ตอนที่ 547 ไปจากจวนอ๋อง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 547 ไปจากจวนอ๋อง

อันหลิงเกอรักษาตัวอยู่ในหอพิษกู่กระทั่งฤทธิ์ยามลายหายไปหมดสิ้นจากร่างกายจริง ๆ นางจึงออกมาเดินเล่น

เวลานี้ทัวป๋าหลิวลี่กำลังถือปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเทียบบนเกล้ามวยของทัวป๋าถิงฟาง พวกนางหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน “ปิ่นหยกชิ้นนี้เหมาะกับเจ้ามาก”

ทัวป๋าหลิวลี่ยังเลือกปิ่นที่ดีกว่ามาเทียบบนผมของอีกฝ่าย จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ผีเสื้อตัวน้อยที่ประดับอยู่บนปิ่นได้เคลื่อนไหว ส่วนพู่เส้นเล็กก็พากันโบกพลิ้วอย่างน่าดึงดูดใจ

ทั้งสองมองหน้ากันและคลี่ยิ้ม ก่อนพูดกับเถ้าแก่ว่า “เถ้าแก่ ห่อปิ่นชิ้นนี้ให้ข้าด้วย”

เมื่อรู้สึกว่าสายมากแล้วทัวป๋าหลิวลี่จึงเอ่ย “เราไปหาของอร่อยทานในโรงเตี๊ยมกันเถิด”

ท้องของทัวป๋าถิงฟางร้องเตือนอย่างตรงเวลา นางแสดงสีหน้าลำบากใจและยิ้มอย่างเขินอาย ทัวป๋าหลิวลี่จึงได้แต่ส่ายหน้าและยกยิ้มตาม ทั้งสองจึงพากันไปยังโรงเตี๊ยม

“เราใช้ทางลัดดีกว่า” ทัวป๋าหลิวลี่แสดงความสามารถของการเคยแฝงตัวอยู่ในเมืองจิงมาอย่างยาวนานแล้วคลี่ยิ้มอย่างสดใส

ทัวป๋าถิงฟางเกิดความลังเลเล็กน้อย ทว่าก็เดินตามไปติด ๆ

ทั้งสองคนเดินลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็กอันเงียบสงบซึ่งทำให้ทัวป๋าถิงฟางเริ่มรู้สึกมิวางใจขึ้นมาเล็กน้อยจึงอดขยับเข้าใกล้ตัวของทัวป๋าหลิวลี่มิได้

“มิเป็นไร” ทัวป๋าหลิวลี่ปลอบใจเบา ๆ นางคิดว่าทัวป๋าถิงฟางคงอยู่แต่ในจวนนานเกินไป มิได้ออกไปเจอโลกภายนอกจึงไม่ค่อยได้มาเดินบนถนนเล็กเยี่ยงนี้ คิ้วเรียวงามเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วยกยิ้มพลางกล่าว “มิเป็นไรหรอก ทางเล็ก ๆ ล้วนเงียบสงัดเยี่ยงนี้เสมอ”

ยังมิทันสิ้นเสียง ส่วนที่มืดมิดตรงหน้าก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏกายมาขวางทางของพวกนางเอาไว้

คนผู้นั้นปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีดำแล้วแสยะยิ้มยามส่งเสียงที่แปลกประหลาดออกมา

ทัวป๋าหลิวลี่รู้สึกมิดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน เวลานี้นางมิได้สนใจของมีค่าในมืออีก นางจับมือของทัวป๋าถิงฟางไว้และดึงไปอยู่ด้านหลัง ก่อนถอยไปอย่างระมัดระวัง

ในตอนที่หมุนตัวอย่างรวดเร็วนั้นก็มีอีกคนเดินออกมาขวางด้านหลังของพวกนางไว้ หากเปรียบเทียบรูปร่างคนก่อนหน้าแล้วคนผู้นี้มีร่างกายที่กำยำและโหดเหี้ยมกว่า เขากวัดแกว่งดาบที่เปล่งประกายวูบวาบในมือไปมา ก่อนคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สาวน้อย จะวิ่งไปที่ใดหรือ ? ”

ทัวป๋าถิงฟางตื่นตกใจมากจึงรีบคิดหาทางหลบหนีออกจากตรงนี้ แต่สมองของนางกลับว่างเปล่า ทั้งสองคนไร้พลังอำนาจในชั่วพริบตาเดียวราวกับแมวน้อยก็มิปาน พวกนางกอดกันและกัน ครานี้ถิงฟางต้องทุกข์ใจเพราะทัวป๋าหลิวลี่เสียแล้ว

ปกติแล้วทัวป๋าหลิวลี่มักพึ่งพาหุ่นเชิดทำร้ายผู้อื่น บัดนี้ไร้หุ่นเชิดจึงเป็นเพียงสตรีอ่อนแอเท่านั้น

“พี่ใหญ่ มองแล้วเด็กสาวสองคนนี้คงเป็นคุณหนูจากตระกูลมั่งคั่ง ครานี้เราสองพี่น้องคงได้รางวัลอย่างงามแน่” ในขณะที่กล่าวโจรทั้งสองคนก็ยื่นมือหยาบกร้านไปทางพวกนางสองคน

“เด็กสาวสองคนนี้ทำให้พวกข้าถูกใจเสียจริง ฮ่าฮ่าฮ่า”

โจรโฉดที่อยู่ข้างกายชำเลืองตามองด้วยแววตาสดใส “บัดนี้เป็นสองพี่น้อง เราเองก็มีสองคนพี่น้อง แบ่งกันคนละคนก็จะได้มิต้องยื้อแย่งกัน”

ชายผู้นั้นพยักหน้าด้วยความพอใจราวกับเห็นด้วยกับความคิดของโจรด้วยกัน มือที่หยาบกร้านกำลังวาดลงบนใบหน้าอันงดงามและเลอค่าของทัวป๋าถิงฟาง

เขาหลับตาลงและจินตนาการถึงสัมผัสอ่อนนุ่มบนผิวหนังของสตรีตรงหน้า คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้นพร้อมมุมปากที่กระตุกยิ้มอย่างชั่วร้าย

ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีมีดสั้นเล่มหนึ่งลอยแหวกอากาศเข้ามาปักบนฝ่ามือของโจรผู้นั้นอย่างแม่นยำและเฉียดฉิวแก้มของทัวป๋าถิงฟางไปเพียงนิดเดียว เลือดสีแดงบนฝ่ามือของโจรสาดกระเซ็นไปยังใบหน้าขาวนวลของนาง

ทัวป๋าถิงฟางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ด้านทัวป๋าหลิวลี่รีบเข้าไปดึงตัวนางออกมาและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ข้า ข้ามิดีเอง ข้ามิควรพาเจ้ามายังถนนเส้นนี้”

โจรผู้นั้นกุมบาดแผลบนฝ่ามือไว้ด้วยความเจ็บปวดแล้วส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความโกรธแค้น ส่วนโจรอีกคนก็ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมมองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง “เป็นโจรกลุ่มไหนอีก ออกมาเดี๋ยวนี้ ? ”

ถนนอันเงียบสงัดแม้แต่เข็มร่วงหล่นก็ได้ยินทั่วหล้า บัดนี้กลับเงียบขึ้นไปอีก

โจรกลุ่มแรกดึงน้องชายไปหลบซ่อน ก่อนตำหนิออกไป “หัวหน้า คิดเล่นเล่ห์กับข้าหรือ”

หลังหลบซ่อนได้มินาน คนเหล่านั้นก็โยนตาข่ายออกมากลางอากาศแล้วร่วงลงคลุมโจรทั้งสองคนนั้นอย่างรวดเร็ว

ความหวาดกลัวที่ฉายออกมาทางสีหน้าของทัวป๋าถิงฟางยังมิทันจางหาย นางก็เกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อยก่อนรีบส่ายหน้าด้วยความงุนงง

ทัวป๋าหลิวลี่ตกใจมากเช่นกัน ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับยังมิได้สติคืนมา

อันหลิงเกอลอยลงมา จากนั้นก็หันข้างเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้านำตัวนางไปส่งก่อน ส่วนข้าจักให้ผู้อื่นส่งตัวน้องสาวกับโจรโฉดกลับไปพร้อมกัน”

คนที่อยู่ข้างกายล้วนเป็นคนของหอพิษกู่ย่อมเชื่อฟังคำสั่งของอันหลิงเกอ

“ขอรับ!”

ทัวป๋าถิงฟางคาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจะปรากฏกายขึ้นที่นี่ ทั้งยังช่วยพวกนางไว้ด้วย

คนผู้นั้นพยักหน้าและก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เช่อเฟยมากับข้าเถิด”

ครั้นเห็นทัวป๋าหลิวลี่ยังเหมือนลูกแมวขวัญเสียจึงอดขมวดคิ้วมิได้ จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนลง “วางใจเถิดขอรับ มิมีผู้ใดมาทำร้ายพวกท่านได้อีก”

ทัวป๋าหลิวลี่จึงตอบกลับด้วยเสียงสั่นเครือ กระนั้นก็ยังมิวายมองไปทางอันหลิงเกอ ใบหน้างดงามของอันหลิงเกอเคร่งขรึมและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไปเถิด”

ทัวป๋าหลิวลี่จึงเดินจากไปด้วยร่างที่ยังสั่นเทา ครั้นเห็นนางค่อยๆ ไกลออกไป ผู้อารักขาคนแรกก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เชิญขอรับ”

ทัวป๋าถิงฟางยังมีสีหน้าซีดเผือดและได้กลับถึงจวนภายใต้การคุ้มกันของผู้อารักขา เห็นได้ชัดว่าความกลัวยังมิจางหายเพราะแม้เสียงเบาๆ ก็สร้างความตกใจให้นางได้แล้ว

อันหลิงเกอยืนมองอยู่ด้านหลัง นางก็เคยมีช่วงเวลาที่ลังเลมาก่อนแต่ก็ยังเลือกช่วยสองพี่น้องเอาไว้

สองพี่น้องมิเคยกระทำเรื่องดีเลย แต่อันหลิงเกอก็ยังใจอ่อนในท้ายที่สุด

เหล่าผู้อารักขาพาโจรโฉดไปยังจวนอ๋องเพื่อรอฟังคำตัดสินของมู่จวินฮานที่เพิ่งเสร็จงานราชการและยังมิออกจากวังหลวง ครั้นได้ยินเรื่องนี้แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกและมิพอใจ

บัดนี้เขาเร่งควบอาชากลับไปยังทิศทางของจวนอ๋องจนฝุ่นตลบอบอวล มินานเขาก็กลับมาถึงและรีบกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมรีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังเรือนฝูหลิงของอันหลิงเกอ

ในตอนที่องครักษ์กล่าวรายงานนั้นมู่จวินฮานก็มิได้ตั้งใจฟังแต่อย่างใด ครั้นได้ยินเพียงแค่ ‘พระชายา’ คำเดียวก็รีบกลับมาเยี่ยงนี้

ทันทีที่มู่จวินฮานเข้ามาก็พบ ‘เกอเอ๋อ’ กำลังนั่งไร้ชีวิตชีวาอยู่ด้านใน ความเจ็บปวดเสียดแทงเข้าในหัวใจของเขา หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นก็มิได้มีทีท่าว่าจะคลายออก กระทั่งเดินมาตรงหน้าของนางความอ่อนโยนก็ฉายลึกอยู่ในแววตา เขายื่นมือไปลูบศีรษะของนางเบา ๆ คล้ายกลัวว่าออกแรงเพียงเล็กน้อยแล้ว ‘เกอเอ๋อ’ จะมลายหายไป

‘เกอเอ๋อ’ ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมาฉับพลัน นัยน์ตาไร้แววจู่ๆ ก็แดงก่ำ หยดน้ำตาเอ่อล้นก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ข้ากลัวเจ้าค่ะ จู่ ๆ พวกเขาก็ออกมาพร้อมดาบ…”

“มิต้องกลัว ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้” มู่จวินฮานโอบกอดนางไว้แน่นแล้วปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เขากอดนางราวกับต้องการหล่อหลอมสตรีผู้นี้เข้าในกระดูกและเลือดของตน ก่อนหน้านี้เขามัวกังวลถึงผลได้ผลเสียจนสูญเสียนางไปและเกือบมิได้เจอนางอีกแล้ว

ทัวป๋าถิงฟางตกตะลึง เขานึกว่านางเป็นอันหลิงเกอ…

หลังอันหลิงเกอจากไปแล้วมู่จวินฮานก็เหมือนคนเสียสติ ครั้นได้ยินว่ามีคนเอ่ยถึงอันหลิงเกอที่ต่อสู้อยู่กับพวกโจร เขาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที

สาเหตุที่ทัวป๋าถิงฟางอยู่แต่ในเรือนของอันหลิงเกอก็เพื่อมาปรุงยาเท่านั้น

ริมฝีปากที่เย็นเยียบได้จุมพิตซับน้ำตาบนใบหน้าของนางและปลอบโยนอย่างอบอุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “มิต้องกลัว ข้ามิดีเอง ข้าปกป้องเจ้ามิดีเอง…”

ทัวป๋าถิงฟางมิได้ใส่ใจว่าเขากำลังคิดถึงใคร ทว่าเลือกมุดลงในอ้อมอกของเขาด้วยความหวาดกลัวที่ยังมิจางหาย มู่จวินฮานเองก็จนปัญญาและเอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อไป