บทที่ 639 : ภารกิจก่อนสอบเอนทรานซ์!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 639 : ภารกิจก่อนสอบเอนทรานซ์!

“นับว่าเป็นโชคดีของข้าจริงๆ! คัมภีร์เสวียนหวงนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาพลังลับหยินหยางเลยแม้แต่น้อย และไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีผลกับสมุดจักรพรรดิ!”

การค้นพบครั้งนี้ทำให้หลิงหยุนมีความสุขอย่างมาก แต่ก็ความสงสัยอยู่มากมายเช่นกัน!

“ตระกูลหลิงไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดมาจากตระกูลจอมยุทธโบราณไม่ใช่รึ? เหตุใดจึงมีวิชาบ่มเพาะพลังที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ด้วย? อีกทั้งยังมีมรดกตกทอดเป็นต้นหลิวเทวะด้วย..”

เวลานี้ หลิงหยุนได้นำต้นหลิวเทวะจากบ้านในอ่าวจิงฉูมาเก็บไว้ในแหวนพื้นที่เรียบร้อยแล้ว

สิ่งที่ฉินจิวยื่อได้ทิ้งไว้ให้หลิงหยุนก่อนออกเดินทางก็คือต้นหลิวเทวะเช่นกัน ต้นหลิวเทวะที่นางมอบให้กับหลิงหยุนนั้น มีลักษณะ ขนาด และความยาวเหมือนกับต้นหลิวเทวะที่เหล่ากุ่ยให้ไม่มีผิด แต่มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันก็คือ ต้นหลิวเทวะของนางฉินจิวยื่อนั้นไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้วยการใช้เลือดคนตระกูลหลิวรดแทนน้ำ มันจึงเป็นเพียงตอไม้สีดำสนิท และไม่มีการแตกหน่อแต่อย่างใด

แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับหลิงหยุนแม้แต่น้อย จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ ทำให้เขารู้ว่าควรจะดูแลหลิวเทวะนี้อย่างไร ดังนั้นทุกเย็นหลิงหยุนจะจัดการบำรุงท่อนไม้แห้งนี้ด้วยเลือดของตนเอง และลมปราณสีเหลืองกับสีดำที่ได้มาจากการฝึกฝนตามคัมภีร์เสวียนหวง

ไม่เพียงเท่านั้น หลิงหยุนยังใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งให้หลิวเทวะแตกใบสีเขียวออกมาด้วย..

หลิวเทวะต้นที่สองนี้ต้องการพลังชีวิตจำนวนมหาศาล จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากสมุดจักรพรรดิ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ก็ไม่ต่างจากเมื่อครั้งก่อนเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น  หลิวเทวะต้นที่สองก็ได้แตกกิ่งใบ และในที่สุดก็ปล่อยพลังชีวิตออกมาจำนวนมาก ระหว่างต้นหลิวทั้งสองต้นนั้น หลิวเทวะต้นที่สองนี้กลับสร้างความตกใจและตื่นเต้นให้หลิงหยุนมากกว่าต้นแรก

และด้วยความช่วยเหลือจากสมุดจักรพรรดิอีกครั้ง วิชาพฤกษาขจีของหลิงหยุนจึงได้พัฒนาขึ้นไปอีกสามระดับย่อยของขั้นที่ห้า เมื่อฝึกมาถึงขั้นนี้หลิงหยุนก็จะสามารถเร่งหรือตัดรอนการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์บนโลกใบนี้ได้

ในเมื่อมีหลิวเทวะอยู่ในมือถึงสองต้น หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องไปเสาะหาพลังชีวิตที่เป็นธาตุไม้จากที่ใหนอีกแล้ว

และพลังชีวิตธาตุไม้ที่กระจายออกมาจากหลิวเทวะทั้งสองต้นนั้น ก็เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการฝึกวิชาพฤกษาขจีของเขา และทำให้หลิงหยุนรู้สึกว่ากำลังเข้าใกล้ขั้นปรับร่างกาย-9 มากขึ้นทุกทีจนอดที่จะประหลาดใจและดีใจไม่ได้

ขั้นพลังชี่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วสินะ!

อีกเพียงหนึ่งอาทิตย์ก็จะถึงวันสอบเอนทรานซ์แล้ว หลังจากที่ทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ หลิงหยุนก็เริ่มผ่อนคลายลง เพราะเชือกนั้นหากดึงจนตึงเกินไปก็ต้องขาด นักเรียนคนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต่างก็ผ่อนคลายในเรื่องการเรียนลงเช่นกัน

ดังนั้นในการเรียนอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบนั้น แม้จะยังคงมีการเรียนการสอนอยู่บ้าง  แต่บรรยากาศก็ไม่ตึงเครียดและกดดันเหมือนที่ผ่านมา เรียกว่าเรียนกันอย่างสบายๆผ่อนคลาย

ในอาทิตย์สุดท้ายจึงเน้นให้นักเรียนปรับตัวเข้ากับการสอบมากกว่า ด้วยการให้นักเรียนลองทำข้อสอบเอนทรานซ์เก่าๆบ้าง

อีกทั้งการเรียนการสอนในอาทิตย์สุดท้ายนี้ก็เป็นไปอย่างสบายๆ นักเรียนจะอ่านหนังสือเองอยู่ที่บ้านก็ได้ จะมาเรียนในห้องก็ได้ หรือจะอ่านหนังสืออยู่ที่หอพักก็ได้ ทางโรงเรียนปล่อยให้ทุกคนได้มีอิสระเต็มที่

และในวันอาทิตย์นี้ หลิงหยุนก็กลับไปบ้านที่อ่าวจิงฉู หนิงหลิงยู่ก็เช่นกัน..

“มาเร็วเข้าหลิงหยุน.. มาลองชุดที่ตัดดูว่าพอดีหรือไม่?”

ป้าเหมยเดินถือชุดสองชุดมาหาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรัก และต้องการให้หลิงหยุนลองใส่ดู

เสื้อผ้าทั้งสองชุดนี้ไม่ใช่เสื้อผ้าธรรมดาๆ มันเป็นชุดที่ตัดด้วยผ้าแพรไหมดำซึ่งเหล่ากุ่ยเป็นผู้มอบให้

มีทั้งเสื้อ กางเกง เสื้อกั๊ก กางเกงชั้นใน และแม้แต่ผ้าพันคอและผ้าคลุมหน้า เรียกได้ว่าทั้งชุดนั้นนอกจากถุงเท้ากับรองเท้าแล้ว ทุกอย่างล้วนทำจากผ้าแพรไหมดำทั้งสิ้น

หลิงหยุนรับชุดทั้งหมดไว้ แล้วเดินเข้าไปลองสวมในห้องอย่างรวดเร็ว

“โอ้โห..! พี่ใหญ่หล่อมากเลยค่ะ!”

แววตาของหนิงหลิงยู่เป็นประกายแวววาวแทบจะเป็นรูปหัวใจ และใบหน้างดงามก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

“เจ้าเด็กดื้อหล่อเหลามากจริงๆด้วยสิ..” แม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน และใบหน้าของแก้มของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงไม่ต่างกัน

หลิงหยุนสวมชุดดำยืนยืดอกอย่างภาคภูมิใจเมื่อเห็นใบหน้าชื่นชมของฉินตงเฉี่วยพร้อมกับบอกทุกคนว่า

“เป็นเพราะป้าเหมยตัดชุดได้พอดีต่างหากล่ะ..”

ฝีมือการตัดเย็บเสื้อผ้าของป้าเหมยนั้นนับว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ และชุดที่ฉินตงเฉี่วยสวมใส่นั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือตัดเย็บของนางทั้งสิ้น

“ป้าเหมย.. ผ้าที่เหลือนั้น ข้ารบกวนท่านช่วยนำไปตัดชุดให้กับน้าหญิง หนิงหลิงยู่  แล้วก็ไป๋เซียนเอ๋อด้วย..”

ผ้าแพรไหมดำที่เหล่ากุ่ยมอบให้หลิงหยุนนั้น ยังมีเหลืออีกมากมาย และสามารถตัดได้อีกหลายสิบชุด  เขามีเพียงแค่สองชุดไว้สำหรับใส่ก็เพียงพอแล้ว หากมีมากกว่านี้ก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร?

ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนนึกถึงตัวเองก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหูพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นี่เจ้าไม่รู้หรือยังไงว่าข้าไม่ชอบสวมเสื้อผ้าสีดำ..”

ฉินตงเฉี่วยนั้นชอบสีชาวมากกว่า แม้แต่ยามค่ำคืนนางก็ยังสวมชุดสีขาวที่ไม่มีแม้แต่ฝุ่นจับ..

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบยิ้มๆ  “น้าหญิงท่านใส่ไว้ป้องกันตัวเองก่อน ไว้ข้าสอบเอนทรานซ์เสร็จเมื่อไหร่ จะหาผ้าไหมสีขาวมาให้ท่าน..”

ดวงตาของฉินตงเฉี่วยเป็นประกายขึ้นมาทันที และรีบตอบกลับไปว่า “เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้าอย่ามาทำปากดีไปหน่อยเลย พูดอะไรไว้ก็รักษาคำพูดของเจ้าด้วยล่ะ..”

และฉินตงเฉี่วยก็สั่งป้าเหมยตัดให้เธอเพียงแค่หนึ่งชุด และตัดให้หนิงหลิงยู่กับไป๋เซียนเอ๋อคนละสองชุด

ตอนนี้ฉินตงเฉี่วยยังคงอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-4  ส่วนหนิงหลิงยู่ที่ฝึกดาราคุ้มกายควบคู่ไปกับวิชาคลื่นคงคานั้น ตอนนี้สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-4 ได้แล้วเช่นกัน และด้วยคำแนะนำจากหลิงหยุนและฉินตงเฉี่วย พื้นฐานของเธอจึงค่อนข้างมั่นคง

ส่วนระดับขั้นของไป๋เซียนเอ๋อนั้น หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ และแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกัน

ในอาทิตย์สุดท้ายของการเรียนนั้น หลิงหยุนไปโรงเรียนเฉพาะวันพุธเท่านั้น เพราะไม่จำเป็นต้องไปอีกแล้ว

ดังนั้นระหว่างห้าวันก่อนสอบเอนทรานซ์ นอกจากหลิงหยุนจะทุ่มเทให้กับการฝึกฝนแล้ว เขาก็ไปจัดการภารกิจต่างๆที่คั่งค้างอยู่จนเสร็จ

หลิงหยุนขอให้เซียนหยกช่วยหาช่างแกะสลักฝีมือดี และจัดการทำเครื่องประดับจากหยกจักรพรรดิขึ้นมาหลายชุด ในหนึ่งชุดจะมีเครื่องประดับทั้งหมดสี่ชิ้นคือ แหวน กำไล ต่างหู และสร้อยคอ เพื่อใช้สำหรับมอบเป็นของขวัญให้กับผู้คน

และแน่นอนว่าชุดแรกนั้นหลิงหยุนนำไปเป็นของขวัญเยี่ยมเยียนให้กับครอบครัวของถังเมิ่ง..

ทางด้านพ่อของถังเมิ่งนั้น แม้ว่าหูจะยังไม่ตึง และตายังไม่ฝ้าฟาง แต่ด้วยอายุที่มากแล้วจึงมีโรคประจำตัวถึงสามโรค และหลิงหยุนก็ได้ช่วยรักษาโรคประจำตัวเหล่านั้นให้จนหายดี

ส่วนแม่ของถังเมิ่งนั้น ถึงกับตื่นเต้นดีใจสุดขีดเมื่อได้รับชุดเครื่องประดับทำจากหยกจักรพรรดิของหลิงหยุน เธอดึงกับลืมตัวผลักถังเมิ่งซึ่งเป็นลูกชายตัวเองออกไป และพุ่งเข้าไปหอมแก้มหลิงหยุนหนึ่งฟอดใหญ่ จากนั้นก็รีบเข้าเข้าครัวทำอาหารเกือบยี่สิบอย่างให้หลิงหยุนกิน อีกทั้งระหว่างที่รับประทานอาหารกันอยู่นั้น เธอก็กุลีกุจอคีบกับข้าวใส่ให้ถ้วยหลิงหยุนไม่หยุด โดยไม่สนใจสองพ่อลูกเลยแม้แต่น้อย

ทั้งถังเทียนห่าวและถังเมิ่งต่างก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แม้ถังเมิ่งจะพยายามร้องเตือนแม่ของเขาอยู่นับสิบครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล

“แม่ครับ.. ผมเป็นลูกแม่นะ!”

หลังจากนั้น หลิงหยุนก็ไปเยี่ยมเยียนหลี่ยี่เฟิงที่บ้านพร้อมกับถังเมิ่ง เพื่อแสดงความขอบคุณต่อเขาด้วยตัวเอง หลิงหยุนไม่เพียงมอบเครื่องประดับให้กับภรรยาของหลี่ยี่เฟิง แต่ยังช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กับหลี่ยี่เฟิงจนแข็งแรงกว่าเดิมอีกด้วย

และสำหรับสหายเก่าแก่ทั้งห้าคนของท่านหมอเสี่ยวนั้น หลิงหยุนก็แวะไปเยี่ยมเยียนที่บ้านทุกคน แม้เขาจะไม่ได้มอบชุดเครื่องประดับให้ แต่ก็ได้ช่วยรักษาปัญหาสุขภาพของแต่ละคนให้จนหายดี

แม้กระทั่งเพื่อนบ้านอย่างหลี่หงเม่ย หลิงหยุนเองก็ตอบแทนด้วยการซื้อบ้านราคากว่าสองล้านให้หนึ่งหลัง ทำให้หลี่หงเม่ยตื่นเต้นดีใจจนคุกเข่าคำนับหลิงหยุน

ผู้คนคนในแถบถนนหลินเจียงเมื่อทราบข่าว ต่างก็พากันอิจฉา และได้แต่นึกเสียดายว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทำความสนิทสนมกับฉินจิวยื่อเหมือนอย่างหลี่หงเม่ย..

หลิงหยุนไม่ลืมที่จะแวะไปหาหลิวลี่ที่บ้าน และได้มอบชุดเครื่องประดับทำจากหยกจักรพรรดิให้กับแม่สามีของเธอหนึ่งชุด และให้ตัวหลิวลี่ที่ตอนนี้ท้องแปดเดือนอีกหนึ่งชุด อีกทั้งยังได้มอบของรับขวัญให้กับหลี่เจียน – ลูกของหลิวลี่ที่กำลังจะลืมตาออกมาดูโลก เป็นหยกจักรพรรดิก้อนขนาดเท่ากำปั้นอีกด้วย

ถังเมิ่งเกรงว่าหลิวลี่จะไม่รู้มูลค่าของหยกจักรพรรดิที่ได้รับไป จึงได้บอกหลิวลี่กับทุกคนในครอบครัวว่า หยกทั้งหมดที่หลิงหยุนมอบให้นั้นมีมูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่าสองร้อยล้าน ทำให้คนในตระกูลหลี่ถึงกับตกใจสุดขีด

และในครั้งนี้เองที่ป้าหลี่เริ่มเข้าใจแล้วว่า  หลิงหยุนไม่ได้ทำดีกับครอบครัวของเธอเพราะชื่นชอบในตัวลูกสะใภ้ เพราะลูกสะใภ้ของเธอคงไม่มีค่ามากมายถึงเพียงนี้

“พ่อหนุ่ม.. หลังจากการมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้ เธอก็จะไม่อยู่จิงฉูแล้วใช่มั๊ย?” ป้าหลี่ร้องถามขึ้นมา

“ใช่ครับ.. หลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จ ผมมีความจำเป็นต้องเดินทางออกนอกเมืองจิงฉู..” หลิงหยุนตอบยิ้มๆ

“แล้วเธอจะกลับมาที่นี่อีกมั๊ย?”

“ท่านป้าครับ.. บ้านของผมอยู่ที่จิงฉู ยังไงผมก็ต้องกลับมาแน่นอน! เงินจำนวนยี่สิบล้านที่มอบให้ ก็เพื่อว่าระหว่างที่ผมไม่อยู่ในจิงฉู ทุกคนก็จะมีเงินใช้จ่ายได้อย่างไม่เดือดร้อน..”

ระหว่างที่หลิงหยุนพูดคุยกับป้าหลี่นั้น ดวงตาของหลิวลี่ก็เริ่มแดงก่ำ น้ำตาเริ่มไหลพรากออกมา แต่หลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

หลังจากไปเยี่ยมครอบครัวของหลิวลี่แล้ว หลิงหยุนก็ไปที่บ้านตระกูลเฉิง และได้มอบเครื่องประดับทำจากหยกจักรพรรดิให้กับจ้าวฝัวหมี่หนึ่งชุด และเฉิงเมี่ยนหนึ่งชุด แล้วจึงสอบถามข่าวคราวของเฉิงเม่ยเฟิง

แต่ก็ยังคงไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเฉิงเม่ยเฟิงเลยแม้แต่น้อย..

“คุณจำเป็นไม่ต้องกังวลเรื่องของตระกูลซัน! เพราะอีกไม่นานตระกูลซันจะต้องสาบสูญไปจากโลกนี้..”

ก่อนที่หลิงหยุนจะขอตัวกลับนั้น เขาได้กระซิบบอกกับเฉิงเทียน ทำให้เฉิงเทียนถึงกับตกใจจนแทบช็อค!

และในวันที่ 5 มิถุนายนนั้น ก็เป็นวันที่นักเรียนมัธยมปลายทั้งหมดเริ่มปิดภาคเรียน เพื่อเตรียมตัวรอคอยวันสอบเอนทรานซ์ที่จะมีขึ้นอีกในไม่กี่วัน

ตลอดระยะเวลาครึ่งเดือนหลังนี้ สภาพอากาศในจิงฉูไม่สู้ดีนัก มีฝนตกตลอดทั้งวันและแทบทุกวัน แต่ถึงกระนั้นอุณหภูมิก็ยังสูงถึงสามสิบองศา แต่นั่นก็ยังนับว่าไม่ร้อนมาก

และแล้วก็มาถึงวันก่อนสอบเอนทรานซ์หนึ่งวัน ซึ่งก็คือวันที่ 6 มิถุนายน..