ตอนที่ 130 แค่อยากเล่นกับแฟนผมเท่านั้น 

 

 

           “คือว่า พี่ใหญ่ พี่ชาย ฉันยังเป็นคนป่วยอยู่นะ อดรนทำกับนายไม่ได้หรอก” เมื่อเห็นว่าซือเหยี่ยนจะเล่นทีจริง เจียงมู่เฉินก็หวาดหวั่นขึ้นมาทันที เขาเพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล ถ้ามาโดนซือเหยี่ยนเล่นกันแบบนี้ ต้องเล่นจนเขาขาดใจตายแน่ 

 

 

           ซือเหยี่ยนแววตาดำทะมึน “ตอนนี้มารู้ตัวว่าเป็นคนป่วยเหรอ สายไปแล้ว” 

 

 

           มือข้างหนึ่งเจียงมู่เฉินบาดเจ็บขยับไม่ได้ มืออีกข้างหนึ่งโดนซือเหยี่ยนกดเอาไว้ ความสามารถในการต่อต้านขัดขืนเป็นศูนย์ 

 

 

           “อย่าเลยนะ พี่ชาย” เจียงมู่เฉินยังคงต่อสู้ดิ้นรนอยู่อย่างนั้น “แฟนสาวน้อยของนายยังอยู่ข้างนอก นายไปอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อนสิ ระวังเธอจะโกรธเอาได้แล้วจะไม่เล่นกับนายอีกนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มเยาะ “ตอนนี้ผมแค่อยากเล่นกับแฟนผมเท่านั้น” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถลึงตาโต (。ì _ í。)  เขาไม่อยากโดนเล่นจะได้ไหม… 

 

 

         ยังดีที่ซือเหยี่ยนไม่ได้โรคจิตขนาดนั้น ก็แค่จูบเขาจนขาเขาอ่อนปวกเปียก สภาพแขนขาไร้เรี่ยวแรง ไม่ถึงขึ้นเล่นเขาจนตาย 

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้ฝ่ามรสุมรอดมาได้ กำลังนอนเป็นอัมพาตหายใจหอบชุดใหญ่อยู่ 

 

 

           เขารู้สึกว่าตัวเองซวยสุดๆ แล้วจริงๆ จะขยับตัวหรืออยู่กับที่ก็มีแต่เรื่องให้เจ็บตัว เดิมทีหนทางการเปลี่ยนเป็นรุกก็ห่างไกลกันมากอยู่แล้ว ยังมาบาดเจ็บแบบนี้อีก ยิ่งทำให้ไม่รู้ปีลิงเดือนม้าไปเลย 

 

 

           ‘หรือว่าเขาต้องนอนแผ่ให้ซือเหยี่ยนเล่นจริงๆ?’ 

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินคิดถึงตรงนี้ ก็อดจะอยากร้องไห้ไม่ได้ 

 

 

           กว่าเจียงมู่เฉินจะยอมเข้าที่เข้าทางมาเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของซือเหยี่ยนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยนที่กำลังดูโน้ตบุ๊กอยู่ “นายว่าใครคิดอยากลักพาตัวฉันเหรอ คงจะไม่ใช่ว่าพ่อฉันไปทำผิดอะไรกับใครไว้ แล้วคนๆ นั้นเห็นว่าพ่อฉันขวางหูขวางตา เลยมาจับฉันเอาไว้หรอกใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดไปคิดมาก็รู้สึกถึงอะไรไม่ค่อยชอบมาพากลบางอย่าง “แต่ว่า ก็ไม่น่าจะใช่ทีเดียว ถ้าต้องการจับตัวฉันเพื่อข่มขู่พ่อฉัน ก็ควรจะบอกพ่อฉันไปแต่แรกแล้ว ไม่ต้องมารอจนถึงป่านนี้หรอก” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เรื่องนี้มีอะไรลับลมคมในจริงๆ เขาโดนลักพาตัวจากแถวหลินไห่ไป แล้วถูกจับตัวไปนานขนาดนั้นกลับไม่มีการโทรศัพท์แจ้งใคร ถ้าบอกว่าเพื่อทรัพย์สินก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิดถึงคำพูดของสองคนนั้นขึ้นมาได้กะทันหัน เขายื่นมือสะกิดซือเหยี่ยน “นายว่าตกลงแล้วใครต้องการจะจับฉันไว้ แล้วยังสั่งการมาว่าไม่ให้ลงไม้ลงมือกับฉันอีก งั้นที่เขาจับฉันไว้หมายความว่ายังไงกัน” 

 

 

           เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก รู้สึกว่าเรื่องนี้เกินกว่าที่สมองเขาจะประมาณการได้พอควรทีเดียว 

 

 

           ซือเหยี่ยนถอนหายใจ ยื่นมือไปปิดโน้ตบุ๊กลง แล้วอุ้มคนในอ้อมอกขึ้นมา “พอเถอะ อย่าคิดอีกเลย ไปนอนกับผมนะ” 

 

 

           “กลางวันแสกๆ ขนาดนี้ จะนอนอะไร” 

 

 

           “คุณไม่สบายอยู่ต้องพักผ่อนเยอะๆ” ซือเหยี่ยนไม่ยอมให้ขัดขืน เขาวางอีกฝ่ายลงบนเตียง 

 

 

           “ฉันยังไม่ง่วง” เจียงมู่เฉินระเบิดลง ไม่ง่วงแล้วจะนอนหลับยังไง   

 

 

           “ไม่ง่วง งั้นผมจะเสียสละออกกำลังกายเป็นเพื่อนคุณก็แล้วกัน” ซือเหยี่ยนเอ่ยขู่เสียงต่ำ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบนอนตัวตรง “อย่าเลย ดูเหมือนฉันจะง่วงขึ้นมากะทันหันแล้วจริงๆ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนนอนอยู่ข้างกายเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อง่วงแล้ว ก็นอนหลับดีๆ นะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหลับตาไปด้วย พลางด่าซือเหยี่ยนไปด้วย ถ้าไม่ติดว่าร่างกายฉันไม่พร้อม นายจะกินฉันจนขาดใจตายให้ได้เลยใช่ไหม 

 

 

         ‘รอร่างกายฉันหายดีก่อนเถอะ ฉันจะดูว่านายจะทำอะไรฉันได้’ 

 

 

           ไม่รู้ว่าการด่าซือเหยี่ยนเป็นการสะกดจิตให้นอนหลับได้ดีหรือเปล่า เพียงแป๊บเดียวเจียงมู่เฉินผู้ไม่ง่วงก็เข้าสู่นิทรา หลังจากได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างกาย ซือเหยี่ยนมองเขาแวบหนึ่ง ถึงได้เปิดผ้าห่มออก แล้วลงจากเตียงไป 

 

 

           หลังจากเดินเข้าห้องหนังสือไป ก็โทรศัพท์ทันที “ช่วยฉันสืบเรื่องที่เจียงมู่เฉินโดนลักพาตัวไปที” 

 

 

           “ต้องการเร็วที่สุด ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก” 

 

 

           ไม่รู้ว่าปลายสายทางนั้นพูดว่าอะไร เสียงทุ้มต่ำของซือเหยี่ยนตอบรับ “ได้ ฉันรู้แล้ว” 

 

 

           หลังจากวางสายไป ซือเหยี่ยนยืนอยู่ต่อหน้าหน้าต่าง มองออกข้างนอกไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใบไม้นอกหน้าต่างเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนแล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูใบไม้ที่ขึ้นสีเหลือง ความคิดถึงก็ปลิดปลิวออกไปไกล 

 

 

           นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เจอกับเจียงมู่เฉินที่อเมริกา ในวัยไม่เกินยี่สิบปี เป็นคนนิสัยตรงๆ มั่นใจตัวเอง แต่กลับดึงดูดสายตาคนเป็นพิเศษ   

 

 

   

 

 

ตอนที่ 131 คิดถึงเรื่องในอดีต 

 

 

           เขากับเจียงมู่เฉินรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะครอบครัวพวกเขารู้จักกันมาหลายชั่วอายุคน ต้องมีเจอหน้ากันบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันจนเป็นเรื่องปกติ 

 

 

           ต่างฝ่ายต่างหมายหัวกัน หลังจากเรียนมัธยมปลายแล้ว ก็ไม่เคยได้เจอกันอีก 

 

 

           ภายหลังเรียนจบมัธยมปลาย เขาได้ไปเรียนต่อที่อเมริกา จากนั้นก็ยิ่งไม่ได้มาข้องเกี่ยวกันอีก 

 

 

           จนกระทั่ง เขาเจอเจียงมู่เฉินที่โรงเรียนฝึกตำรวจ เจียงมู่เฉินในวัยยี่สิบปี คิ้วโก่งสวย ดวงตาสุกใสเป็นประกาย แวววับดั่งอัญมณีที่ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ 

 

 

           ครั้งแรกที่เจอกันที่โรงเรียนฝึกตำรวจ เจียงมู่เฉินยืนอยู่ต่อหน้าเขา ยักคิ้วมองเขาด้วยท่าทางองอาจและเป็นตัวของตัวเองสูง “คุณชายอย่างฉันจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เพียงเพราะเรารู้จักกันหรอกนะ” 

 

 

           พวกเขาในวัยยี่สิบต้นๆ คือวัยหนุ่มที่กำลังเลือดร้อน ซือเหยี่ยนเองก็ไม่มีทางจะยอมให้อยู่แล้ว 

 

 

           ในกลุ่มคนต่างชาติ เจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนถูกแบ่งไปอยู่กลุ่มฝึกอบรมกลุ่มหนึ่ง เขามักจะเชิดมุมปากขึ้น ทำท่าทางไม่สนใจเสมอ แต่เวลาฝึกซ้อมกลับเก่งกว่าใคร เพราะหน้าตาที่โดดเด่นและผลการฝึกที่ยอดเยี่ยม เพียงไม่นานจึงกลายเป็นคนดังของโรงเรียน 

 

 

           อีกอย่างซือเหยี่ยนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางจะยอมแพ้เจียงมู่เฉินเป็นธรรมดา 

 

 

           ในไม่ช้า ทั้งคู่มีชื่อเสียงในโรงเรียนนี้พอๆ กัน ไม่ว่าจะเอ่ยถึงใคร ก็จะเอ่ยถึงชื่ออีกคนพ่วงท้ายตามตลอด 

 

 

           เจียงมู่เฉินราวกับเจอมวยถูกคู่ไม่มีผิด มักจะนัดเขาออกไปด้วยกันเสมอ เจียงมู่เฉินชอบความตื่นเต้นเร้าใจ มีเพียงซือเหยี่ยนที่อดทนไม่มองว่าเป็นปัญหาและอยู่เคียงข้างเขาได้ 

 

 

           นานวันเข้า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับแน่นแฟ้นสนิทใจกันมากยิ่งขึ้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินชอบไปเล่นที่สนามฝึกซ้อมยิงปืน เวลาไม่เข้าฝึกอบรม ซือเหยี่ยนก็ไปด้วยกันกับเขา จนกระทั่งมีครั้งหนึ่ง เจียงมู่เฉินยักคิ้วเอ่ยท้าเขา “อยากแข่งกันไหม คนที่ชนะจะขออะไรก็ได้ข้อหนึ่งโดยที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้” 

 

 

           พูดถึงเรื่องแข่งขัน ซือเหยี่ยนไม่เคยกลัวเขาที่ไหนกัน ไม่ต้องเอ่ยคำที่สอง เขาก็รับปากไปโดยปริยาย 

 

 

           ทั้งสองคนแข่งกันแบบสามเกมชนะสองเกม ทั้งสองรอบแรกทั้งคู่ผลัดกันแพ้ชนะจนตีเสมอกันได้ จนถึงรอบที่สามเจียงมู่เฉินยักคิ้วแสดงคำมั่นอันหนักแน่น 

 

 

           รอบที่สาม เจียงมู่เฉินชนะ 

 

 

           เขายืนอย่างทะนงตัวถือปืนหันหน้ากลับมายิ้มเบาๆ สายลมพัดผ่านทรงผมสั้นหลังหูของเจียงมู่เฉินให้ไหวติง เขาเอ่ยใส่ซือเหยี่ยนด้วยมาดยิ้มย่องในชัยชนะ “บังเอิญจริงๆ ฉันชนะแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนอยู่ตรงนั้นมองเขา “อืม คุณอยากได้อะไร” 

 

 

           “มาเป็นแฟนคุณชาย!”  

 

 

           …… 

 

 

           ซือเหยี่ยนที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่างอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เจียงมู่เฉินคงจะไม่รู้เลย ว่านัดสุดท้ายเขาจงใจพลาด 

 

 

           เพราะว่าเขาอยากให้เจียงมู่เฉินชนะ 

 

 

           ถึงแม้ว่าคนที่สารภาพรักจะเป็นเจียงมู่เฉิน แต่ในความเป็นจริง คนที่หวั่นไหวในหัวใจก่อนกลับเป็นซือเหยี่ยน เป็นเขาที่ค่อยๆ ชักจูงเจียงมู่เฉินเข้ามาอยู่ในโลกของเขา 

 

 

           เริ่มทีละนิดทีละนิดจนทำให้เขาพูดประโยคนี้ออกมาได้ 

 

 

           วันแรกที่พวกเขาคบกัน อยู่ในสนามฝึกซ้อมยิงปืน แข่งกันจนไม่อาจจะพรากจากกันได้ 

 

 

           หลังจากนั้นหลายปีผ่านไป เจียงมู่เฉินผู้สูญเสียความทรงจำมายืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ทะนงตัวยักคิ้วให้ซือเหยี่ยน “เป็นไงบ้าง คุณชายอย่างฉันยิงปืนได้ไม่เลวอยู่ใช่ไหม ถือว่ามีพรสวรรค์หรือเปล่า”  

 

 

           เจียงมู่เฉินหลายปีหลังจากนั้น ยังมีท่าทางองอาจและเป็นตัวของตัวเองสูงเหมือนในตอนนั้นไม่มีผิด เย่อหยิ่งจนทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ 

 

 

           ซือเหยี่ยนหลับตาลงเบาๆ ใช้เวลาตั้งหลายปี ในที่สุดเจียงมู่เฉินของเขาก็ยังได้กลับมาอยู่เคียงกายเขา 

 

 

           เจียงมู่เฉินผู้หลับใหลในความฝันกำลังซุกหน้าคลอเคลียหมอนของซือเหยี่ยนอย่างสบายๆ เข้าสู่นิทราสนิทอีกครา 

 

 

           …… 

 

 

           ตื่นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เจียงมู่เฉินลืมตาสองข้างที่ยังคงง่วงนอนอยู่ ในห้องนอนมืดสนิท 

 

 

           เขานอนบนเตียงร้องเรียกซือเหยี่ยน ก็ไม่เห็นมีคนตอบกลับมา 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ พยายามดิ้นรนลุกขึ้นมานั่ง ยังเจ็บไปทั้งตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่พอจะทนได้ เขาค่อยเคลื่อนตัวลงจากเตียง แล้วเดินไปข้างนอก 

 

 

           ทั้งร่างกายส่วนที่เจ็บที่สุดคือบริเวณแขน ส่วนขาอ่อนแรงนิดหน่อย แต่ยังพอพยุงตัวเองเดินลงไปชั้นหนึ่งได้อยู่ 

 

 

           เฉื่อยชาราวกับคนแก่อายุแปดสิบปีอย่างไรอย่างนั้น เจียงมู่เฉินเดินลงบันไดด้วยความยากลำบาก เพิ่งจะเตรียมไปนั่งโซฟาสักหน่อย ก็เห็นมีของกองอยู่บนโซฟา เขาชะงักไป 

 

 

           เขาเดินเข้าไปยกเท้าถีบใส่ 

 

 

           ของก้อนนั้นบนโซฟาขยับเขยื้อน ยันกายขึ้นมานั่ง แล้วมองเขาด้วยความงุนงง “นายมาถีบฉันทำไม”