บทที่ 631 : หนึ่งหมื่นห้าพันล้าน!
เซียนหยกนั้นใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในหออวี้ติงเซวียน ห้องทำงานของเขาจึงกลายเป็นห้องรับแขกไปกลายๆ ห้องทำงานของเขานั้นตกแต่งให้ดูเป็นแบบโบราณ แต่กลับประดับประดาโคมไฟสว่างไสว ทำให้บรรยากาศสดใสสว่างตา
ตอนนี้ภายในห้องทำงานของเซียนหยกนั้น มีหลิงหยุน หลงหวู่ ซ่งเจิ้งหยาง มู่หลงเวิ่นฉี มู่หลงเฟยจื่อ เถ้าแก่ฮั่น และพ่อค้าจิวเวลรี่ที่มีชื่อเสียงอยู่อีกเกือบยี่สิบคน
เซียนหยกนั้นถึงกับชงชาชั้นยอดที่มีกลิ่นหอมหวน และจัดการรินชาให้กับหลิงหยุนด้วยตัวเอง
ที่ลานภายนอกนั้นยังคงจุดปะทะเปรี้ยงปร้างกันอย่างสั่นหวั่นไหว เพื่อเป็นการเฉิลมฉลองและแสดงความยินดีกับหลิงหยุน บรรยากาศจึงเปี่ยมไปด้วยความสุข
ถังเมิ่งเพิ่งมีโอกาสได้เข้าไปในห้องทำงานของเซียนหยกเป็นครั้งแรก แต่ความจริงแล้วหากไม่มีคนลากเขาเข้ามาที่นี่ เขาก็จะไม่ยอมเข้ามาเด็ดขาด เขาต้องการอยู่เฝ้าหยกจักรพรรดิที่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีคนนอกเหลืออยู่ที่ลานด้านหลังแล้ว และมีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลอยู่ก็ตาม
ตี้เสี่ยวอู๋และลูกน้องแก๊งมังกรเขียวเองก็เฝ้าดูรถเข็นที่บรรจุหินทั้งสามคันของหลิงหยุนอยู่ไม่ห่าง เพราะมูลค่าของหินภายในรถเข็นทั้งสามคันนั้นเหนือกว่าราชาหินก้อนโตนั่นเสียอีก
นั่นก็เพราะภายในรถเข็นทั้งสามคันนั้น มีหินพลังชีวิตอยู่หลายสิบก้อน และหลิงหยุนเองก็ยังไม่มีเวลาที่จะเรียกมันเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
“เศษหินเป็นพันเป็นหมื่นก้อน เมื่อได้มาอยู่ในมือของน้องหลิงหยุน ก็กลับกลายเป็นหินที่มีมูลค่าขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันเท่าทันที วันนี้พวกเรานับว่าพ่ายแพ้ให้กับเธออย่างราบคาบ”
เซียนหยกรินชาให้หลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะ.. แม้แต่เถ้าแก่ฮั่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในหออวี้ติงเซวียนราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าของร้านอยู่ครึ่งนั้น ก็เริ่มพูดจาหยอกล้อกับหลิงหยุนอย่างสนุกสนานเช่นกัน
หลิงหยุนถึงกับเก้อเขินเมื่อโดนเถ้าแก่ฮั่นหยอกเย้า จึงยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับพูดยิ้มๆ
“ถ้าท่านทั้งสองรู้สึกไม่สบายใจ.. ผมก็ยินดีคืนหินทั้งสามคันรถพร้อมกับราชาหินกลับคืนให้..”
และแน่นอนว่าหลิงหยุนเองก็เพียงแค่หยอกเย้าเล่นเช่นกัน.. เพราะหากเซียนหยกคิดจะขอกลับคืนจริงๆ เขาก็คงไม่มีหน้าเปิดการพนันหินได้อีกอย่างแน่นอน และหลิงหยุนเองก็คงไม่ปล่อยเขาไว้แน่
“นี่เธอพูดจริงรึ?!”
เซียนหยกถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น มือที่จับถ้วยชาอยู่เกร็งแน่นจนถ้วยชาแตกคามือ..
เถ้าแก่ฮั่นเองก็ถึงกับตกใจกับคำพูดของหลิงหยุนเช่นกัน แต่กลับหัวเราะและพูดขึ้นว่า “น้องชายนี่มีอารมณ์ขันมากจริงๆ! รู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะไม่เปลี่ยนใจก็ยังแกล้งหยอกเย้าไม่เลิก..”
“นั่นสิ..!”
เซียนหยกจัดแจงเก็บกวาดถ้วยชาที่แตกออก และเริ่มรินชาถ้วยใหม่ให้กับหลิงหยุนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง และแสดงความยินดีกับหลิงหยุน
“ขนาดสมบัติล้ำค่ามูลค่าสองร้อยล้านของฉัน ก็ยังต้องนำมาแลกเปลี่ยนกับโอกาสที่จะได้ตัดราชาหิน แต่เมื่อปรากฏออกมาแบบนี้ ก็นับว่าคุ้มค่าอย่างมาก ฉันไม่คิดว่ามันเป็นการขาดทุนเลยแม้แต่นิดเดียว..”
เซียนหยกรินชาเสร็จก็ยกแก้วชาให้กับหลิงหยุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในใจนั้นได้แต่แอบคิดว่า มิน่าหลิงหยุนถึงได้ย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าราชาหินนั้นคู่ควรเป็นสมบัติของเขา เพราะตัวเขาเองก็ไม่มีคุณสมบัติคู่ควรกับราชาหินล้ำค่าก้อนนี้..
แต่สำหรับหลิงหยุนนั้น.. หยกจักรพรรดิก้อนโตนี้เทียบไม่ได้กับสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงอย่างหินมังกรเขียวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่หลิงหยุนจิบและดื่มด่ำกับรสชาติ และกลิ่นหอมของชาชั้นยอดแล้ว เขาจึงวางถ้วยชาลง แล้วจัดการหยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หลิงหยุนเซ็นเช็คจำนวนห้าร้อยล้านและยื่นให้กับเซียนหยก
“ท่านเซียนหยก.. นี่เป็นเงินค่าสมบัติประจำหออวี้ติงเซวียนของคุณ ผมได้ยินมาว่าเมื่อปีที่แล้วมีคนเสนอซื้อเป็นเงินสี่ร้อยล้านหยวน ผมจะไม่ต่อรองราคามากมาย คุณคิดว่าห้าร้อยล้านที่ผมเสนอให้เป็นยังไงบ้าง?”
ถึงตอนนี้แล้ว.. เพียงแค่หยกจักรพรรดิหนึ่งก้อนกับหินทั้งห้าก้อนของหลิงหยุนนั้น ก็ทำให้หลิงหยุนสามารถจ่ายเงินห้าร้อยล้านได้โดยที่ขนหน้าแข้งแทบไม่ร่วงเลย
เซียนหยกถึงกับถอนหายใจ เขายื่นมือออกไปผลักเช็คในมือของหลิงหยุนกลับคืนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“น้องชาย.. ฉันอวี้เฉิงจินทำธุรกิจมาหลายปี และถือที่สุดก็คือเรื่องของคำพูด ฉันพูดคำใหนก็คำนั้น ไม่เคยผิดคำพูดแม้แต่ครั้งเดียว!”
“เมื่อครู่ที่ได้ยินว่าน้องชายจะคืนราชาหินให้กับฉันนั้น ฉันตกใจจนบีบถ้วยชาแตก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่มูลค่าของราชาหิน แต่ฉันตกใจในความใจกล้าและใจกว้างของน้องชายต่างหาก..”
ซ่งเจิ้งหยางที่รอจนกระทั่งเซียนหยกพูดจบ เขาจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ฉันกล้ายืนยันได้ว่าเซียนหยกคนนี้เป็นคนรักษาคำพูดมาแต่ใหนแต่ไร เช็คห้าร้อยล้านหยวนนี้เธอเก็บกลับคืนไปเถิด!”
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าทั้งสองคนต่างก็พูดเหมือนกัน เขาจึงไม่ต้องการบีบบังคับเซียนหยกอีก จึงจัดการเก็บเช็คคืนไปพร้อมกับถามยิ้มๆ
“ไม่ทราบว่าเซียนหยกเชิญผมมาคุยในห้องทำงานนี้ เป็นเพราะมีเรื่องจะแนะนำหรือเปล่าครับ?”
เซียนหยกนั่งตัวตรงพร้อมกับกวาดสายตาไปยังพ่อค้ายี่สิบกว่าคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ จากนั้นจึงหันไปพูดกับหลิงหยุนว่า
“น้องหลิงหยุน.. ฉันไม่อ้อมค้อมก็แล้วกันนะ ที่ฉันเชิญเธอเข้ามาก็เพื่อคุยเรื่องธุรกิจ!”
เมื่อได้ฟัง.. ซ่งเจิ้งหยางถึงกับใจเต้นรัว และได้แต่คิดว่าเรื่องแบบนี้ทำไมถึงได้ให้พ่อค้าจิวเวลรี่พวกนี้เข้ามาด้วย?
หลิงหยุนเข้าใจความต้องการของเซียนหยกได้ทันที จึงตอบกลับไปยิ้มๆ “คิดไม่ถึงว่าผมจะมีคุณสมบัติพอที่จะคุยธุรกิจกับเซียนหยก.. ช่างเป็นเกียรติกับผมจริงๆ! เชิญคุณพูดมาได้เลย..”
เซียนหยกสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อยแล้วเริ่มพูดต่อ “น้องชาย.. ฉันขอบอกตามตรง จากประสบการณ์.. ฉันมั่นใจว่าราชาหินก้อนนั้นทั้งก้อนจะต้องเป็นสีเขียวทั้งหมดอย่างแน่นอน..”
หลังจากที่เซียนหยกหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง บรรดาพ่อค้าจิวเวลรี่ที่อยู่รอบๆต่างก็พากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที!
ราชาหินก้อนใหญ่โตมหึมาก้อนนั้น หากว่าเป็นสีเขียวหมดทั้งก้อน นั่นไม่เท่ากับว่าจะมีมูลค่ามหาศาลเลยอย่างนั้นหรือ? อีกทั้งนั่นก็ไม่ใช่หยกธรรมดาๆ แต่เป็นถึงหยกจักรพรรดิ!
และหากเป็นเช่นนั้นจริง.. ไม่เท่ากับว่าจู่ๆหลิงหยุนก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยเทียบเท่าบิลเกตส์เลยงั้นหรือ?
และด้วยเหตุผลข้อนี้.. ถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะยินดีคืนราชาหินให้กับเซียนหยก เขาก็ไม่กล้ารับไว้อยู่ดี! เพราะตอนนี้มูลค่าของมันได้สูงขึ้นอย่างน่าตกใจจนเขาไม่สามารถรับไว้ได้..
จริงอยู่ที่การมีเงินเยอะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่การมีชีวิตอยู่อย่างไรนั้นกลับเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า!
แล้วเซียนหยกก็พูดต่อว่า “มีคำกล่าวว่า.. ของล้ำค่าหากตั้งทิ้งไว้เฉยๆ ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินทองได้เอง!”
“น้องชาย.. ขอบอกตามตรงว่าลำพังฉันคนเดียวก็ไม่มีกำลังที่จะซื้อหยกจักรพพรรดิก้อนโตที่มีมูลค่ามหาศาลนี้ได้คนเดียวทั้งก้อน แม้แต่คนอื่นๆก็เช่นกัน คงยากที่จะมีใครสามารถซื้อไปครอบครองไว้เพียงคนเดียวทั้งก้อนได้..”
“เอาแบบนี้ดีมั๊ย? เธอตัดแบ่งขายเป็นชิ้นเล็กๆให้กับพ่อค้าจิวเวลรี่นำไปแกะสลักเป็นเครื่องประดับต่างๆขายในร้าน ไม่ทราบว่าน้องชายคิดเห็นยังไง?”
“น้องชายมีหยกล้ำค่า ส่วนพวกเรามีช่องทางการค้าขาย ค่อยๆตัดขายไปทีละนิด ก็จะขายได้หมดเอง!”
เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ เซียนหยกก็หยุดพูดเพื่อให้หลิงหยุนได้ใช้ความคิด.. บรรดาพ่อค้าจิวเวลรี่ต่างก็หน้าดำคร่ำเครียดเพราะเกรงว่าหลิงหยุนจะไม่เห็นด้วย
หลิงหยุนเข้าใจดีว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำเงินจากหยกจักรพรรดิก้อนโต เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่ลังเลพร้อมกับตอบไปว่า
“เรื่องนี้ผมยินดีทำตามที่เซียนหยกแนะนำ จะวิธีใหนก็สามารถขายเป็นเงินได้เหมือนกัน..”
พ่อค้าหยกที่อยู่ในห้องต่างก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบของหลิงหยุน..
เซียนหยกรู้สึกชื่นชอบในทัศนคติของหลิงหยุน เขาหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “น้องชาย.. ส่วนเรื่องราคาของหยกจักรพรรดินั้น ก็ให้ยึดราคาในท้องตลาด ไม่ทราบเธอคิดเห็นยังไง?”
เมื่อพูดถึงเรื่องราคา.. หลิงหยุนเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากนัก จึงได้แต่นิ่งไปไป และหันไปมองซ่งเจิ้งหยางกับมู่หลงเฟยจื่อเป็นการขอความคิดเห็น
มู่หลงเฟยจื่อเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
ส่วนซ่งเจิ้งหยางนั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าพรัอมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ถ้าเธอไว้ใจฉัน ฉันจะเป็นตัวแทนคุยเรื่องธุรกิจครั้งนี้ให้กับเธอเอง?”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆเป็นการตกลง หลังจากนั้นเสียงของบรรดาพ่อค้าจิวเวลรี่ที่อยู่ในห้องก็ดังขึ้นมาทันที
“ฉันให้หนึ่งพันห้าร้อยล้าน..”
“หนึ่งพันแปดร้อยล้าน”
“สองพันล้าน..”
“สามพันล้าน..”
ซ่งเจิ้งหยางที่ยังคงอยู่ในทีท่าสงบนิ่งรีบยกมือขึ้นห้ามทันที พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทุกท่านกรุณาอยู่ในความสงบก่อน! หยกจักรพรรดิเป็นหยกเนื้อดีที่หาได้ยากมาก หากปล่อยออกไปในตลาดพร้อมๆกันในคราวเดียว ราคาก็จะตกทันที..”
ซ่งเจิ้งหยางนึกถึงความสำคัญในข้อนี้ จึงไม่รีบร้อนที่จะขายหยกจักรพรรดิออกไปเร็วนัก..
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของซ่งเจิ้งหยางก็ได้แต่พยักหน้าอย่างพอใจพร้อมกับรู้สึกโล่งอกที่เห็นซ่งเจิ้งหยางคิดถึงผลประโยชน์ของเขา..
“เอาเป็นว่า.. ราคาขายนั้นผมจะยึดตามราคาท้องตลาด แต่จะจำกัดให้แต่ละร้านซื้อได้ไม่เกินหนึ่งพันล้าน เพื่อไม่ให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด ใครขายหมดแล้วค่อยมาขอซื้อใหม่ได้!”
ซ่งเจิ้งหยางนั่งอยู่ในวงล้อมของพ่อค้าจิวเวลรี่รับรายการสั่งซื้อหยกจักรพรรดิจากร้านค้าต่างๆ และตอนนีมีเพียงเซียนหยกแห่งหออวี้ติงเซวียน มู่หลงเวิ่นฉีแห่งศาลาเทียนสี่ และหอไข่มุกและหยกของเขาที่ยังไม่ได้สั่งซื้อ..
พ่อค้าจิวเวลรี่ทั้งสิบห้าคนต่างก็สั่งซื้อหยกจักรพรรดิกันคนละหนึ่งพันล้านตามที่ซ่งเจิ้งหยางกำหนด และเพียงแค่พริบตาเดียวหลิงหยุนก็มีรายได้ถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวน!
“อาวุโสซ่ง.. เย็นนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารคุณที่โรงแรมแชงกรีล่า..”
“อาวุโสซ่ง.. ไปกับผมดีกว่าครับ..”
…….
ซ่งเจิ้งหยางนั่งฟังพ่อค้าที่ต่างก็พากันเชื้อเชิญเขาไปทานข้าวโดยไม่พูดอะไร และหันไปยิ้มให้กับหลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างๆ