ตอนที่ 134 คิดเล็กคิดน้อย

 

 

           ถึงแม้ว่าการที่ผู้ชายสองคนจะมาอลวนเรื่องว่าชอบหรือไม่ชอบจะดูน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่ว่าซือเหยี่ยนไม่เคยพูดว่าชอบเขาเลย

 

 

           เหมือนว่าตั้งแต่เริ่มเป็นเขาคนเดียวที่ร้อนใจ คอยเซ้าซี้มายุ่งพัวพันกับซือเหยี่ยน ต่อมาก็ชอบเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายยังขอให้คบกันอีก

 

 

           ทุกย่างก้าวทั้งหมดนี้มีเขาเดินไปอยู่คนเดียว

 

 

           ตอนนี้เขาตกลงไปในห้วงความรักแล้ว แต่เขากลับไม่รู้ว่าซือเหยี่ยนจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าซือเหยี่ยนแค่รู้สึกสนุก หรือว่าเพราะคนรักคนนั้นที่ซือเหยี่ยนเอ่ยถึงไม่ได้อยู่ข้างกาย เลยมาหาเขาคั่นเวลา

 

 

           เป็นแบบนี้ใช่ไหม คนรักคนนั้นของซือเหยี่ยนกลับมาแล้ว เขาก็จะยืดอกเดินจากไปได้ทุกเมื่อ

 

 

           เจียงมู่เฉินเงยหน้ามองซือเหยี่ยนผู้อยู่ใต้แสงไฟ หน้าตาหล่อเหลา มีความสามารถ ยังมีเงินอีก คนแบบนี้ชอบอะไรในตัวเขาเจียงมู่เฉินเหรอ

 

 

           เรื่องในอดีตเขาลืมไปแล้ว หลังจากตื่นมาหลายปีมานี้ เขาไม่เคยได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาทั้งวันทั้งคืน

 

 

           เอาคำพูดของพ่อเขามาใช้ เขาก็แค่ลูกผู้ดีมีเงินแค่นั้น

 

 

           แค่ลูกผู้ดีที่มีแต่เงินคนหนึ่งกับอัจฉริยะแห่งโลกธุรกิจคนหนึ่ง ซือเหยี่ยนทำไมถึงมาคบกับเขาได้

 

 

           “ซือเหยี่ยน” เจียงมู่เฉินเอ่ยปากด้วยอารมณ์อันซับซ้อนอยู่ในใจ

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนที่กำลังหั่นผักอยู่ขานรับคำหนึ่ง

 

 

           “นายชอบอะไรในตัวฉันเหรอ” เป็นครั้งแรกที่เขาถามอะไรแบบนี้

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่หั่นผักอยู่ชะงักไป ไม่ได้ตอบกลับในทันที ดวงตาเจียงมู่เฉินทอประกาย เขารู้สึกว่าตัวเองโคตรเหลวแหลก หาข้อดีของการถูกชอบไม่เจอหรือไง

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ซือเหยี่ยนถึงเอ่ยปาก “เพราะว่าคุณคือเจียงมู่เฉิน”

 

 

           “แล้วแฟนหนุ่มคนก่อนของนายล่ะ? ทำไมพวกนายถึงเลิกกัน” แฟนเก่าคือคันดินในใจที่เขายังข้ามไม่ไป เขาอยากรู้เหลือเกิน ว่าคนคนนั้นเลิศเลอขนาดไหนกันถึงทำให้ซือเหยี่ยนยังคิดถึงยังโหยหามาจนถึงทุกวันนี้ได้

 

 

           ซือเหยี่ยนรู้สึกว่าวันนี้เจียงมู่เฉินดูแปลกๆ ไปไม่เบา เขาเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ แววตาแฝงความอยากรู้ความจริง

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มดูเลือนรางล่องลอย

 

 

           ซือเหยี่ยนเบนสายตากลับมาที่เดิม เสียงต่ำเอ่ยต่อ “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้”

 

 

           เจียงมู่เฉินแสร้งทำท่างสบายๆ พูดแบบไม่เครียดอะไร “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สงสัยอยากรู้ขึ้นมา เลยถามไปงั้น ทำไม พูดไม่ได้เหรอ”

 

 

           “อุบัติเหตุ เขาเกิดเรื่อง”

 

 

           แววตาเจียงมู่เฉินประกายวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง สีหน้าอารมณ์เปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกขุ่นมัว

 

 

           ‘ถ้าอย่างนั้น เพราะว่าแฟนเก่าประสบอุบัติเหตุ ซือเหยี่ยนเลยหาเขาเป็นตัวแทนใช่ไหม’ สำหรับคำตอบนี้ ในใจเจียงมู่เฉินไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่

 

 

           เจียงมู่เฉินเงียบไม่พูดจา ไม่พูดต่อเลยสักคำ เขาไม่ถามซือเหยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไร ห้องครัวที่อบอุ่นแต่เดิมได้ตกเข้าสู่ความเงียบสงัดที่ทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนต่างมีเรื่องติดค้างในใจ แต่กลับไม่มีใครสักคนเปิดปากพูด

 

 

           หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เจียงมู่เฉินให้ซือเหยี่ยนอุ้มเขากลับห้องไป แผลบนตัวเขาลงชั้นล่างไปก็เหลือจะทนแล้ว ส่วนขึ้นชั้นบนมา เขารู้แก่ใจดีว่ามีแผลตรงไหน

 

 

           หลังจากซือเหยี่ยนอุ้มเขาถึงห้องนอนแล้ว ก็เข้าห้องหนังสือไป บอกว่ามีประชุมกันผ่านทางวิดีโอ

 

 

           เจียงมู่เฉินมีเรื่องติดค้างในใจ ก็ไม่ได้ยั้งเอาไว้ เขาดมกลิ่นยาทั้งตัวไม่ค่อยจะไหวเท่าไหร่ เจียงมู่เฉินพยายามดิ้นรนยันกายลุกขึ้นมา หยิบเสื้อผ้าที่เปลี่ยนซักใหม่ออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วค่อยๆ เดินเข้าห้องน้ำไป

 

 

           การอาบน้ำครั้งนี้เป็นครั้งที่เสียแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเจียงมู่เฉินที่โตมาจนป่านนี้แล้ว กว่าจะอาบน้ำเสร็จไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหงื่อเขาออกทั้งตัว

 

 

           เขายืนต่อหน้ากระจกที่ปกคลุมไปด้วยไอน้ำ เจียงมู่เฉินมองใบหน้านั้นที่อยู่ในกระจก บนใบหน้ามีบาดแผลอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร

 

 

           เขายังดูดีไม่ต่างจากเมื่อก่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของตัวเอง ถ้าบอกว่าซือเหยี่ยนยอมคบกับเขาก็เป็นเพราะใบหน้านี้ของเขางั้นเหรอ

 

 

           เพราะคิดว่าเขาเจียงมู่เฉินไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่ยังหน้าตาดีใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดแค่เห็นหน้าก็กินลงไปได้ ไม่รู้สึกแย่เกินไปด้วย

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นฝืนยิ้มอย่างจนใจ เขากลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

           ไม่เหมือนเจียงมู่เฉินคนเดิมที่ใจกว้างไม่หวาดกลัวสิ่งใดคนนั้นเลยสักนิด

 

 

            

 

 

ตอนที่ 135 คุณแม่เจียงรู้ว่าบาดเจ็บ

 

 

           กว่าซือเหยี่ยนจะกลับมาจากห้องหนังสือ เจียงมู่เฉินก็หลับไปเรียบร้อย เขานอนหลับแบบหัวไปทางหางไปทางอยู่บนเตียง ลักษณะการนอนคงเส้นคงวา ชนิดที่ว่าจะมีกี่เตียงก็ดูเหมือนจะไม่เหลือที่ว่างตรงไหนให้เขาเลย

 

 

           ราวกับซือเหยี่ยนจะคุ้นชินแล้วอย่างไรอย่างนั้น นั่งลงข้างๆ แล้วค่อยๆ จับมือเขาที่พาดขวางอยู่ดึงออกอย่างระมัดระวัง เอนกายนอนลงข้างกายเขาอย่างรู้ตำแหน่ง

 

 

           เหมือนกับรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่คุ้นเคย เจียงมู่เฉินจะบดเบียดร่างกายเข้าหาร่างกายของซือเหยี่ยนด้วยความเคยชิน

 

 

           ซือเหยี่ยนมือไวตาไวพอที่จะจับเขาทัน ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่นี้จะพลิกตัวมาแบบนั้นก็จะกดทับแผลที่แขนพอดี

 

 

           มือๆ เดียวของเขาคว้ามือเจียงมู่เฉินเอาไว้ แล้ววางไว้บนตัวเขา ระมัดระวังกลัวเขาจะสัมผัสโดนแผล

 

 

           ท่ามกลางความมืดมิด ซือเหยี่ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขามีลางสังหรณ์มาตลอด ว่าชีวิตสงบสุขของตัวเองกับเจียงมู่เฉินจะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว

 

 

           เขาถอนหายใจเบาๆ จับกระชับมือเจียงมู่เฉินเข้ามา สอดมือประสานกันอย่างแนบสนิทจนไม่เหลือแม้ช่องว่างเพียงน้อยนิด

 

 

           ……

 

 

           เช้าวันต่อมา เขารู้สึกตัวตื่นโดยไม่มีซือเหยี่ยนอยู่ข้างกาย เจียงมู่เฉินเคลื่อนไหวร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ รู้สึกได้ว่าอาการดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก ขาทั้งสองข้างฟื้นคืนพละกำลังมาบ้างแล้ว ไม่ได้อ่อนแรงเหมือนเมื่อวาน

 

 

           เขาเดินอืดอาดออกจากห้องนอนไป เจียงมู่เฉินได้ยินการเคลื่อนไหวจากชั้นล่าง

 

 

           เขาชะงักไป รู้สึกแปลกไม่เบา ซือเหยี่ยนออกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังมีเสียงดังขึ้นมา คงจะไม่ใช่โจรขึ้นบ้านซือเหยี่ยนหรอกใช่ไหม

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ เคลื่อนย้ายตัวเองลงมา จนมาถึงชั้นหนึ่ง ถึงได้เข้าห้องครัวไป

 

 

           ซือเหยี่ยนยืนทำอาหารเช้าอยู่ในครัว เจียงมู่เฉินตะลึงงัน เขาคิดว่าซือเหยี่ยนออกไปแล้ว

 

 

           “ตื่นแล้วเหรอ” ในขณะเดียวกันซือเหยี่ยนก็เห็นเจียงมู่เฉินพอดี

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า เดินเข้าไปเทน้ำรินใส่แก้ว ถือไว้ในมือ

 

 

           ซือเหยี่ยนหันมามองเขา “วันนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

 

 

           “ดีกว่าเมื่อวานมากอยู่”

 

 

           “กินข้าวเช้าเสร็จ ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”

 

 

           ทันทีที่เจียงมู่เฉินได้ยินคำว่า ‘โรงพยาบาล’ ก็รีบเอ่ยถามเดี๋ยวนั้น “จะให้ฉันไปทำอะไรที่โรงพยาบาล” ไม่ใช่ว่าแอบหนีออกมากันเหรอ ยังจะกลับไปอีกทำไม

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาขำๆ “เฉินเฉิน พวกเราก็แค่แอบหนีจากโรงพยาบาลมา ไม่ได้แปลว่าจะไม่ต้องตรวจดูอาการนะ”

 

 

           เจียงมู่เฉินห่อเ**่ยวแล้ว ต้องกลับไปโรงพยาบาลอีก หลังจากกลับไปยังจะออกมาอีกได้หรือเปล่า ถ้าไม่ให้ออกมา เขาต้องอยู่โรงพยาบาลอย่างเป็นทุกข์แค่ไหน

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาทำหน้าย่น ก็ขำจนไม่ไหว “วางใจได้ ถ้ายังให้คุณอยู่โรงพยาบาล ผมพาคุณแอบหนีออกมาได้”

 

 

           ‘แอบหนี’……พูดถึงคำนี้ เหมือนเจียงมู่เฉินจะถากถางเขาก็ไม่ปาน แบบนั้นเขาเรียกแอบหนีเหรอ ต้องเรียกว่าเดินเล่นกันโอเคไหม

 

 

           หลังจากกินอาหารเช้ากันเสร็จ ซือเหยี่ยนก็พาตัวเขาไปโรงพยาบาล ตรวจดูอาการซ้ำอีกครั้ง

 

 

           “ร่างกายของคุณชายเจียงฟื้นตัวได้เร็วมาก ไม่ถึงสองวันก็กลับมาแข็งแรงเป็นปกติได้แล้วครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินแบบนั้นก็รีบถามทันที “งั้นฉันก็ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลแล้วใช่ไหม”

 

 

           หมอมองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วมองมาทางเจียงมู่เฉินอีก “ถ้าคุณอยากอยู่ก็อยู่ได้ครับ”

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินได้ยินว่าไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล รีบดึงซือเหยี่ยนไว้ “อย่าๆๆ อย่าเด็ดขาด”

 

 

           เขาไม่อยากอยู่โรงพยาบาลเลยสักนิด

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะมองดูท่าทางของเขา เชิดริมฝีปากขึ้นเอ่ยกับหมอไม่กี่ประโยค ก็เตรียมจะออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

 

 

           ทั้งสองคนเตรียมจะออกไป ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก

 

 

           จู่ๆ คุณแม่เจียงก็พุ่งตัวเข้ามา

 

 

           เจียงมู่เฉินตกตะลึง เงยหน้ามองซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยนเองก็มีท่าทีตกใจนิดหน่อย

 

 

           “เฉินเฉิน ทำไมถึงบาดเจ็บแบบนี้ล่ะลูก” คุณแม่เจียงรีบโผเข้าหาเจียงมู่เฉิน “ทำไมบาดเจ็บแบบนี้ ก็ไม่บอกแม่”

 

 

           เจียงมู่เฉินปวดหัวมองแม่ตัวเอง “แม่รู้ได้ไงว่าผมอยู่โรงพยาบาล”

 

 

           คุณแม่เจียงทั้งรักทั้งสงสารลูกจับใจ “ถ้าไม่ใช่ว่าแม่เห็นลูกเมื่อกี้พอดี ลูกคิดจะปิดบังแม่ไปอีกนานแค่ไหน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่รู้จักบอกแม่”

 

 

           เธอเห็นเจียงมู่เฉินซูบผอมลง ก็สงสารแทบไม่ไหว ลูกชายที่เธอฟูมฟักประคองไว้ในอุ้งมืออย่างดีหลายปีมานี้ จู่ๆ ก็ผอมโซแบบนี้ได้ ยังมีแผลไปทั้งตัวอีก

 

 

           ‘เธอจะไม่ทั้งรักทั้งสงสารลูกได้ยังไงกัน’