ตอนที่ 548 ปรากฎตัวอีกครั้ง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานสีหน้าของทัวป๋าถิงฟางก็เริ่มผ่อนคลายและอ่อนล้าในเวลาเดียวกัน เสียงเล็กในอ้อมกอดของเขายังสะอื้นเบา ๆ แม้หลับไปแล้ว
มู่จวินฮานค่อยๆ ยืดกายขึ้นและอุ้มนางไปวางบนเตียง จากนั้นก็จัดท่านอนให้นางอย่างทะนุถนอมแล้วห่มผ้าให้ นำมือของนางสอดไว้ใต้ผ้าห่มจากนั้นก็จุดตะเกียงเพื่อป้องกันมิให้นางตื่นตระหนกในเวลากลางคืนและกลัวว่าแสงจะแทงตานางเกินไป
หลังจุดตะเกียงแล้วเขาจึงเตรียมเดินออกจากเรือนฝูหลิงอย่างวางใจ
ในชั่วพริบตาที่แสงสว่างนั้นส่องบนใบหน้าของนาง สีหน้าของมู่จวินฮานก็เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งที่หลอมรวมมาหลายหมื่นปี
มิใช่นาง ! สีหน้าของมู่จวินฮานเคร่งขรึมพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกราวกับใบมีดแหลมคม “โจรสองคนนั้นอยู่ที่ใด ? ”
องครักษ์จึงรีบเดินเข้ามาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “เรียนท่านอ๋อง โดนขังอยู่ในคุกเรียบร้อยแล้วขอรับ”
กล่าวจบ สีหน้าของมู่จวินฮานก็ยิ่งเย็นชา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที
แขนของโจรทั้งสองถูกมัดไว้กับเสาไม้ เวลานี้ทหารใต้บัญชาในจวนอ๋องกำลังลงแส้สร้างบาดแผลบนร่างกายของพวกเขา ครั้นเห็นมู่จวินฮานก็อดสะดุ้งไปชั่วขณะมิได้
มู่จวินฮานเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ทหารหยุดลงมือและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ? ”
แม้โจรทั้งสองคนกลายเป็นนักโทษแล้ว ทว่าความจงรักภักดีต่อพวกเดียวกันยังคงอยู่ เขาสบถด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็เมินหน้าไปทางอื่นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมิพอใจ “อยากฆ่าอยากทรมานก็เชิญเลย เราสองพี่น้องมิมีวันยอมจำนน”
สีหน้าของมู่จวินฮานเย็นเยือกแต่น้ำเสียงของเขาแผ่ความหนาวสะท้านออกมายิ่งกว่าราวกับลมที่พัดพาความเหน็บหนาวเข้ามา โจรทั้งสองจึงอดตัวสั่นสะท้านมิได้ ความเจ็บปวดบนผิวหนังเมื่อครู่ยังมิทำให้ขมวดคิ้ว บัดนี้กลับตื่นกลัวกับแววตาของมู่จวินฮาน
“ข้าจะถามอีกครั้งว่าพวกเจ้าเป็นใคร ? ” มู่จวินฮานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมราวกับเสียงที่ดังขึ้นกลางป่าอันเงียบสงบในยามราตรีอย่างไรอย่างนั้น
“มิว่าเช่นไรก็ต้องตาย อยากมาไม้ไหนก็เชิญเลย เราสองพี่น้องมิยอมก้มหัวให้พวกเจ้าแน่” โจรผู้นั้นอ่อนแอมากแต่ยังมิยอมวางมือ
“ดี” มู่จวินฮานกัดฟันพร้อมกล่าวออกไป น้ำเสียงของเขาดุจความเหน็บหนาวและมืดมนถึงขั้นทำให้เย็นสะท้านสุดขั้วหัวใจ ในเวลานั้นก็มีคนถืออ่างสองใบเดินเข้ามา
มู่จวินฮานใช้นิ้วเลือก จากนั้นก็ชี้ไปยังโจรทั้งสองและออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ราดตัวมัน”
น้ำตาลเหนียวถูกราดลงศีรษะก่อนไหลเยิ้มบนตัวของโจรทั้งสอง พวกเขาแสยะยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “ราดน้ำเหนียว ๆ ลงบนตัวข้าก็ไร้ความหมายอันใดหรอก เจ้ามีไม้ไหนอีกก็งัดออกมาเลย ข้ามิกลัวพวกเจ้าหรอก”
มู่จวินฮานเลิกคิ้วสูง นัยน์ตาแฝงไปด้วยความขี้เล่น มุมปากกระตุกยิ้มชั่วร้ายแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นำสิ่งนั้นออกมา”
ทหารจึงยกถังไม้สองถังเข้ามา หลังวางมันลงพื้นแล้วก็เปิดฝาถังไม้สีดำออกจึงปรากฏตัวต่อทยอยออกจากถังไม้เป็นจำนวนมาก
โจรทั้งสองกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่แต่ปากยังมิยอมร้องขอชีวิต “มาสิ ถ้าแน่จริงก็เข้ามาเลย”
“เทลงไป” มู่จวินฮานเอ่ยอย่างเย็นชา หลังจากนั้นมินานก็ได้ยินเสียงร้องระงมของโจรทั้งสอง มิต้องบอกก็รู้ว่ามันเจ็บปวดมากเพียงใด เจ็บปวดรวดร้าวอย่างต่อเนื่องเหมือนโดนเข็มนับหมื่นทิ่มแทงตามมาด้วยบาดแผลที่น่าสังเวช เขามองไปยังตัวต่อเหล่านั้นที่กำลังแทะเนื้อหนังของพวกโจร
“บอกแล้ว ข้ายอมบอกแล้ว” หนึ่งในโจรสองคนทนมิไหวอีกต่อไป เขาชำเลืองตามองด้วยแววตาเยือกเย็นและกล่าวว่า “ทำเยี่ยงนี้มิสู้เอามีดมาแทงข้าให้ตายดีกว่า”
ในขณะที่พูดก็ได้แสดงสถานะของตนออกมา เมื่อมู่จวินฮานถามก็ยอมตอบอย่างมิค่อยให้ความร่วมมือนัก หลังผ่านการสอบสวนแล้วนัยน์ตาของมู่จวินฮานก็เปล่งประกายขึ้นมาทันใด สองคนนี้มิใช่โจรธรรมดา กลยุทธ์ในการปล้นก็เก่งกาจมากด้วย
ฮ่องเต้อยากทำลายพวกนี้มาโดยตลอดแต่ก็หารังของพวกมันมิเจอ บัดนี้จึงเป็นโอกาสอันดี
เขาจึงเร่งสอบสวนในคราวเดียว โจรผู้นั้นยอมรับสารภาพเพื่อหลีกหนีจากการทรมานที่ไร้มนุษยธรรมของมู่จวินฮาน
เมื่อเขากำลังบังคับใช้กฎจวนกับโจรอีกคนหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีเสียงออกมา “ข้ายอมบอกแล้ว อย่า…อย่าทรมานข้าอีกเลย”
มู่จวินฮานเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าว่าจะให้ความร่วมมือมากน้อยเพียงใด”
โจรทั้งสองจึงบอกเรื่องที่รู้ทั้งหมดออกมา
“ข้าขอถามว่าสตรีที่ต่อสู้กับเจ้าอยู่ที่ใด ? ” นี่เป็นเรื่องที่มู่จวินฮานให้ความสำคัญที่สุด
“เรื่องนี้ เรื่องนี้พวกเรามิรู้จริง ๆ แต่นางมิใช่พวกเดียวกับองครักษ์ของเจ้าหรือ ? ”
หลังทำการสอบสวนมาหนึ่งคืนเต็ม เวลาแค่คืนเดียวมู่จวินฮานก็สามารถทำให้โจรเปิดเผยรังที่ซ่อนได้ ครั้นใกล้รุ่งมู่จวินฮานจึงออกคำสั่งให้ทหารทิ้งโจรทั้งสองไว้ในคุกใต้ดินและมิได้ลงโทษอันใดอีก
แววตาที่มุ่งมั่นเปล่งประกายราวกับหิ่งห้อยโบยบิน แต่เขามิเคยได้รับข่าวใดของอันหลิงเกอเลย
เขาเดินออกจากคุกใต้ดินแล้วตรงไปยังเรือนฝูหลิง ครั้นเห็นทัวป๋าถิงฟางยังหลับใหลอยู่ เขาจึงได้เอ่ยกับสาวใช้ “เตรียมรถม้า ข้าจะไปตำหนักของเหล่าหวางเฟย”
หลังเข้าวังมาเขาก็เข้าพบเหล่าหวางเฟยภายใต้การรายงานของขันที
มู่เหล่าหวางเฟยขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “มีเรื่องใดหรือ เหตุใดจึงรีบร้อนมาเยี่ยงนี้ ? ”
“คารวะหมู่เฟย ลูกสามารถยึดรังใหญ่ของพวกโจรชั่วได้แล้วขอรับ”
พอนำเรื่องนี้บอกเล่าไปอย่างละเอียดแล้ว มู่เหล่าหวางเฟยก็ดีใจทันที นางส่งเสียงหัวเราะออกมา “สวรรค์อวยพรบุตรชายของแม่แล้ว จากนี้ไปฝ่าบาทจะทรงให้ความสำคัญต่อเจ้ามากขึ้นแน่”
“ขอรับ”
มู่จวินฮานคำนับเพื่อแสดงการขอบคุณ จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนกระทั่งได้ยินมู่เหล่าหวางเฟยถามด้วยความเป็นห่วง “ถิงฟางดีขึ้นหรือยัง ? ”
“นางดีขึ้นแล้วขอรับ” ระหว่างที่พูดนัยน์ตาของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น ความมืดอันล้ำลึกก็ค่อย ๆ แสดงออกมาและแววตาของเขาก็ดุดันจนแทบอยากสังหารพวกโจรชั่วมิไหว
“บัดนี้บุตรของเจ้าและอดีตชายาเอกยังเด็กมาก แม่จึงเตรียมยกพวกเขาให้ถิงฟางดูแล” มู่เหล่าหวางเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมมองไปทางมู่จวินฮานด้วยแววตาห่วงใย
มู่จวินฮานมิได้ตั้งใจฟังแต่ก็พยักหน้า เขาแค่ต้องการตามหาเกอเอ๋อกลับมา
ถึงตอนนั้นพวกเขาจักดูแลลูกด้วยตนเองอย่างแน่นอน
มู่จวินฮานตอบรับและถอยออกไป มู่เหล่าหวางเฟยมองไปยังแผ่นหลังของเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปด้านใน
ระหว่างทางกลับจวน ในใจของมู่จวินฮานก็รู้สึกสบายขึ้นบ้างเพราะเกอเอ๋อยังมิตายย่อมดีที่สุด
มู่จวินฮานรู้สึกเจ็บปวดใจมาโดยตลอด ตั้งแต่ได้รู้ว่าคุกใต้ดินเกิดเพลิงไหม้แล้วได้รู้ว่าอันหลิงเกอตายจากไป เขาก็มิเคยออกจากความเจ็บปวดได้เลย
ครั้งนี้เมื่อคนที่ช่วยทัวป๋าถิงฟางและพี่สาวไว้ก็คืออันหลิงเกอย่อมแสดงว่ามิใช่เรื่องโกหก
เกอเอ๋อของเขาไม่มีวันยอมอยู่ในคุกไปตลอดชีวิต หากนางหนีออกไปก็เท่ากับว่านางมิมีทางกลับมาอีก
อันหลิงเกอยังเดินเตร่อยู่นอกจวนเพียงลำพังโดยมิรู้ว่าจะไปยังที่ใด
วันนี้เห็นทัวป๋าถิงฟางและทัวป๋าหลิวลี่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในใจของนางก็ยิ่งกระวนกระวาย บัดนี้นางมิได้คิดกลับไปจวนอ๋องอีกแล้ว มู่เหล่าหวางเฟยวางแผนทำร้ายนาง ทัวป๋าถิงฟางก็ยังวางแผนเล่นงานนางและมู่จวินฮานก็ยังมิเชื่อใจอีกแล้วนางจะกลับไปด้วยเหตุใด ?
ถ้ากลับไปก็ไร้ที่ยืนสำหรับนางอีกแล้ว
ตำแหน่งพระชายาบัดนี้คงว่างเปล่า ทุกคนล้วนรู้เรื่องและคิดว่านางเป็นสตรีมากชาย
อันหลิงเกอส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนเงยหน้าขึ้นมาโดยมิรู้ตัวก็พบว่าเป็นหอพิษกู่
ตั้งแต่ราชสำนักสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหอพิษกู่ อันหลิงเกอก็มิเคยมาที่นี่อีกเลยเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด ทว่าตอนนี้คงมิมีปัญหาอันใดแล้ว