เดินไปได้ไม่กี่ก้าว หลินจือนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปพูดกับเทาเท่ “คุณช่วยย้ายของของคุณออกหน่อยนะ อย่าให้โนอาห์เห็นตอนเข้าบ้านมา”
เทาเท่ “…”
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาค่อยๆ ย้ายของเข้ามาในบ้านโดยไม่ให้หลินจือรู้ตัว แต่แท้จริงนั้นหลินจือรู้ตั้งนานแล้ว เพียงแค่เธอขี้เกียจจะใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆที่เขาทำ แต่ตอนนี้เธอต้องต้อนรับโนอาห์ เขาจึงต้องย้ายของออกเหล่านั้นออกไปซะ
“ผมจะไปซื้อของกับคุณก่อน” เทาเท่เปลี่ยนเรื่อง
หลินจือส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก สักหน่อยผู้ช่วยควีนก็ต้องมารายงานเรื่องงานกับคุณไม่ใช่เหรอ”
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเรื่องเก่าๆ เหล่านั้นของไกอาและวีนาที่ส่งผลมาถึงฟอเรนากรุปในไม่กี่วันมานี้ เขาจึงไม่ออกไปไหน และสั่งให้ควีนและจอนห์มารายงานการทำงานในทุกเช้า
หลินจือพูดเสริม “ฉันไปซื้อของเองได้ แต่คงต้องขอยืมรถคุณหน่อย”
ปกติหลินจือไม่อยากขับรถเมื่อออกไปข้างนอก แต่วันนี้หากขับรถไปเองดูท่าจะสะดวกกว่า
เทาเท่ตอบกลับทันที “ผมจะให้ควีนไปบ้านผม ให้เขาเอารถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวที่คุณเคยขับมาให้”
คันที่จอดอยู่ข้างนอกตอนนี้เป็นแลนด์โรเวอร์ซึ่งไม่เหมาะให้ผู้หญิงขับเท่าไหร่นัก
หลินจือหลับตาลงและพูดว่า “ตามใจคุณ”
เทาเท่สังเกตเห็นอารมณ์ของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย จึงเข้าไปกอดเธอแล้วถามว่า “คุณไม่ชอบรถคันนั้นเหรอ”
“เปล่า” สำหรับหลินจือรถเป็นเพียงพาหนะอย่างหนึ่ง รถบีเอ็มเบิลยูคันที่เทาเท่พูดถึงคันนั้น คุณปู่เป็นคนมอบให้เธอ ที่เธอไม่อยากขับมันตอนนี้ เพราะกลัวว่าเมื่อนั่งไปแล้วจะรื้อฟิ้นเรื่องราวในอดีตขึ้นมา ไม่ใช่เพราะไม่ชอบ
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ เทาเท่รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ผมจะเปลี่ยนคันใหม่ให้”
“ไม่ต้อง ขับคันนั้นแหละ” หลินจือรู้สึกว่าบางครั้งเธอกับเทาเท่ก็คุยกันไม่เข้าใจเลยสักนิด สิ่งที่ชอบของเธอกับเขาไม่เหมือนกันสักอย่าง
เทาเท่จ้องมองเธออยู่ชั่วครู่ และยังสัมผัสได้ถึงความแค้นในใจเธอ ชายหนุ่มจึงกอดเธอและพูดว่า “ในเมื่อละทิ้งอดีตไม่ได้ เราก็จงเลือกโอบกอดอดีตนั้นไว้และยอมรับมัน ตกลงไหม”
เทาเท่ต้องการเกลี้ยกล่อมหลินจือให้ลืมเรื่องเลวร้ายในอดีต และให้อภัยเขา
หลินจือกลับไม่ได้ทำตามที่เขาปรารถนาเลยสักนิด เธอเงยหน้าขึ้นพร้อมขมวดคิ้วและพูดว่า “ฉันตัดใจจากอดีตนั้นได้แล้ว”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ที่เขาเข้ามาพัวพันทำให้เธอต้องอยู่ในความวุ่นวายจนตัดไม่ขาดอย่างในตอนนี้ ซึ่งเดิมทีเธอใจแข็งขีดเส้นตัดขาดจากอดีตอันโหดร้ายนั้นได้แล้ว
เทาเท่โดนคำพูดเหล่านี้ตีแสกหน้า เขาไม่มีทางรั้งเธอไว้ได้อีกต่อไป
ยี่สิบนาทีต่อมา ผู้ช่วยควีนขับรถคนนั้นเข้ามาให้หลินจือ เธอขับรถออกไปซื้อของ ส่วนเทาเท่คุยเรื่องงานกับผู้ช่วยควีนด้วยสีหน้าจริงจัง
พวกเขาคุยกันได้สักพัก เทาเท่ก็ได้รับโทรศัพท์จากเบลซอีกครั้ง
เทาเท่กดตัดสายสายแรกไป เพราะเทาเท่ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลโดโนแวนอีก
แต่เบลซก็โทรกลับมาอีกครั้ง เทาเท่จึงรับสายด้วยน้ำเสียงเฉยชา “คุณเบลซ มีอะไรหรือเปล่า”
เบลซถอดหายใจและพูดว่า “เทาเท่ ผมรู้ว่าที่ผมเปิดโปงเรื่องพ่อแม่คุณ มันทำให้คุณไม่พอใจ…”
คำพูดของเบลซถูกขัดจังหวะด้วยคำพูดของเทาเท่ “ขอโทษนะ ผมไม่ได้โกรธ พูดตรงๆ นี่เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ได้เกี่ยวกับผม และยังไม่มีผลกระทบอะไรกับผมด้วยซ้ำ”
เบลซชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาได้สติกลับมาจึงถามต่อว่า “ช่วงนี้คุณก็กักตัวเองไม่ออกไปไหนไม่ใช่เหรอ อีกอย่างฟอเรนากรุปก็เสียไปตั้งหลายโครงการ ทำไมถึงบอกว่าไม่มีผลกระทบอะไรล่ะ”
เทาเท่ยิ้มเยาะเย้ย “ที่อยู่บ้านไม่ออกไปไหนเพราะต้องตามจีบหญิง คุณคิดว่าผมไม่กล้าออกไปเจอหน้าผู้คนงั้นเหรอ คิดว่าถ้าผมจะเสียแค่บางโครงการไปแล้วจะทำให้ฟอเรนากรุปล้มละลายได้เหรอ”
คำพูดนั้นที่เทาเท่บอกว่า ไม่ออกจากบ้านไปไหนเพื่อตามจีบผู้หญิง ทำให้เบลซเดือดดาลอย่างเหลืออดเหลือทน
เทาเท่ทิ้งขว้างลูกสาวเขาราวกับทิ้งไม้กวาด แล้วไปใช้เวลาอยู่กับหลินจือ ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ
เบลซคิดอยากวางสายทิ้ง แต่นึกขึ้นมาได้ว่าลูกสาวของเขาขอให้พยายามปรับความเข้าใจกับเทาเท่ ดังนั้นเขาจึงต้องจำใจคุยกับเทาเท่ต่อ
เบลซพูดอย่างประนีประนอม “โอเค ไม่มีผลกระทบก็ไม่มี”
เทาเท่รู้สึกไม่ชอบใจอย่างยิ่งยวด “มีอะไรจะพูดก็พูดมา ถ้าไม่มีก็วาง”
“คืออย่างนี้ เทาเท่ วันนี้ที่ผมโทรมาหาคุณก็เพื่ออยากปรับความเข้าใจกับคุณ เราหยุดทะเลาะกันได้แล้ว ตกลงไหม คนนอกกำลังดูเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก บอกว่าสองตระกูลที่กำลังจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ตอนนี้กลับทะเลาะกันเสียเอง” คำพูดของเบลซที่กล่าวขัดแย้งกับหัวใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
จากอุปนิสัยของเขา จะมาเป็นฝ่ายขอสงบศึกกับเทาเท่ได้อย่างไร นอกเสียจากว่าเทาเท่จะยังเป็นเพี้ยล่าง
ในเมื่อเขาอยากรั้งเทาเท่ไว้ หากมีเรื่องทะเลาะกันคงไม่เกิดผล ดังนั้นจึงทำได้เพียงมาขอสงบศึก
เบลซทำตัวผิดปกติ ทำให้เทาเท่ระแวดระวังมากขึ้นทันที
เขารู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของเบลซดี และแน่นอนว่าเขาไม่เชื่อว่าเบลซจะต้องการสงบศึกอย่างจริงใจ
แต่ถ้าเบลซไม่ได้มาขอสงบศึกจริงๆ แล้วทำไมถึงโทรมาหาเขาและพูดจาแบบนี้
หลินจือ!
เทาเท่นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าหลินจือออกไปซื้อของข้างนอก เบลซคงจงใจโทรมารั้งเขาไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ซูซีลงมือกับหลินจือ
ย่อมรู้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลินจือ ร้อยทั้งร้อยเธอต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขา แต่ถ้าหากเขายังถูกเบลซรั้งเอาไว้แบบนี้?
เทาเท่ไม่กล้าคิดไปไกล เขาไม่สนใจเบลซแล้ววางสายทันที พร้อมกับใบหน้าคิดหนัก
เขาโทรหาหลินจือก่อนเป็นอันดับแรก แต่กลับไม่มีใครรับสาย
หัวใจของเทาเท่หวาดกลัว มือที่ถือโทรศัพท์สั่นเทาเล็กน้อย แต่เขาก็สงบลงได้ในวินาทีต่อมา
เพราะตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวในหัวของเขา นั่นก็คือ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับหลินจือ เขาจะไม่ทอดทิ้งเธอเด็ดขาด
ควีนที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเทาเท่ จึงรีบถามขึ้นทันที “คุณเทาเท่ เกิดอะไรขึ้นครับ”
เมื่อเทาเท่เงยหน้าขึ้นมอง ควีนพลันตกใจกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากสายตาของเขา
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลินจือ” เทาเท่สั่งการเงียบๆ “ติดต่อจอนห์และตรวจสอบว่าเธออยู่ที่ไหน”
“รับทราบครับ” ควีนโทรหาจอนห์ทันที ขณะที่เทาเท่รีบร้อนออกไปพร้อมกับกุญแจรถ
เขาสาบานเลยว่า หากเบลซและซูซีกล้าแตะต้องหลินจือแม้แต่ปลายเล็บ เขาจะทำให้ชีวิตของพวกมันทั้งสองเหมือนตายทั้งเป็น
หลินจือขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุด แต่หลังจากรถจอดสนิทแล้วก้าวลงจากรถ ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น ใครบางคนแอบซุ่มดักตีต้นคอเธอจากด้านหลัง จนหลินจือเป็นลมหมดสติไป
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อตื่นขึ้นมา ก็พบว่าอยู่ในห้องพักของโรงแรม
หลินจือรู้สึกได้ชัดเจนว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเธอ ปากของเธอแห้งและร้อนผ่าว
เธอพยายามลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล แต่กลับไม่มีแรง แม้จะยกแขนขึ้นยังทำไม่ได้
เธอเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองวางอยู่บนตู้ที่ปลายเตียง โทรศัพท์ของเธออยู่ในนั้น แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้เลย