ตอนที่ 132 เหมือนเดนคนจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นไป๋จิ่งหัวยุ่งๆ แล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ซือเหยี่ยนล่ะ?” 

 

 

           “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เพิ่งจะลงจากเครื่องมาก็โดนซือเหยี่ยนจับตัวมาไว้ที่นี่แล้ว” ไป๋จิ่งอยากร้องไห้ เขาก็เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกันโอเคไหม 

 

 

         เจียงมู่เฉินมองไป๋จิ่งอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันหน้าเดินหนีไป 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเขาเดินกะโผลกกะเผลกก็รีบเอ่ยถาม “จะทำอะไร นี่นายจะไปไหน” 

 

 

           “กลับห้องไปนอน” มาตาใหญ่จ้องตาเล็ก[1]กับไป๋จิ่งอยู่ตรงนี้ สู้กลับห้องไปนอนยังจะดีกว่า 

 

 

           “อย่าเลย มาคุยเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” เขาไม่เห็นผู้ชายรูปงามมานานแล้ว ต้องการมองเจียงมู่เฉินชดเชยให้หัวใจที่บอบช้ำของเขาเป็นการด่วน 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองบันไดที่กว่าจะเดินลงมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ ช่างเถอะ มาตาใหญ่จ้องตาเล็กกับไป๋จิ่งก็ได้ 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเจียงมู่เฉินหันหลังกลับมา ก็รีบเขยิบตัวเหลือที่ว่างใหญ่ๆ ให้เจียงมู่เฉิน 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูเขา ก่อนรีบคว้าเอาหมอนมาปัดๆ แล้วถึงนั่งลงไป 

 

 

           ไป๋จิ่งทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ เขาทำให้เจียงมู่เฉินรังเกียจขนาดนี้เลยเหรอ เขาคิดว่าตัวเองก็หล่อมากอยู่นะ ไป๋จิ่งชักจะปวดใจหน่อยๆ แล้ว 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนพิงโซฟา เปิดทีวีขึ้นมาหาว่าจะดูหนังเรื่องอะไร 

 

 

           ไป๋จิ่งพินิจมองใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ก็อดจะถอนหายใจไม่ได้ ใบหน้าของคุณชายน้อยตระกูลเจียงช่างตรงใจตรงรสนิยมเขาเหลือเกิน ถึงจะหักคะแนนทรงผมไปนิดหน่อย แต่คะแนนความงดงามที่เหลือก็ยังสูง หักออกไปได้แค่นิดเดียวเอง 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงคอ กวาดสายตามองเขา “นายมองฉันจนน้ำลายจะไหลแล้ว มองแบบนี้ไปทำไม” 

 

 

           ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ “ชอบไง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยิ้มเยาะ “นายรอให้ซือเหยี่ยนกลับมา แล้วลองพูดอีกทีดูได้นะ” 

 

 

           ไป๋จิ่งหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด “อย่าเลย คำว่า ‘ชอบ’ คำนี้ของฉันก็แค่การชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ ‘ชอบ’ แบบที่ต้องรับผิดชอบ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจ “พูดแบบนี้เหมือนเดนคนจริงๆ” 

 

 

           ไป๋จิ่งผู้โดนด่าว่า ‘เดนคน’ ทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ คนเราก็ชอบของสวยๆ งามๆ กันทั้งนั้น เขาแค่ชื่นชมใบหน้าของเจียงมู่เฉินเองไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง 

 

 

           จู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่งที่เขาเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้ ใบหน้างามได้รูป หน้าตาดูจิ้มลิ้มกว่าเจียงมู่เฉินเสียอีก 

 

 

           ไป๋จิ่งคิดใคร่ครวญอยู่ในหัว ในที่สุดก็คิดถึงสองคำนี้ขึ้นมาได้ 

 

 

           คนๆ นั้นชื่อ ‘มั่วไป๋’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นสไตล์แบบที่เขาชอบมากทีเดียว เพียงแต่ว่าเจียงมู่เฉินมีเจ้าของหัวใจแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น เขาก็ยังพองัดข้อได้ แต่เจ้าของคนนี้เป็นซือเหยี่ยน เขาปล่อยผ่าน อยู่เฉยๆ ไม่ไปกระตุกหนวดเสือจะดีกว่า 

 

 

           อีกอย่างต่อให้ไม่มีซือเหยี่ยน แค่เจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งไม่ยอมเสียเปรียบแบบนี้ ต่อให้เขากินถึงปากก็กลืนได้ไม่ลงคออยู่ดี 

 

 

           คิดได้แบบนี้ เลือกกระต่ายขาวตัวน้อยผู้น่ารักคนนั้นดีกว่า 

 

 

           อย่างน้อยก็อร่อยแล้วยังย่อยง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะมาแว้งกัดเมื่อไหร่อีก  

 

 

           “นายนี่แม่งกำลังคิดเรื่องชั่วอะไรอยู่ ทำหน้ายิ้มลามกอยู่ได้” 

 

 

           ไป๋จิ่งเลิกคิ้ว “เมื่อกี้หน้าฉันดูลามกมากเลยเหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบน “โคตรๆ ไม่ใช่มาก” 

 

 

           ไป๋จิ่งยกมุมปากขึ้น ยิ้มเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

           “นายจะอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไหร่” เจียงมู่เฉินมองเขาอย่างขัดหูขัดตา 

 

 

           “เรื่องนี้ต้องดูซือเหยี่ยนของนายจะกลับมาเมื่อไหร่” 

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ 

 

 

           ไป๋จิ่งทำหน้าไม่เข้าใจ “ฉันว่าฉันไม่ดึงดูดให้นายชอบได้ขนาดนี้เลยเหรอ หน้าตาฉันออกจะหล่อเหลา ถึงแม้จะเทียบซือเหยี่ยนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่าซือเหยี่ยนสักหน่อย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “เขาไม่เหมือนนายหรอก บนใบหน้าขาดแค่เขียนคำว่า ‘เดนคน’ สองคำนี้เอง” 

 

 

           ไป๋จิ่งผู้โดนด่าว่า ‘เดนคน’ ทำไขสือลูบจมูกป้อยๆ ดูท่าว่าเจียงมู่เฉินจะไม่ค่อยชอบเขาจริงๆ 

 

 

           “ว่าแต่ นายชอบอะไรในตัวซือเหยี่ยนเหรอ” ไป๋จิ่งค่อนข้างอยากรู้ทีเดียว เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนถึงขั้นมาคบกันได้มันเป็นเพราะอะไร 

 

 

           “เรื่องนี้ฉันบอกนายได้เหรอ” 

 

 

           “เอาหน่า บอกฉันเถอะนะ พวกนายสองคนเป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ แค่หันหลังแป๊บเดียวเอง พวกนายก็เป็นคู่รักกันไปแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “นายนี่มันชอบเผือกจริงๆ” 

 

 

           “จะเผือกก็เป็นเรื่องปกตินี่หน่า สมัยนี้แล้วใครจะไม่ชอบเผือกบ้าง” ไป๋จิ่งกะพริบตาปริบๆ “พวกนายสองคนใครจับกดใครเหรอ” 

 

 

           เห็นซือเหยี่ยนแค่แวบแรกก็ไม่รู้สึกว่าจะเหมือนคนโดนจับกดแบบนั้นเลย 

 

 

           ส่วนเจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่งและทะนงตัว ถ้าโดนจับกด…ร่างเสือร้ายของไป๋จิ่งสั่นสะท้าน ไม่กล้าคิดต่อไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้วมองไป๋จิ่ง “อยากรู้จริงๆ เหรอ” 

 

 

           ไป๋จิ่งรีบพยักหน้า “อยากรู้โคตรๆ เลย” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินเสียงดังมาจากประตูทางเข้า แล้วจึงยกนิ้วชี้ไปที่เขา “มา นายเข้ามาใกล้หน่อย ฉันจะบอกนาย” 

 

 

           ไป๋จิ่งไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าอันตรายจะมาใกล้ตัวแล้ว การสอดรู้สอดเห็นเป็นอันตรายแค่ไหน ในใจไป๋จิ่งก็เอาแต่คิดอยากจะสืบเรื่องการแบ่งบนล่างของพวกเขา 

 

 

           เสียงประตูถูกเปิดออก เจียงมู่เฉินเชิดมุมปากขึ้น ก่อนเอ่ยเน้นคำต่อคำ “นายอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ อยากไปถามซือเหยี่ยนตรงๆ ไหม” 

 

 

    

 

 

[1] ตาใหญ่จ้องตาเล็ก คือสำนวนที่หมายถึง ต่างฝ่ายต่างมองตากัน เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 133 แย่งเมียเขา 

 

 

           ไป๋จิ่งรู้สึกเพียงว่าเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เขาหันหน้าไปมองเงียบๆ ก็เห็นแค่ซือเหยี่ยนยืนอยู่หน้าทางเข้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสีหน้าแบบนั้นของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ตัวเองก็แค่พูดคุยกับเจียงมู่เฉินไม่กี่ประโยคเอง ทำยังกับว่าไปแย่งเมียเขามาไม่มีผิด 

 

 

           เสียงหัวเราะเบาๆ ของเจียงมู่เฉินดังอยู่ข้างหู ไป๋จิ่งหันหน้ากลับมาอีกทีก็เห็นใบหน้างามละออของเจียงมู่เฉินพอดี 

 

 

           ไป๋จิ่งถลึงตาโต (。ì _ í。) อิริยาบถนี้ของตัวเองค่อนข้างจะให้ความรู้สึกเหมือนไปแย่งเมียเขามาจริงๆ  

 

 

           “นายยังอยากไปแอฟริกาอีกใช่ไหม” เสียงซือเหยี่ยนเจือความเลือดเย็น ทำเอาไป๋จิ่งตกใจจนรีบลุกขึ้นยืน 

 

 

           “อย่าๆๆ เมื่อกี้ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขา พลางยิ้มเยาะ “ยังไงกัน นายยังอยากทำอะไรอีก” 

 

 

           ไป๋จิ่งชะงักงัน เขากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด[1]แล้วจริงๆ ก็แค่อยากรู้เรื่องใครจับกดใครเท่านั้นเอง ทำไมถึงกลายเป็นโดนจับชู้ไปได้ 

 

 

           การสอดรู้สอดเห็นเป็นอันตรายจริงๆ เขาไม่มีอะไรทำแล้วอยากรู้อยากเห็นไปเพื่ออะไร 

 

 

           เรื่องบนเตียงของคนอื่นจะเข้ากันหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับเขา 

 

 

           “ที่ไหนกันล่ะ ไม่ได้อยากทำอะไรเลยสักนิด ตีท้ายครัวเมียเพื่อนไม่ได้ ฉันยังเข้าใจกฎข้อนี้ดี” ไป๋จิ่งเหงื่อแตกพลั่กท่วมหัว แทบอยากจะเอาแขนเสื้อขึ้นมาเช็ด 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘เมียเพื่อน’ ก็อดจะทำเสียงเย็นแสดงความไม่พอใจไม่ได้ “นายนั่นแหละเป็นเมีย” 

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นสองคนกำลังปิดล้อมโจมตีเขา จึงวิ่งไปยังประตูทางออก “คือว่า จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องรีบไปทำ ไม่ต้องให้ฉันอยู่ต่อกินข้าวเย็นแล้วนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าคนคนนี้ช่างหน้าหนาจริงๆ ไม่มีใครอยากให้เขาอยู่ต่อกินข้าวเย็นด้วยกันเลยด้วยซ้ำ 

 

 

           ไป๋จิ่งปิดประตูลงก็เผ่นแน่บทันที กลัวจะมีใครจับเขากลับมา 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูประตูที่ถูกปิดลง ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน “เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม” 

 

 

           ตอนเจียงมู่เฉินแก้เผ็ดไป๋จิ่ง เขามีกำลังล้นเหลือ พอตอนนี้แก้เผ็ดเสร็จแล้ว กลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโคลนตม อ่อนปวกเปียกเป็นก้อนจับกัน กำลังสักนิดก็ไม่มี 

 

 

           เขาส่ายหัวอย่างน่าเวทนา “ฉันเกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงเขาเข้ามาใกล้ให้พิงตัวเองไว้ นวดให้เขาโดยระวังไม่ให้โดนแผล 

 

 

           เจียงมู่เฉินสบายตัวจนหลับตาทำเสียงฮัมในลำคอไปด้วย ซือเหยี่ยนเองก็ไม่หยุดมือ นวดให้เขาเรื่อยๆ 

 

 

           ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นท่ามกลางห้องรับแขกอันเงียบสงบ 

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบเอามือกุมท้อง มองซือเหยี่ยน “นายไม่ได้กินข้าวเย็นมาเหรอ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนเกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว ตัวเองท้องร้องหิวเอง ยังจะโยนมาให้เขาอีก เฉินเฉินของเขาน่ารักจริงๆ 

 

 

           เพียงแต่ซือเหยี่ยนผู้กำลังตกอยู่ในห้วงความรักนั้น ต่อให้เจียงมู่เฉินมาแคะเท้าต่อหน้าเขา เขาก็ยังมองว่าน่ารักอยู่ดี 

 

 

           ซือเหยี่ยนลูบจมูกป้อยๆ เล่นตามน้ำคำพูดเขาไป “ผมก็ชักจะหิวขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว” เขาก้มลงมองเจียงมู่เฉิน “คุณอยากถือโอกาสนี้กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนตีมึนทำท่าทางเหมือนคิดหนัก สุดท้ายก็พยักหน้า “ได้สิ กลัวว่านายคนเดียวจะร้อนใจ ฉันก็อยู่เป็นเพื่อนนายกินอะไรสักหน่อยแล้วกัน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขำจนกัดมุมปากเขาเข้าให้ จากนั้นถึงได้ปล่อยเขาแล้วเตรียมไปทำอาหารอยู่ในครัว 

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นเขาจะไป ก็รีบร้องเรียกเขาไว้ก่อน “เดี๋ยว นายก็อุ้มฉันไปด้วยเลยสิ” ไม่งั้นเหลือเขาคนเดียวนั่งอยู่ห้องรับแขกน่าเบื่อจะตาย  

 

 

            ซือเหยี่ยนหวนกลับมาอีกครั้ง ช้อนอุ้มร่างเขาขึ้นจากโซฟาไปวางบนเคาน์เตอร์ในห้องครัวไม่พอ ยังกลัวว่าเขาจะหนาวจึงไปหยิบเบาะรองนั่งมาวางให้อีก 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูซือเหยี่ยนคนอ่อนโยนแสนใส่ใจ แล้วหรี่ตาลง เขาถือโอกาสตอนซือเหยี่ยนทำอาหารเอ่ยถามขึ้น “นายนี่ดีกับทุกคนขนาดนี้เลยไหม” 

 

 

           เขารู้สึกมาตลอดว่าการกระทำของซือเหยี่ยนดูคล่องมือไปหมด ราวกับว่าเคยฝึกเคยทำหลายๆ ครั้งมาก่อนเมื่อนานมากๆ มาแล้ว เมื่อคิดว่าซือเหยี่ยนเคยทำอะไรทำนองนี้กับคนอื่น ในใจเจียงมู่เฉินก็อดจะรู้สึกหึงไม่ได้ 

 

 

           เขาเจียงมู่เฉินผู้เย่อหยิ่ง ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบมากเป็นพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่จะมาทำแบบนี้ต่อหน้าเขา 

 

 

           ‘เขาชอบซือเหยี่ยนมากๆ แล้วซือเหยี่ยนล่ะ?’ 

 

 

           ‘ซือเหยี่ยนชอบเขามากแค่ไหน?’ 

 

 

 

 

 

[1] เขากระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระได้ไม่สะอาด เปรียบเปรย มลทินที่ไม่อาจลบล้างให้หายไปได้