ว่าเธอล้มลงไปแล้ว ในที่สุดเขาถึงได้ปล่อยเธอ ใบหน้าเย็นชาและจริงจัง หน้าผากตรงหว่างคิ้วคล้ำลง ร่างก้มลงเล็กน้อย คิดอยากจะพยุงเธอขึ้นมา

แต่เชอร์รีนกลับปัดมือเขาออก มือซ้ายเช็ดน้ำฝนบนใบหน้าออกไป ส่วนมือขวาฝ่ามือนั้นอยู่ที่พื้น เธอกัดฟันแล้วค่อยๆดันตัวเองขึ้นมา หน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

“ฉันคิดว่า บางเรื่อง เราจำเป็นต้องคุยกันหน่อย…..”สิ้นเสียงแล้ว เธอก็เดินกะเผลกไปทางด้านหน้า

เธอรู้สึกว่าจำเป็นอย่างมากที่จะต้องจัดการเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้ถึงที่สุด ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ก็จะมีแต่จะเหนื่อยทั้งกายและใจ

ฝนกำลังตกอยู่ เชอร์รีนยังสวมใส่กระโปรงยาวสีเขียวตัวนั้นอยู่ ลมพัดมา กระโปรงพลิ้วไหว และขาที่เป๋อยู่เล็กน้อย ราวกับบีบรัดหัวใจของชายหนุ่ม จากนั้นความรู้สึกผิดและความรู้สึกเจ็บปวดที่บรรยายออกมาไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นมา ความโมโหและความร้อนใจที่สะสมมาตลอดทั้งวันนั้นค่อยๆหายไปอย่างน่าประหลาด

เพียงแค่ช่วงเวลาไม่นาน ก็มาถึงร้านกาแฟแล้ว ที่ประตูแขวนโมบายเอาไว้ มือผลักประตูเข้าไป ทำให้เกิดเสียงกริ๊งดังขึ้น

เมืองทะเลหทัยเทียบไม่ได้กับเมืองs ไม่ได้คึกคักเหมือนกับเมืองs แต่กลับให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไป ถนนตรอกซอยเล็กๆ ให้อารมณ์ที่แปลกตางดงามเรียบง่าย

ช่วงเวลานี้ ในร้านกาแฟไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว แสงสีเหลืองสลัวๆส่องลงมา ให้ความสลัวๆและอบอุ่นงดงาม

นั่งตรงที่นั่งตรงข้างหน้าต่าง เชอร์รีนสั่งกาแฟนอ่อนๆ ร่างกายยังคงมีน้ำหยดลงมาอย่างตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

นั่งลงตรงข้ามกัน หลังจากนั้นพักหนึ่ง กาแฟถูกเสิร์ฟขึ้นมา สายตาของพนักงานมองดูท่าทางที่อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากนี้ของทั้งสองคนแปลกๆ

เชอร์รีนยกกาแฟขึ้นมาจิบ ขจัดความหนาวเย็นที่อยู่ในร่างกายนั้นออกไป แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ข่มความโมโหเอาไว้ พยายามทำให้ตัวเองรักษาความนิ่งครั้งสุดท้ายนี้เอาไว้