ตอนที่ 550 สงครามระหว่างสองพี่น้อง
“บัดนี้ข้าเป็นคนพิการแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า ? ”
ตอนนี้หนานกงหลิงเยว่คิดว่าตนเป็นความอัปยศของหอพิษกู่ นางจึงคิดว่าพี่ชายจะมิสนใจนางอีก
เพราะพี่ชายมิได้มาเยี่ยมนางนานแล้ว ก่อนหน้านั้นก็ยังมิยอมไปตามอันหลิงเกอมาช่วย…
สำหรับหนานกงหลิงเยว่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพี่ชายมิได้เป็นพี่น้องที่สนิทสนมเหมือนในอดีตแล้ว
บางทีนางอาจกลายเป็นภาระของหอพิษกู่ไปแล้ว ดังนั้นการแต่งงานออกเรือนก็น่าจะดีเสียกว่า
“ข้าคิดว่าการแต่งงานของเจ้าต้องได้รับคำอวยพรจากพี่ชายด้วย อีกอย่างเจ้าก็มิใช่คนพิการ ข้ารักษาขาทั้งสองข้างของเจ้าให้กลับมาดีขึ้นได้ หนานกงหลิงเยว่ เจ้ามิจำเป็นต้องหยามตนเองถึงเพียงนี้”
นางมิอยากให้หนานกงหลิงเยว่มีความคิดที่น่าสงสารเยี่ยงนี้ หากเราสงสารตนเองแต่อยากได้คู่ชีวิตที่ดีก็มิควรคิดเช่นนี้
ขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายต้องดีขึ้นสักวัน
“หยุดคุยเรื่องข้าได้แล้ว ตัวเจ้าล่ะ ? ”
“ข้าหรือ ? ” อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น
“ใช่ เจ้านั่นแหละ ข้ารู้เรื่องของมู่เหล่าหวางเฟยแล้ว”
หนานกงหลิงเยว่ได้ยินก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกผิดเพราะอันหลิงเกอมีความจริงใจให้นางเยี่ยงสหายอย่างแท้จริง ทว่านางก็ปิดบังเอาไว้
พวกนางรู้ดีว่าก่อนหน้านั้นหลายปีผู้ที่สังหารฮูหยินใหญ่อันคือมู่เหล่าหวางเฟย แต่เพราะมีผู้เกี่ยวข้องมากเกินไปจึงมิยอมพูดออกมา
ตอนนั้นอันหลิงเกอเห็นอกเห็นใจสองพี่น้องมาก แต่…
“ข้ารู้ว่าเวลานี้มิง่าย พวกเจ้ามีเรื่องที่ไม่อาจพูดออกมาได้ และข้าจะตรวจสอบด้วยตนเอง” อันหลิงเกอมิได้สร้างความลำบากใจให้อีกฝ่าย
“ขอบใจมาก”
หนานกงหลิงเยว่เข้าใจความลำบากของอีกฝ่ายดี เพียงแต่ถ้าบอกเรื่องทั้งหมดให้ฟัง อันหลิงเกออาจมิเข้าใกล้พวกตนอีกก็ได้
สำหรับอันหลิงเกอแล้ว พี่ชายทั้งรักและเกลียด แต่หนานกงหลิงเยว่แตกต่างเพราะนางอยากใกล้ชิดอันหลิงเกอจริง ๆ อยากสนิทและอยากเป็นมิตรแท้
มิว่าฟางหลิงซู่และฟางซั่วคิดเยี่ยงไร นางก็มีความคิดที่เรียบง่ายเยี่ยงนี้เสมอ
“มู่เหล่าหวางเฟยเป็นคนที่ทำให้เจ้าออกจากจวนอ๋องใช่หรือไม่ ? แล้วมู่จวินฮานเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
หนานกงหลิงเยว่เอ่ยปากถามทันใด เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับอันหลิงเกอนั้นฝ่ายพี่ชายมิได้กล่าวอันใดมากความ
“อ๋องมู่เป็นบุตรของนาง ข้าคิดว่าคงมิเกิดเรื่องกับเขาหรอก แต่ดูท่าทางมู่เหล่าหวางเฟยมิคิดรามือแน่”
อันหลิงเกอยกยิ้มเล็กน้อย หากนางต้องการชีวิตของมู่เหล่าหวางเฟยคงง่ายเกินไปเพราะสิ่งที่นางต้องการคือให้มู่เหล่าหวางเฟยมาสารภาพผิดต่อหน้า นางอยากเห็นมุมอัปยศที่สุดของมู่เหล่าหวางเฟยซึ่งต้องชดใช้ความผิดบาปที่ทำไว้กับมารดา !
มารดาของนางดีที่สุดในโลกใบนี้ แต่…มู่เหล่าหวางเฟย !
ครั้นเอ่ยถึงมู่จวินฮาน ในใจของอันหลิงเกอก็รู้สึกเจ็บปวดทันใด บัดนี้สถานการณ์มิเหมือนเดิมอีกแล้ว คงเป็นการดีที่สุดหากเขามิได้สมรู้ร่วมคิดด้วย
แม้ในใจทุกข์มากก็ตาม นางมิเคยลืมความแค้นของมารดาได้เลย
ในตอนที่นางคิดอยากปล่อยวางความแค้นลง มู่เหล่าหวางเฟยกลับมิไว้ชีวิตนาง เช่นนั้นนางต้องเอาคืนให้สาสม !
“อันหลิงเกอ เจ้า…”
ครั้นเห็นความโหดเหี้ยมสะท้อนออกมาทางแววตาของอันหลิงเกอ หนานกงหลิงเยว่จึงได้แต่ทอดถอนใจ เกรงว่าอีกฝ่ายได้เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
อันหลิงเกอในอดีตมิเคยดุดันเยี่ยงนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดเวลานี้อันหลิงเกอที่นางเคยจับต้องได้ก็ดูเหมือนมีหนามปกคลุมไปทั่วร่าง
“มิเป็นไร มา ให้ข้าดูขาของเจ้าหน่อย” กล่าวจบ อันหลิงเกอก็ยกยิ้มและคุกเข่าลง
ยามนี้มู่จวินฮานยังออกค้นหานาง เพียงแต่น่าเสียดายที่เขามิได้รับเบาะแสใดเลย
“จวินฮาน ในเมื่ออันหลิงเกอมิใช่พระชายาอีกแล้วก็แต่งตั้งพระชายาคนใหม่เถิด”
มู่เหล่าหวางเฟยกระตุ้นเขาอย่างต่อเนื่อง ทว่าในใจของมู่จวินฮานมิยอมรับเรื่องนี้
พระชายาเอกของเขามีแค่อันหลิงเกอผู้เดียว
เขามิรู้ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงให้เขาได้รับการสืบทอดตำแหน่งอ๋องมู่อย่างง่ายดาย แต่คนที่คอยสนับสนุนเขามาตลอดเส้นทางนี้ก็คืออันหลิงเกอ และคนที่กล้าโต้เถียงกับผู้อื่นเพื่อเขาก็ยังเป็นอันหลิงเกอ
“หมู่เฟย แม้นางมิกลับมาแต่นางก็ยังเป็นพระชายาของลูกเสมอขอรับ”
มู่จวินฮานพอสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างมู่เหล่าหวางเฟยและอันหลิงเกอ มิเช่นนั้นมู่เหล่าหวางเฟยไม่มีทางปฏิบัติต่ออันหลิงเกอเปลี่ยนไปเยี่ยงนี้ พอนึกถึงเรื่องของอันหลิงเกอกับชายเหล่านั้น เขาก็รู้สึกประหลาดใจมิน้อย
แต่น่าเสียดายที่วันนั้นเพราะมีจำนวนคนมากเกินไปจึงทำให้เขาเกิดความวิงเวียนขึ้นมาอย่างฉับพลัน กอปรกับหมู่เฟยที่อยู่ข้างกาย…
เมื่อคิดได้แล้วมู่จวินฮานก็อดยกมือขึ้นตบหน้าตนเองสองครั้งมิได้ เหตุใดเขาจึงปฏิบัติกับนางเยี่ยงนั้น ?
ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าจะเชื่อใจนางตลอดไป แต่เขาก็เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน
แม้อันหลิงเกอมิเป็นอันใด แต่นางก็ไม่มีวันเชื่อใจเขาอีกแล้ว
“จวินฮาน นางทำผิดต่อเจ้า ทั้งหมดเป็นความผิดของนางและนางเลือกหนีออกจากคุกเอง เจ้าคิดว่าตอนนี้นางไปพักอยู่กับผู้ใด ? ” มู่เหล่าหวางเฟยเอ่ยถึงตรงนี้ มู่จวินฮานก็มิอยากฟังต่อ
ดูเหมือนตั้งแต่ต้นจนจบหมู่เฟยพยายามบอกความนัยแก่เขาเรื่องความไม่บริสุทธิ์ใจของเกอเอ๋อ
“ช่างเถิด หมู่เฟย ลูกยังมีเรื่องต้องไปทำต่อขอรับ”
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าคนข้างกายในช่วงนี้แปลกประหลาดไปหมด ทั้งมู่เหล่าหวางเฟยและอันหลิงเกอก็ดูเหมือนมีเรื่องที่เขามิรู้
“ไปตรวจสอบเรื่องก่อนที่พระชายาจะหนีไปอย่างเร่งด่วน”
“ท่านอ๋องหมายถึง…” ชิงเฟิงมิค่อยเข้าใจ
“สืบว่าเกอเอ๋อติดต่อกับผู้ใดแล้วไปพบเรื่องอันใดมา นางเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด เรื่องเล็กน้อยก็ห้ามพลาดเด็ดขาด”
มู่จวินฮานอยากตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเรื่องใดทำให้อันหลิงเกอจากไปอย่างใจร้ายเยี่ยงนี้ หากในครานั้นเป็นความเข้าใจผิด ตามนิสัยของนางไม่มีทางประนีประนอมอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่มีทางจากไปโดยยังเข้าใจผิดกันอยู่ นางต้องพบเรื่องบางอย่างเป็นแน่
เพียงแต่มู่จวินฮานมิรู้ว่ามันคือเรื่องใด
บัดนี้ดูเหมือนหมู่เฟยทำดีกับทัวป๋าถิงฟางมาก หรือว่าเกี่ยวข้องกับนาง ?
“ให้ปี้จูเฝ้าสังเกตทัวป๋าหลิวลี่และทัวป๋าถิงฟางไว้ให้ดี”
มู่จวินฮานมิเชื่อว่าจะหาเบาะแสใดมิได้เลย
พวกเขาทำอันใดกับอันหลิงเกอกันแน่ ?
แม้นางมิกลับมาในตอนนี้ ทว่าเขาต้องล้างมลทินและคืนความยุติธรรมให้นาง !
อย่างไรเขาก็มิยอมเลิกตามหานางเด็ดขาด !
แววตาของมู่จวินฮานลึกล้ำอย่างเห็นได้ชัด เขามิได้พบนางมานานเพียงใดแล้ว ? ความคะนึงหาในใจจึงเริ่มเรียกร้อง
ในเวลาเดียวกัน ทัวป๋าหลิวลี่และทัวป๋าถิงฟางก็มิได้อยู่อย่างสงบสุข
ทัวป๋าหลิวลี่มักสร้างปัญหาตลอด ส่วนทัวป๋าถิงฟางก็เปิดเผยตัวตนแล้วจึงมิอาจรองรับอารมณ์ของพี่สาวได้อีก
เมื่อทัวป๋าหลิวลี่เห็นท่าทางอ่อนแอของทัวป๋าถิงฟางก็ยิ่งรังเกียจมากขึ้น จากนั้นนางก็เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าจะมิรู้ได้เยี่ยงไรว่านิสัยของน้องหญิงเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด”
ทัวป๋าถิงฟางช่างน่าขัดหูขัดตาสำหรับทัวป๋าหลิวลี่ นางเป็นถึงองค์หญิงในวังหลวงและนางยอมเป็นมิตรกับบุตรีสนมก็ถือว่าเป็นเกียรติมากพอแล้ว !
ทัวป๋าถิงฟางแสดงสีหน้างุนงง จากนั้นก็เงยหน้ามองทัวป๋าหลิวลี่ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ “เช่อเฟยคงได้ยินคำพูดของพวกบ่าวมาสินะ น้องหญิงก็ทำตัวปกติทุกอย่าง หากก่อนหน้านั้นมีคนทำให้เกิดเรื่องมิดีกับเช่อเฟยก็หวังว่าจะให้อภัยน้องหญิงเจ้าค่ะ”
“นายหญิงน้อยถิงฟาง เมื่อมิกี่วันก่อนเจ้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วมิใช่หรือ ? เหตุใดบัดนี้ต้องมาแสดงท่าทางอ่อนน้อมต่อหน้าข้าอีก ? ” ทัวป๋าหลิวลี่ลุกขึ้น จากนั้นก็มองทัวป๋าถิงฟางจากมุมที่สูงกว่า มุมปากกระตุกยิ้มเย้ยหยันและแววตาเย็นชา
หลังจากได้รับการช่วยเหลือในวันนั้น ทัวป๋าถิงฟางก็ได้รับความโปรดปรานจากมู่จวินฮานอยู่พักหนึ่งและในเวลาเดียวกันก็กระตุ้นความเกลียดชังของทัวป๋าหลิวลี่ขึ้นมาด้วย