ตอนที่ 549 เต็มใจเก็บไว้
ฟางหลิงซู่ช่วยนางไว้แต่ให้นางมีอิสระโดยมิได้บังคับอันใด
เขาปล่อยนางออกไปและตอนนี้นางกลับมาด้วยตนเองเพราะมิรู้ว่าหนานกงหลิงเยว่เป็นเยี่ยงไรบ้าง
ดูเหมือนความรู้สึกในอดีตของอันหลิงเกอจางหายไปโดยมิรู้ตัว
บัดนี้อันหลิงเกอมิได้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นฝ่ายตรงข้ามกันอีกแล้ว มิรู้สึกว่ามีเรื่องอันใดไม่เหมาะสมอีกต่อไป นางเป็นแค่อันหลิงเกอ มิใช่พระชายาและก็มิใช่เทพธิดาทั้งสิ้น
“ข้ามาหาหนานกงหลิงเยว่”
“เจ้าเป็นใคร ? ” อันหลิงเกอมิได้แอบเข้าไปแต่เดินเข้าทางประตู
“เร็ว ให้นางเข้ามาเร็ว นี่คือพระชายามู่เชียวนะ ! ”
หอพิษกู่มีคนตาถึงอยู่จริงและอันหลิงเกอมิได้กล่าวอันใด คนเหล่านี้เป็นบ่าวของหอพิษกู่เท่านั้น เนื่องจากโดนควบคุมมาเป็นเวลานานจึงส่งผลให้พวกเขาไร้ความคิดเป็นของตนเอง
พระชายามู่ หึ สถานะนี้มิใช่ของนางอีกแล้ว
“เจ้ามาแล้ว”
หนานกงหลิงเยว่ได้รับข่าวและรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งอันหลิงเกอยังอยูในจวนอ๋อง แม้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ยังนึกถึงตน สำหรับหนานกงหลิงเยว่ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
“เจ้า…” พอเข้ามาก็สังเกตเห็นหนานกงหลิงเยว่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็น อันหลิงเกอจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป
ก่อนหน้านั้นฟางหลิงซู่ต้องการขอความช่วยเหลือจากอันหลิงเกอ แต่เขารู้ถึงความหยิ่งผยองของน้องสาวและด้วยเหตุนี้จึงมิได้ไปเชิญนางมา
“หึ เกิดเรื่องมิคาดฝัน เดิมทีข้าอยากไปหาเจ้าแต่ก็มิมีโอกาสเข้าในจวนเลย บัดนี้เจ้าออกมาแล้วก็ดี มาช่วยข้าดูหน่อย”
ในตอนที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวประโยคนี้อันหลิงเกอก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาทันที ปิศาจสาวผู้นี้มิเคยยอมอ่อนข้อให้ตน บัดนี้ดูเหมือนมิใช่หนานกงหลิงเยว่คนเดิมอีกแล้ว
“หากมิใช่เพราะข้าได้เจอกับบุรุษที่ชอบ ข้าก็คงปล่อยวางเรื่องขาไปแล้ว”
อันหลิงเกอตรวจขาของอีกฝ่ายพลางฟังคำบอกเล่า นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง คำพูดของหนานกงหลิงเยว่ทำให้อันหลิงเกอลำบากใจมากเพราะสตรีที่หยิ่งผยองผู้นี้สูญเสียขาทั้งสองข้างไปและมิอยากรักษา มิอยากแก้แค้น ไร้ซึ่งความโกรธเกลียดใด ๆ
สำหรับผู้ที่ทำร้ายหอพิษกู่ผู้นั้น…
อันหลิงเกอค่อนข้างเคร่งเครียดมากแต่ยามนี้ยังมิใช่เวลาที่จะเอ่ยถึง
“หนานกงหลิวเยว่…”
อันหลิงเกอเรียกชื่อของนางเบา ๆ แต่มิรู้ว่าจะปลอบใจเยี่ยงไร
“เป็นอันใด ? ขาของข้าช่วยมิได้แล้วหรือ ? ”
หนานกงหลิวเยว่หัวเราะเบา ๆ ราวกับทราบผลลัพธ์นี้แล้ว
“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่” ขาของอีกฝ่ายมิได้มีปัญหาใหญ่นัก
“อันหลิงเกอ ข้า…พบชายที่ชอบแล้ว” หนานกงหลิงเยว่มองไปนอกหน้าต่างราวกับเห็นคนผู้นั้น
“อืม”
อันหลิงเกอมิได้เสนอความคิดเพราะนางก็มิรู้ว่าหนานกงหลิงเยว่คิดเยี่ยงไร
“เขามีนามว่ากูซูเฉี่ยอวี่”
กูซูเฉี่ยอวี่
อันหลิงเกอจำได้ว่าเขาเป็นบุตรชายของรองเสนาบดีกรมคลังนามกูซูฉีหยู่ บุรุษผู้นี้ดูท่าแล้วมีความซื่อสัตย์มากและเหมาะสมกับหนานกงหลิงเยว่มากทีเดียว
“ดังนั้นข้าจึงหวังว่าขาทั้งสองข้างจักดีขึ้นเพื่อสามารถเดินร่วมทางไปพร้อมเขาได้…”
ครั้นได้ยินน้ำเสียงของหนานกงหลิงเยว่ก็เหมือนอันหลิงเกอเข้าใจทันที สตรีผู้หยิ่งผยองไม่มีวันอยู่ร่วมกับอีกคนโดยที่ตนมิสมบูรณ์แบบได้
หนานกงหลิงเยว่มีความหยิ่งผยองมากเพียงนี้ย่อมอยู่ลำพังไปตลอดชีวิตและไม่มีวันยอมเป็นภาระของผู้อื่น
“ขาของเจ้า ข้าสามารถรักษาได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอเอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาดว่าจะช่วยรักษาคน หากมีแนวโน้มไปในทางล้มเหลวนางไม่มีวันเอ่ยออกมาโดยง่าย
แต่พอเห็นหนานกงหลิงเยว่แล้ว อันหลิงเกอก็มิอยากให้อีกฝ่ายหดหู่อีกต่อไป
และก็เป็นอย่างที่คาดคิดไว้จริง นัยน์ตาของหนานกงหลิงเยว่เปล่งประกายออกมาแล้วมองอันหลิงเกอด้วยความดีใจ
“เจ้าพูดจริงหรือไม่ ? ” ไม่ใช่เพราะหนานกงหลิงเยว่มิอยากเชื่อ แต่นางมิกล้าเชื่อต่างหาก
ต้องรู้ก่อนว่าฟางหลิงซู่พยายามหาวิธีรักษาขาของนางอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ผู้อื่นหมดหนทาง แม้นางรู้ว่าอันหลิงเกอเป็นหมอแต่ก็ยังมิกล้าเชื่อ
อืม อันหลิงเกอพยักหน้าและไม่มีทางโกหกเด็กสาวที่เศร้าหมองตรงหน้าเป็นแน่
“เพียงแต่ขาทั้งสองข้างของเจ้าอาจได้รับพิษลึกถึงแกนกระดูก หากรักษาถึงแกนต้องเจ็บปวดมาก”
ความเจ็บปวดที่อันหลิงเกอกล่าวมิใช่เพียงน้อยนิดเพราะการขับพิษต้องได้รับความเจ็บปวดคล้ายโดนกรีดเนื้อตัดเส้นเอ็นก็มิปาน
“ข้ารับทราบ”
หนานกงหลิงเยว่เตรียมความพร้อมไว้แล้ว นางหวังว่าหลังกูซูเฉี่ยอวี่ได้พบนางอีกคราทุกอย่างต้องสมบูรณ์ แล้วเหตุใดนางจะมิยอมอดทน นางยอมให้เขาเห็นตนในมุมที่มิสมบูรณ์ได้เยี่ยงไร
“เรียนคุณหนูหนานกง คุณชายกูซูมาขอพบเจ้าค่ะ”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ อยู่ ๆ กูซูเฉี่ยอวี่ก็โผล่มาเยือน
“ข้าขอซ่อนตัวก่อน” อันหลิงเกอลุกขึ้นยืน
“มิเป็นไร เจ้าอยู่ด้านในก็ได้ ประเดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว” หนานกงหลิงเยว่มิได้ใส่ใจ นางอยากให้อันหลิงเกอช่วยสำรวจชายผู้นี้ให้ตนอีกด้วย
“ก็ได้” อันหลิงเกอเข้าใจความหมายจึงมิได้ปฏิเสธ
อันหลิงเกอยืนขึ้นและเดินมาอยู่ด้านหลังฉากกั้นแล้วนั่งลงในตำแหน่งลับตาคนอย่างเงียบ ๆ
เวลานี้อันหลิงเกอนั่งมองทั้งสองคนที่อยู่ด้านนอกและนางรู้สึกดีขึ้นในใจ
“ท่านมาแล้ว”
น้ำเสียงของหนานกงหลิงเยว่แฝงไปด้วยความสุขและคือสิ่งที่หาได้ยากยิ่งสำหรับนาง
“ข้า ข้าแค่อยากมาบอกว่าได้คุยกับท่านพ่อแล้ว”
อันหลิงเกอเดาลักษณะท่าทางของกูซูเฉี่ยอวี่ได้ว่ามีนัยยะลึกซึ้งกว่าหนานกงหลิงเยว่
“อื้อ…” หนานกงหลิงเยว่ตอบกลับ
“หากคุณหนูยินยอม มิใช่ มิใช่ ข้ารู้ว่าเจ้ายินยอม ข้าพูดอันใดเนี่ย…” ความไม่สบายใจของกูซูเฉี่ยอวี่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
“เจ้าค่ะ” หนานกงหลิงเยว่ตอบโดยมิลังเล
บัดนี้ขาของนางจะได้รับการรักษาแล้ว เยี่ยงนั้นนางจะยอมปล่อยคนที่แสนดีไปหรือ ?
“เยี่ยงนั้นก็ดี หากสู่ขอเจ้าได้ก็จะเป็นความสุขยิ่งใหญ่ในชีวิตของกูซูเฉี่ยอวี่”
น้ำเสียงของกูซูเฉี่ยอวี่สั่นเครือเล็กน้อยจนสัมผัสได้ถึงความยินดีของเขา
อันหลิงเกอยิ้มดีใจอยู่ด้านหลังฉากกั้น หนานกงหลิงเยว่ได้พบชายที่น่ารักเยี่ยงนี้ย่อมเป็นเรื่องดีมาก เพียงแต่มิรู้ว่าพี่ชายของนางจะคิดเยี่ยงไร
“เอาล่ะ ท่านกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้เรายัง…พบกันเช่นนี้คงมิค่อยเหมาะสม”
อันหลิงเกอยิ้มอยู่หลังฉากกั้น เด็กคนนี้คงเขินอายมาก
พอได้เห็นว่าความมืดมนทั้งหมดของหนานกงหลิงเยว่มลายหายไปหมดสิ้นและกำลังจะมีคู่ชีวิตที่พร้อมอยู่เคียงข้างแล้วนางก็รู้สึกยินดีด้วย
“เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
หลังกูซูเฉี่ยอวี่จากไป อันหลิงเกอก็เดินออกมาจากฉากกั้น
“อืม…เหมาะสมกันมาก”
อันหลิงเกอยกยิ้มและกล่าวอย่างจริงจัง มิได้เพราะสถานะและมิเกี่ยวอันใดกับบุคลิก เพียงแต่ยามที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันเมื่อครู่นั้นทำให้นางรู้สึกว่าช่างเหมาะสมกันจริง ๆ
อย่างน้อยยามที่หนานกงหลิงเยว่ได้อยู่ต่อหน้าชายผู้นี้ก็สามารถแสดงท่าทีเขินอายออกมาได้อย่างธรรมชาติ
“แต่ หากพวกเจ้าต้องแต่งงานกันจริง ฟางหลิงซู่จะคิดเยี่ยงไร ? ”
สำหรับอันหลิงเกอแล้ว ฟางหลิงซู่มิยอมให้น้องสาวมีความสัมพันธ์ใดกับคนในราชสำนักอย่างแน่นอน