บทที่ 638 : เปิดสมุดจักรพรรดิ!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 638 : เปิดสมุดจักรพรรดิ!

หลิงหยุนหาสถานที่เงียบสงบใกล้โรงเรียนมัธยมจิงฉู เขาจอดรถไว้ด้านนอกแล้วเดินเข้าไปในโรงเรียน แต่แทนที่จะเข้าไปในทางประตูใหญ่ หลิงหยุนกลับแอบปีนกำแพงเข้าไปแทน

“เฮ้อ.. มาโรงเรียนทั้งทีแต่กลับต้องปีนเข้าไปราวกับขโมย..”

หลิงหยุนกระโดดลงไปตรงสนามกีฬาของโรงเรียน เพราะเป็นจุดที่ใกล้กับห้องเรียนของเขามากที่สุด และเมื่อเห็นนักเรียนคนอื่นๆกำลังวิ่งอยู่ในสนามก็รู้สึกผิดหวัง

ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ไปถล่มห้องทำงานของครูใหญ่มา หลิงหยุนก็ไม่เคยเข้าเรียนอีกเลย และนี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่าหนึ่งเดือนที่เข้าหายหน้าหายตาไป

วันนี้เป็นวันที่ 22 พฤษภาคมพอดี.. ยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงวันสอบเอนทรานซ์ และภายในเวลาสองอาทิตย์นี้ หลิงหยุนจะต้องมาโรงเรียนทุกวัน

ฉางหลิงได้บอกกับเขาไว้ว่า ในการสอบเอนทรานซ์นั้น ไม่ได้มีข้อสอบที่ต้องอาศัยการจดจำเพียงอย่างเดียว แม้ว่าห้องนี้จะเป็นสายศิลป์ แต่ก็มีวิชาภาษาอังกฤษที่ต้องมีทั้งการสอบฟัง การอ่านทำความเข้าใจในเนื้อเรื่อง มีวิชาประวัติศาสตร์และการเมืองที่จะถามในเรื่องของความเข้าใจ และให้นักเรียนวิเคราะห์ออกมา

ปัญหาของหลิงหยุนนั้นไม่ใช่เรื่องของความจำ แต่เป็นเรื่องของการจดจำได้มาก แต่กลับไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ในการสอบได้อย่างไร?

ยกตัวอย่างเช่น ข้อสอบอัตนัยที่ต้องการให้นักเรียนเขียนอธิบาย หรือแสดงความคิดเห็น หากหลิงหยุนไม่สามารถเข้าใจ หรืออธิบายอะไรได้ ก็คงต้องได้คะแนนเป็นศูนย์ในข้อนั้นๆอย่างแน่นอน

และการที่จะเขียนคำตอบนั้น ก็ใช่ว่าจะเขียนอะไรตามที่ตนเองคิดก็ได้ แต่ต้องตอบให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่เรียนมาด้วยจึงจะได้คะแนน

หลิงหยุนเข้าใจในเรื่องนี้ดี เขาจึงต้องมาโรงเรียนทุกวันภายในเวลาสองอาทิตย์ที่เหลือนี้..

หลิงหยุนไม่สนใจสายตาและสีหน้าที่ทั้งตกใจและประหลาดใจของนักเรียนที่อยู่ในสนาม เขาเดินผ่านสนามกีฬาไปอย่างด้วยท่าทีสงบนิ่ง และเดินตรงไปทางบันไดขึ้นไปยังห้องเรียนของตนเองทันที

“หลิงหยุนมาเรียนแล้วเหรอ!”

นักเรียนทั้งห้องเมื่อได้เห็นหลิงหยุนกลับมาเรียนก็พากันร้องตะโกน ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และมองไปทางหลิงหยุน

เมื่อหลิงหยุนมาถึง ก็ยืนอยู่ส่งยิ้มมหาเสน่ห์ของตนเองอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนให้กับเพื่อนๆในห้อง พร้อมกับมองไปทางเหมี่ยวเสี่ยวเหมา หลงหวู่ ฉางตง ไฉฮั่นหลิน กู่หยวนหลง ซาเก้าจิ้ง และเจี่ยเมิ่ง

ความจริงแล้วเพื่อนนักเรียนในห้องของหลิงหยุนมีมากกว่าสี่สิบคน แต่เขากลับรู้จักชื่อเพื่อนเพียงแค่นี้

เมื่อหลิงหยุนสอดส่ายสายตาไปทั่วทั้งห้องแล้ว หลิงหยุนก็มาหยุดอยู่ที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมา ฉางหลิง และหลงหวู่ และทักทายพวกเธอทุกคนด้วยกระแสจิต

จากนั้นหลิงหยุนก็กลับไปนั่งที่โต๊ะมุมห้องท้ายสุดของตนเอง เขาค่อยๆเบียดร่างผ่านแผ่นหลังของหลงหวู่เข้าไป

แต่แล้วหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจสุดขีด!

“นี่.. นี่มันอะไรกัน?”

หลิงหยุนก้มมองในลิ้นชักโต๊ะเรียนของตัวเองที่ตอนนี้อัดแน่นไปด้วยซองจดหมายเต็มไปหมด จนไม่มีที่ว่างเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว จึงได้แต่ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

หลงหวู่ตอบยิ้มๆ “นายนี่โง่จริงๆ! นั่นน่ะเป็นจดหมายรักที่บรรดาสาวๆส่งให้นาย..”

“ห๊ะ..!”

หลิงหยุนถึงกับงุนงง และได้แต่คิดในใจว่า ‘มีเรื่องแบบนี้บนโลกใบนี้ด้วยหรือนี่?! หากชื่นชอบข้าก็มาบอกข้าตรงๆ เหตุใดจึงต้องเขียนจดหมายรักให้ยุ่งยากแบบนี้..’

“นี่หลงหวู่.. แล้วทำไมคุณโยนทิ้งไปล่ะ?” หลิงหยุนถามอย่างนึกแปลกใจที่หลงหวู่ไม่มีทีท่าหึงหวงเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับแอบคิดว่านี่พระอาทิตย์คงจะขึ้นทางตะวันตกสินะ!

หลงหวู่ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้ายั่วยวน “จดหมายรักพวกนั้นคนเขียนเขียนด้วยความตั้งใจ ใครจะกล้าเอาไปทิ้งล่ะ! คนให้คงเสียใจแย่..”

หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าพร้อมกับเหงื่อเริ่มตก เขากวดจดหมายรักพพวกนั้นเข้าไปในแหวนพื้นที่ทันที ไม่มีตกหล่นแม้แต่ฉบับเดียว!

หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ พร้อมกับกวาดเอากองจดหมายรักทั้งหมดเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่จนไม่เหลือแม้แต่ฉบับเดียว

เมื่อเห็นเช่นนั้น.. สีหน้าของหลงหวู่ก็เปลี่ยนไปทันที เธอเอื้อมมือไปหยิกเนื้อที่เอวของหลิงหยุนพร้อมกับพูดเสียงออกไรฟัน

“นี่นายรับจดหมายรักพวกนั้นไว้หมดจริงๆน่ะเหรอ.. ห๊ะ?!”

“ก็คุณบอกเองว่า จดหมายรักพวกนี้ คนเขียนเขียนด้วยตั้งใจ..” หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ

“คอยดู.. ฉันจะคิดบัญชีกับนายเย็นนี้!” หลงหวู่เหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องบอกว่า “รีบๆ อ่านหนังสือร็วเข้า”

และในวันที่เริ่มต้นเรียนอีกครั้งของหลิงหยุนนั้น เขาใช้ทั้งพลังจากจิตหยั่งรู้พร้อมด้วยเนตรหยินหยางควบคู่กัน ทำให้การอ่านของเขานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และอย่างน่าอัศจรรย์ เขาสามารถจดจำได้ไม่ลืมแม้แต่คำเดียว

หลงหวู่ไม่รู้ว่าหลิงหยุนมีจิตหยั่งรู้และเนตรหยินหยางที่ไม่ต่างจากเครื่อเอ๊กซเรย์ จึงมองว่าหลิงหยุนไม่ตั้งใจอ่านหนังสือ เธอจึงร้องขึ้นอย่างหมดความอดทน

“นี่.. นายอ่านลวกๆแบบนี้จะมีอะไรเข้าสมอง!?”

จะไม่ให้หลงหวู่โกรธได้อย่างไร ในเมื่อหลิงหยุนทำราวกับเปิดหนังสือผ่านๆ  หนังสือทั้งหมดรวมแล้วกว่าสามร้อยหน้า แต่หลิงหยุนกลับใช้เวลาอ่านเพียงแค่ยี่สิบนาที จากนั้นก็โยนหนังสือไปไว้ข้างโต๊ะอย่างไม่สนใจแล้ว

“ผมอ่านจนจบหมดแล้ว ไม่เชื่อคุณก็ลองถามผมดูสิ แล้วดูว่าผมตอบได้มั๊ย?”

หลิงหยุนหันไปมองหลงหวู่ และยิ้มให้อย่างมั่นอกมั่นใจ!

หลงหวู่ไม่เชื่อ.. เธอจึงหยิบหนังสือสองสามเล่มออกมาสุ่มเปิดไปบางหน้า และเริ่มถามหลิงหยุน แต่คำตอบของหลิงหยุนกลับทำให้หลงหวู่ถึงกับตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ต่างจากการที่หลิงหยุนเลือกหินดิบเมื่อวานนี้ เขาตอบไม่ผิดแม้แต่คำเดียว เรียกได้ว่าไม่ผิดแม้แต่เครื่องหมายวรรคตอนด้วยซ้ำไป

“ในเมื่อนายอ่านหนังสือหมดทุกเล่มแล้ว ก็เอานี่ไปอ่านซะ! นี่เป็นข้อสอบเก่าๆ และคำตอบที่ฉันเตรียมมาไว้ให้นาย”

เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนอ่านหนังสือที่อยู่บนโต๊ะจนหมดแล้ว หลงหวู่จึงหยิบเอาข้อสอบเก่าๆ พร้อมคำตอบจากการสอบเอนทรานซ์ครั้งผ่านๆมาที่เธอได้เตรียมไว้ มาให้หลิงหยุนอ่านแทน

“ห๊ะ.. นี่มันอะไรกัน?” หลิงหยุนถึงกับงุนงง

…….

สองสามวันที่ผ่านมานี้ หลงหวู่ไปที่ร้านหนังสือ

ทุกวันหลงหวู่จะไปที่ร้านหนังสือชวี่เหยีวน จัดการหาข้อสอบเอนทรานซ์เก่าๆ มาเตรียมไว้ให้หลิงหยุน เรียกได้ว่าเตรียมมาจนหมดทั้งร้านเลยก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็สามารถจดจำได้หมด

ไม่ใช่หลงหวู่เพียงคนเดียวที่ทำเช่นนั้น แต่ยังมีฉางหลิง ครูประจำชั้นของเขา – กงเสี่ยวลู่ แม้กระทั่งหนิงหลิงยู่ ทุกคนต่างก็เตรียมข้อสอบวิชาต่างๆ มาให้หลิงหยุนอ่านมากมายไปหมด จนตอนนี้หลิงหยุนไม่ต่างเครื่องจักรที่น่าเห็นใจ

แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ปฏิเสธ และไม่ว่าใครต้องการจะให้เขาอ่านอะไร หรือต้องการสอนอะไรให้กับเขา หลิงหยุนก็ยินดีที่จะเรียนรู้ทั้งหมด

หลิงหยุนไม่ปฏิเสธที่จะรับความรู้เหล่านี้ไว้ทั้งหมด เพื่อที่เขาจะได้ทำคะแนนในการสอบเอนทรานซ์ให้ได้สูงที่สุด และหลังจากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว เขาก็ตั้งใจที่จะลบความรู้ขยะพวกนี้ออกจากสมองของเขาทั้งหมดทันทีเช่นกัน

………..

และนับแต่วันนั้น การเข้าเรียนก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของหลิงหยุนไปโดยปริยาย แต่หลังจากกลับไปเรียนได้เพียงแค่สี่วัน เขาก็ได้ยินข่าวลับๆระหว่างรองครูใหญ่ทั้งสองคน – เจี้ยวเฟิ่งหัว และหวังเว่ยเฉิง

หลิงหยุนจึงแอบสืบหาความจริง และดูเหมือนว่าทั้งคู่จะโชคร้ายมาก เพราะหลิงหยุนจับได้คาหนังคาเขาที่ทั้งคู่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียงของรองครูใหญ่เจี้ยวเฟ่งหัว

ได้เรื่อง!

หลิงหยุนรีบโทรเรียกถังเมิ่งให้มาถ่ายคลิปวีดีโอที่ทั้งคู่มีสัมพันธ์กันไว้ และนำไปโพสลงในอินเทอร์เน็ตจนโกลาหลอลหม่านกันไปทั้งโรงเรียน!

รองครูใหญ่ทั้งสองคนถูกหลิงหยุนทำลายชื่อเสียงย่อยยับ จนต้องลาออกจากการเป็นครูในโรงเรียนมัธยมจิงฉู และเรื่องนี้เสียเจิ้นติงกับหลู่เจิ้งเทียนก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

และแน่นอนว่า.. กงเสี่ยวลู่ก็ต้องรับตำแหน่งรองครูใหญ่รองลงมาจากครูใหญ่จางแทนคนทั้งคู่ไปอีกหนึ่งตำแหน่ง

แต่ถึงกระนั้น ตำแหน่งรองครูใหญ่ของกงเสี่ยวลู่ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเป้าหมายของหลิงหยุนคือการทำให้กงเสี่ยวลู่ได้นั่งในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษามืองจิงฉู

และหลิงหยุนเองก็ได้ทำตามที่รับปากไว้กับครูใหญ่จาง คือการไปเยี่ยมเยียนเขาที่บ้าน และได้ใช้โอกาสนั้นช่วยรักษาอาการสายตาสั้น และโรคปวดคอให้กับเขาด้วย ทำให้ครูใหญ่จางซาบซึ้งในตัวหลิงหยุนอย่างมาก

ส่วนเรื่องโรคหวาดกลัวผู้ชายของกงเสี่ยวลู่นั้น ดูเหมือนว่าจะหายดีแล้ว แต่เธอกลับไม่ยินยอมให้หลิงหยุนเข้าใกล้ และสัมผัสตัวเธออีก แต่นั่นไม่น่าจะเกิดจากโรคหวาดกลัวผู้ชาย..

หลังจากวันเปิดคลินิกสามัญชนแล้ว ก็ดูเหมือนจะเกิดช่องว่างระหว่างหลิงหยุนกับกงเสี่ยวลู่ขึ้น แต่ความห่างเหินนี้ไม่ใช่ปัญหาของหลิงหยุน แต่มันคือปัญหาของกงเสี่ยวลู่เอง

หลิงหยุนรู้ดีว่านับจากวันเปิดคลินิกเป็นต้นมา กงเสี่ยวลู่คงจะรู้สึกว่าตนเองนั้นต่ำต้อย แต่เธอไม่ยอมจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง ระหว่างที่อยู่ในห้องเรียนนั้น เธอก็จะแอบมองหลิงหยุนอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อสบตาหลิงหยุน เธอก็จะรีบหลบทันทีราวกับกระต่ายที่ตื่นกลัว หลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับคิดในใจว่า

‘ไว้ให้สอบเอนทรานซ์เสร็จก่อน แล้วค่อยว่ากัน..’

ในคืนวันศุกร์ หลิงหยุนได้ใช้พลังทั้งหมดไปกับการแบกหินมังกรเขียว จนถึงตอนนี้เขายังไม่ฟื้นตัวดีเลย..

ตรงข้ามกับเหล่ากุ่ยที่หลังจากได้รับการรักษาจากหลิงหยุนครั้งสุดท้ายจนหายดีแล้ว อีกทั้งยังได้ดื่มน้ำลายมังกรไปถ้วยใหญ่ ก็ทำให้เขาสามารถก้าวสู่ขั้นเซียงเทียน-1 ได้เต็มขั้นเสียที!

เหล่ากุ่ยต้องติดอยู่ระหว่างขั้นโฮ่วเทียน-9 ที่กำลังจะแตะระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-1  อยู่นานถึงสิบแปดปี แต่เมื่อได้รับการรักษาจากหลิงหยุนจนหายดีแล้ว ก็ไม่ต่างจากต้นไผ่ที่กำลังแตกหน่อ และสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-2 ได้ในเวลาอันรวดเร็ว!

ดังนั้นเหล่ากุ่ยจึงนับว่าเป็นคนในตระกูลหลิงคนแรกที่มีกำลังภายในเหนือกว่าลุงของหลิงหยุน – หลิงเจิ้น ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันเสียอีก

และด้วยความที่เหล่ากุ่ยเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ และชื่นชอบในการใช้กระบี่เป็นอาวุธ หลิงหยุนจึงได้สอนเพลงกระบี่ปราบเทวะให้ เพื่อให้เพลงกระบี่ของเหล่ากุ่ยทรงพลังมากยิ่งขึ้น

และในช่วงเวลานี้ หลิงหยุนก็เริ่มฝึกฝนตามคัมภีร์เสวียนหวง และเริ่มสัมผัสได้ว่าภายในร่างกายของเขานั้นมีทั้งลมปราณสีเหลือง และลมปราณสีดำเกิดขึ้น!

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลิงหยุนฝึกตามคัมภีร์เสวียนหวงจนเกิดลมปราณสีดำ และสีเหลืองขึ้นภายในร่างกายจำนวนมาก แล้วลมปราณทั้งสองชนิดนี้ก็สามารถส่งผลบางอย่างกับสมุดจักรพรรดิได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!

และเมื่อหลิงหยุนลองเดินลมปราณสีเหลืองและสีดำนี้ดู เขากลับรู้สึกเหมือนว่าสมุดจักรพรรดิกำลังเปิดออก!