บทที่ 637 : ปัญหาของน้องชาย!
“พี่หยุน.. ฉันมีเรื่องจะบอกกับพี่..”
ระหว่างรับประทานหารเช้า ตี้เสี่ยวอู๋ก็ยกมือขึ้นเกาศรีษะเก้ๆกังๆอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจพูดกับหลิงหยุน
หลิงหยุนมองร่างใหญ่โตเกือบสองเมตรของตี้เสี่ยวอู๋ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสาวน้อยขี้อาย กล้าๆกลัวๆ ก็ได้แต่หัวเราะแล้วพูดไปว่า
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน.. นายมีอะไรก็พูดมาตรงๆ จะคิดอะไรมากมาย?”
เมื่อก่อนนี้ ทั้งถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็พูดคุยกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนเพื่อน เหมือนพี่ชายน้องชาย แต่หลังจากที่ทั้งคู่ได้เห็นความสามารถที่เหนือมนุษย์ของหลิงหยุนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าทั้งคู่จะยังมองเขาด้วยสายตาเคารพรัก และมองเขาเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งก็ตาม แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แอบแฝงอยู่ในแววตาของทั้งคู่อยู่เสมอ นั่นก็คือ.. ความหวาดกลัว!
หลิงหยุนเข้าใจดีว่า.. มันเป็นความหวาดกลัวจับจิตจับใจ และทั้งคู่ก็มองเขาราวกับเขาเป็นเทพเจ้า หลิงหยุนไม่ชอบสายแบบนี้ของน้องชายเขาทั้งสองคน เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าพวกเขาจะไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้อีก
หลิงหยุนนั้นดีกับถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋มาก พวกเขาทั้งคู่เปรียบเสมือนพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขา อีกทั้งตอนนี้คนหนึ่งก็รับผิดชอบธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ส่วนอีกคนก็รับผิดชอบธุรกิจที่เป็นสีเทา และจนถึงตอนนี้หลิงหยุนเองก็ไม่เคยไปถามถังเมิ่งว่าธุรกิจของเขานั้นมีกำไรเท่าไหร่แล้ว? และไม่เคยเข้าไปยุ่งกับธุรกิจของแก๊งมังกรเขียวเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะสอบถามด้วยซ้ำไป!
ในคืนวันเชงเม้งนั้น ทั้งสามคนได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ทั้งหมดต่างก็เป็นชีวิตของกันและกัน ในสายตาของคนอื่นๆ อาจจะมองเห็นอย่างอื่นเป็นสิ่งมีค่า แต่ในสายตาของพวกเขาทั้งสามคนนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของอีกสองคน..
การที่หลิงหยุนปล่อยให้ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ทำงานแทนเขานั้น คนนอกอาจจะมองด้วยอคติว่า หลิงหยุนนั้นทำตัวเป็นลูกพี่ที่คอยสั่งให้ลูกน้องอย่างถังเมิ่ง และตี้เสี่ยวอู๋ทำงานถวายชีวิตให้กับตนเอง
ยกตัวอย่างเช่น.. ในคืนก่อนพิธีเปิดคลินิกนั้น เจ้าหนูซึ่งเป็นหนึ่งในห้าหนุ่มเพลย์บอยเพื่อนของถังเมิ่ง ก็ได้พูดกับถังเมิ่งทำนองว่า เขาทำตัวไม่ต่างจากสุนัขรับใช้ของหลิงหยุน
แต่ก็มีเพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และมีความหมายที่สุดสำหรับพวกเขา และมันจะนำประโยชน์สูงสุดมาสู่พวกเขาทั้งสามคนด้วยเช่นกัน!
คนเรานั้นจะสามารถเลือกกระทำได้เพียงครั้งละหนึ่งอย่างเท่านั้น ดังนั้นคุณจึงต้องเลือกว่าในเวลานั้นๆคุณจะเลือกไปดื่มกิน เล่นเกมส์ และสนุกสนานไปวันๆ หรือเลือกที่จะตั้งใจเรียน หรือตั้งใจทำงาน?
อย่างเช่นเมื่อวานนี้ที่ถังเมิ่งติดตามเขาไปที่ตลาดค้าของเก่า เขาก็ได้ประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องหินที่ได้กำไรอย่างมหาศาล และความรู้เรื่องการทำธุรกิจ ส่วนตี้เสี่ยวอู๋นั้น ก่อนฟ้าสางเมื่อคืนนี้เพียงแค่สองชั่วโมง เขาก็สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-4 แล้ว เรียกได้ว่าเข้าสู่การฝึกบ่มเพาะอย่างแท้จริงแล้ว
แล้วดูสิ่งที่เพื่อนๆเพลย์บอยทั้งห้าคนของถังเมิ่งทำเมื่อวานนี้? มีประโยชน์อะไรบ้าง? ตันตันก็ยังคงเล่นเกมส์อยู่ที่บ้านไม่ออกไปใหน เจ้าหนูและพี่เฟยก็ยังคงหาที่เที่ยว ที่ดื่ม และที่กินไปวันๆ ทางด้านเสี่ยวเจี๋ยก็ยังวนเวียนอยู่แต่เรื่องผู้หญิง ส่วนอาปิงก็เอาแต่เพ้อฝัน และไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถของตนเอง
ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋นั้นเข้าใจในเรื่องนี้ดี พวกเขาจึงตัดสินใจติดตามหลิงหยุนด้วยความเต็มใจ เพราะพวกเขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ และมีความสุขที่ได้ติดสอยห้อยตามหลิงหยุน อีกทั้งยังมีอนาคต!
ในขณะที่เพื่อนๆของถังเมิ่งทั้งห้าคนยังคงเล่นสนุกไปวันๆ แต่ถังเมิ่งกลับมีโอกาสได้พบปะกับคนระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทปิโตรไชน่า บริษัทไชน่าโมบายล์ และแม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารใหญ่ๆหลายแห่ง ยังมีซ่งเจิ้งหยาง มู่หลงเวิ่นฉี เซียนหยกอีก ถังเมิ่งติดตามหลิงหยุนได้เพียงแค่สองเดือน แต่กลับก้าวหน้าไปไกลกว่าหนุ่มเพลย์บอยทั้งห้าคนหลายสิบเท่า!
ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉายิ่งนัก?!
แต่ด้วยความศักยภาพที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุน ทำให้ทั้งสองคนมองหลิงหยุนไม่ต่างจากเทพเจ้า และไม่กล้าตีเสมอหลิงหยุนอีก
ถังเมิ่งนั้นไม่เท่าไหร่.. แต่สำหรับตี้เสี่ยวอู๋นั้น หลิงหยุนยังเป็นอาจารย์ที่คอยสอนวิชาให้กับเขาอีกด้วย!
ดังนั้น.. ตี้เสี่ยวอู๋จึงเคารพและหวาดกลัวหลิงหยุนยิ่งกว่าอะไรเสียทั้งหมด เขาได้มอบกายถวายชีวิตให้กับหลิงหยุนไปแล้ว และหากเขามีมากกว่าหนึ่งชีวิต ก็คงจะไม่ลังเลที่จะมอบให้กับหลิงหยุนอีกเช่นกัน!
เหตุผลในข้อนี้ หลิงหยุนเองเข้าใจดี แต่เขาไม่สามารถบีบบังคับอะไรได้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นความรู้สึกเคารพ แต่ไม่ใช่เย็นชา!
“พี่หยุน.. ฉันไม่อยากเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว! ฉันรู้สึกว่ามันเป็นงานที่ต้องทุ่มเท จนฉันไม่สามารถมีสมาธิในการฝึกวรยุทธ ฉันอยากจะทุ่มเทร่างกายและจิตใจให้กับการฝึกวรยุทธอย่างเดียว!”
“และด้วยนิสัยของฉัน.. ฉันเหมาะกับการชกต่อยมากกว่าที่จะไปดูแลบริหารกิจการใหญ่ๆ คือฉัน..”
ตี้เสี่ยวอู๋ดูเหมือนจะอัดอั้นตันใจอย่างมาก เขาพูดออกมารวดเดียวจนจบ..
หลังจากที่ได้ฟังตี้เสี่ยวอู๋ระบายความในใจออกมาจนหมดแล้ว หลิงหยุนเองก็ถึงกับหัวเราะเสียงดัง เขารู้ดีว่าการให้ตี้เสี่ยวอู๋ขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวนั้น ไม่ต่างจาการสอนนกให้ว่ายน้ำ มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญสำหรับเขาอย่างมาก!
เพระแก๊งมังกรเขียวนั้นมีธุรกิจที่อยู่ในการครอบครองมากมาย ซึ่งมีทั้งธุรกิจสีเทา สีดำ และสีขาวปะปนกันไป และรายได้ที่เข้ามาก็ไม่ธรรมดาเลย หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวได้รับรายได้อย่างน้อยๆก็สามร้อยล้านต่อปี นี่ยังไม่รวมถึงฐานะ และอำนาจอิทธิพลที่มีอยู่ในมือ
สิ่งเหล่านี้ต้องการคนที่มีอำนาจและรอบรู้จริงๆ ไม่ใช่คนที่เข้าใจกฏเกณฑ์ของโลกสีเทาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจในเรื่องของการต่อรอง และการบริหารจัดการธุรกิจอีกด้วย และยังต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจมั่นคงเยือกเย็น ไม่ใช่คนที่ใช้แต่อารมณ์ อีกทั้งการมีลูกน้องอยู่หลายร้อยคนนั้น ก็ต้องมีเวลาเพียงพอที่จะดูแลเอาใจใส่พวกเขาด้วย
ตี้เสี่ยวอู๋นั้นหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ เขาชื่นชอบการต่อสู้ และการฝึกวรยุทธเป็นชีวิตจิตใจ หลังจากที่เห็นว่าหลิงหยุนเก่งกาจสามารถมากเพียงใด และเขาก็ยังอยู่ห่างไกลหลิงหยุนอย่างมาก เขาจึงไม่ต้องการเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวอีก
ดังนั้น.. วันนี้ตี้เสี่ยอวู๋จึงได้ฉวยโอกาสนี้บอกความต้องการของตนเองให้หลิงหยุนได้ทราบ
“แต่.. จะให้คนอื่นดูแล ฉันก็ไม่ไว้ใจ..”
“พี่หยุน.. ฉันคิดว่าถังเมิ่งน่าจะทำงานพวกนี้ได้ ให้เขาเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวจะดีกว่า..” แววตาของตี้เสี่ยวอู๋คมกริบราวกับดวงตาเหยี่ยว
หลิงหยุนหัวเราะ.. “ถังเมิ่งนี่นะ? นี่นายจะให้ถังเมิ่งดูแลลูกน้องแก๊งมังกรเขียวหลายร้อยคนนี่นะ?!”
“ฉันจะบอกอะไรให้.. ถ้านายถามก่อนหน้านี้ ถังเมิ่งคงรีบตอบรับเพราะเขาอยากได้เงินสามร้อยล้านของแก๊งมังกรเขียว แต่นายมาถามตอนนี้.. ไม่มีทาง!”
หลิงหยุนเองก็มั่นใจว่าถังเมิ่งนั้นจะสามารถเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวได้ แต่หลิงหยุนได้วางตัวถังเมิ่งไว้แล้ว และไม่ต้องการให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจสีดำให้แปดเปื้อน
ยิ่งไปกว่านั้น คลินิกของหลิงหยุนก็เปิดแล้ว และมันก็จะเป็นแหล่งทำเงินจำนวนมหาศาลของเขา อีกทั้งเมื่อวานนี้ที่ตลาดค้าของเก่า เขาก็ได้หินหยกดิบมามากมาย เพียงแค่เรื่องนี้ถังเมิ่งเองก็คงจะวุ่นจนหัวหมุน และจะเอาเวลาที่ใหนไปดูแลแก๊งมังกรเขียวได้อีก?
จุดมุ่งหมายสูงสุดของถังเมิ่งนั้นก็คือ การเปลี่ยนทรัพย์สินจำนวนมากของหลิงหยุนให้เป็นห่วงโซ่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากไม่เกี่ยวกับเรื่องการสร้างห่วงโซ่ทางธุรกิจนี้ ถังเมิ่งคงจะไม่สนใจและไม่อยากยุ่งอย่างแน่นอน!
แต่ถึงอย่างนั้น ถังเมิ่งเองก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบแปดปีเท่านั้น แม้เขาจะเป็นคนที่มีแหล่งข่าวที่แม่นยำ แต่ก็นับว่าประสบการณ์ยังน้อยเกินไป คงไม่สามารถที่จะดูแลทรัพย์สินจำนวนมากของหลิงหยุนได้!
หลิงหยุนมั่นใจว่าไม่เพียงตี้เสี่ยวอู๋ที่จะพูดกับเขาในวันนี้ แต่อีกไม่นานถังเมิ่งเองก็คงจะร้องห่มร้องไห้มาหาเขาอย่างแน่นอน และดูท่าถังเมิ่งจะมีปัญหามากกว่าตี้เสี่ยวอู๋เสียอีก
เมื่อเห็นสายตาที่ตี้เสี่ยวอู๋จ้องมองเขา หลิงหยุนก็ได้แต่สงบจิตสงบใจและบอกกับตี้เสี่ยวอู๋ไปว่า
“เสี่ยวอู๋.. นายทนไปอีกหน่อยก็แล้วกัน รอให้ฉันหายยุ่งก่อน แล้วฉันจะไปช่วยนายเอง!”
หลิงหยุนยังไม่มีตัวเลือกที่จะมาแทนตี้เสี่ยวอู๋ได้ในเวลานี้..
“พี่หยุน.. พี่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดนะ ฉันอยากจะทุ่มเทให้กับการฝึกวรยุทธ..” ตี้เสี่ยวอู๋ทำหน้าตาขมขื่นและวิงวอนหลิงหยุน
“ได้.. ฉันจะพยายามจัดการให้เร็วที่สุด..”
หลิงหยุนรู้ว่าตี้เสี่ยวอู๋ได้มาถึงจุดที่ทนไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงได้แต่พยักหน้าและให้สัญญาก่อนจะถามต่อว่า
“เสี่ยวอู๋ นายต้องตอบฉันมาจากใจ.. นายอยากจะสอบเอนทรานซ์มั๊ย? แล้วอยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า?”
หากตี้เสี่ยวอู๋ตอบว่าต้องการ หลิงหยุนจะหาวิธีให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้อย่างแน่นอน และแม้แต่เข้ามหาวิทยาลัยหยางจิงที่เดียวกับเขา
ตี้เสี่ยวอู๋รีบโบกมือปฏิเสธอย่างหวาดกลัว “ไม่เอาๆ! ให้ฉันตายดีกว่า.. ฉันไม่ยอมไปสอบเทนทรานซ์แน่!”
“พี่หยุน.. ตอนนี้ฉันไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากฝึกวรยุทธอย่างเดียว แล้วเมื่อไหร่ที่พี่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉันจะไปทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้พี่เอง..”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับสำลัก “นายนี่มันจริงๆ! ให้เป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวก็ไม่เอา แต่อยากเป็นคนขับรถให้ฉันนี่นะ..”
ตี้เสี่ยวอู๋ยิ้มและตอบไปว่า “เป็นคนขับรถให้พี่หยุนไปตลอดชีวิตคือความใฝ่ฝันของฉัน!”
หลิงหยุนได้ฟังแล้วถึงกับหัวเราะ แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยให้ตี้เสี่ยวอู๋เป็นคนขับรถให้กับเขาไปชั่วชีวิตแน่ เมื่อไหร่ที่เขาเข้าสู่ชั้นพลังชี่-4 เขาก็จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ และสามารถเหาะไปในที่ไกลๆได้ อย่าน้อยก็สามารถเหาะไปรอบๆเมืองจิงฉูได้ถึงสองรอบ
“ในเมื่อนายไม่อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็จะไม่เลือกเส้นทางชีวิตนี้ให้กับนาย จะปล่อยให้นายได้ฝึกวรยุทธจนถึงขั้นสูงสุดเท่าที่นายจะสามารถฝึกได้!”
ตี้เสี่ยวอู๋เห็นว่าวันๆหลิงหยุนมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ยังมีแก่ใจนึกเป็นห่วงเขาเรื่องการสอบเอนทรานซ์ จึงได้แต่รู้สึกซาบซึ้งใจ
ช่างเป็นพี่ชายที่ควรค่าให้เขาตายแทนได้เป็นร้อยเป็นพันครั้งจริงๆ!
“พี่หยุน.. ฉันจะตั้งใจฝึกฝน!” ตี้เสี่ยวอู๋บอกหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันเชื่อว่านายทำได้!” หลิงหยุนตอบกลับด้วยสีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเต็มร้อย
ใครกันที่จะมาเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแทนตี้เสี่ยวอู๋? หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ
หลิงหยุนนึกถึงเตาหยง แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่เหมาะสม ในเมื่อยังนึกหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมยังไม่ได้ หลิงหยุนจึงเลิกคิดเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว
“นายกินอิ่มหรือยัง?”
“อิ่มแล้ว!”
“ถ้างั้นฉันก็จะไปโรงเรียนแล้ว ส่วนนายก็ไปทำธุระของนาย ถ้าอยากจะฝึกวรยุทธก็ลืมเรื่องอื่นไปให้หมด แล้วไปฝึกที่บ้านเลขที่-1 ที่นั่นจะช่วยให้วรยุทธของนายก้าวหน้าได้เร็วขึ้น!”
“ครับพี่หยุน..”
จากนั้นทั้งสองคนก็ลุกขึ้นและเดินออกไป