ตอนที่ 553 ตามหา
แม้ตอนนี้นางเป็นแค่เหล่าหวางเฟย แต่นางก็รู้ว่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในอดีตมิอาจแก้ไขได้และหากจวินฮานมิสนับสนุนนางอีก ถึงตอนนั้นนางคงสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป
จ้าวหลานหยู่คนสารเลวผู้นั้น ครั้งยังมีชีวิตก็มิอาจวางใจได้ พอตายไปก็ยังพล่ามเรื่องเหล่านั้นออกมาอีก
โชคดีที่บัดนี้จัดการอันหลิงเกอได้แล้ว เชื่อว่าสตรีผู้หยิ่งยโสเยี่ยงนั้นคงมิมีวันกลับมาเป็นแน่
แม้ตอนนี้ยังไร้หลักฐาน แต่อีกฝ่ายได้ทรยศต่อท่านอ๋องมู่ไปแล้ว หากวันหนึ่งคิดกลับมาแก้แค้น นางก็เชื่อได้เลยว่ามู่จวินฮานต้องยืนเคียงข้างมารดา มิมีทางเชื่ออันหลิงเกอแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้มู่เหล่าหวางเฟยก็เริ่มวางใจอีกครั้ง
มิว่าอันหลิงเกอรับมือยากเพียงใด ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า มู่เหล่าหวางเฟยสามารถทำทุกอย่างจนผู้อื่นมิอาจคาดคิดได้ !
มิเช่นนั้นนางจะครองตำแหน่งหวางเฟยจนถึงบัดนี้ได้หรือ กอปรกับที่นางคอยสนับสนุนบุตรชายให้สืบทอดตำแหน่งอ๋องมู่ กระทั่งบัดนี้นางกลายเป็นเหล่าหวางเฟยสำเร็จ
“เรียนเหล่าหวางเฟย ทัวป๋าหลิวลี่มาขอพบเจ้าค่ะ”
หืม ? สตรีสองคนนี้ช่างโง่เขลากว่าผู้อื่นเสียจริง
หากมิใช่เพราะอันหลิงเกอรู้ความจริง นางก็คงหวังให้อันหลิงเกออยู่เคียงข้างมู่จวินฮานตลอดไป หากเป็นเยี่ยงนี้ก็จะยิ่งสนับสนุนมู่จวินฮานโดยที่นางมิต้องพูดให้มากความและยังไร้ความกังวลใดอีกด้วย
ทัวป๋าถิงฟางโง่เขลาเบาปัญญา ทัวป๋าหลิวลี่มาหาถึงที่ก็คงหวังให้นางช่วยส่งเสริมกระมัง ? มู่เหล่าหวางเฟยส่งเสียงเย็นชาออกมา
“ให้นางเข้ามา”
“คารวะมู่เหล่าหวางเฟยเจ้าค่ะ”
อย่างไรสถานะของทัวป๋าหลิวลี่ก็สูงส่งมิน้อย มารยาทและคุณสมบัติก็มิเลว แต่มู่เหล่าหวางเฟยมองออกว่านางมิใช่คนฉลาดปราดเปรื่องนัก
“ลุกขึ้นเถิด”
มู่เหล่าหวางเฟยก็ไร้อารมณ์เสวนาอันใดกับนาง สตรีผู้นี้ดูท่าจะหมดหวังเสียแล้ว
แม้สถานะเบื้องหลังของนางมิธรรมดา แต่ความสามารถนั้นต่ำมาก หากให้นางขึ้นครองตำแหน่งพระชายาเอกก็เกรงว่า…
“ก่อนหน้านั้นหลิวลี่เคยทำผิดต่อเหล่าหวางเฟยจึงอยากมาขออภัยเจ้าค่ะ”
หืม ? มู่เหล่าหวางเฟยย่อมจำได้ว่าเป็นเรื่องวางยาพิษในครานั้น
“ช่างเถิด มันผ่านไปแล้ว ที่ข้าให้เจ้าออกจากตำหนักเย็นได้ก็มิใช่เพราะอยากสร้างความลำบากใจให้แก่เจ้าหรอก”
ในขณะที่เอ่ย มู่เหล่าหวางเฟยก็ประคองตัวอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นและพาเดินไปนั่งข้างกายของตนด้วยท่าทางสนิทสนมอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยอ่อนโยนและเข้าถึงง่าย
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“เรียกข้าว่าหมู่เฟยเถิด”
คำพูดของมู่เหล่าหวางเฟยเหมือนให้ความหวังทัวป๋าหลิวลี่มิน้อย นางจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลันและมองมู่เหล่าหวางเฟยพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ
“เอาล่ะ เอาล่ะ เด็กคนนี้ ร้องไห้ด้วยเหตุใดกัน ? ”
ในใจของมู่เหล่าหวางเฟยเยือกเย็นมาก แต่ใบหน้าแสดงความกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด นางแสนดีกับทัวป๋าหลิวลี่มากทีเดียว
ในความเป็นจริง นางถูกใจทัวป๋าหลิวลี่ที่ไหนกันเล่า องค์หญิงตัวน้อยที่เติบโตอยู่ในกรงทอง มิมีทางเข้าใจว่าเรือนหลังมีความขัดแย้งกันมากเพียงใดหรอก
ทัวป๋าหลิวลี่แตกต่างจากองค์หญิงพระองค์อื่น มู่เหล่าหวางเฟยรู้ชัดเจนดีว่านางได้รับการประจบประแจงจากทุกคนจนเติบใหญ่จึงพ่ายแพ้อย่างน่าเวทนาเยี่ยงนี้
บัดนี้นางได้อภิเษกสมรสมาอยู่ในแผ่นดินต้าโจวแล้วย่อมสูญเสียตำแหน่งในอดีตไปโดยปริยาย
มู่จวินฮานมิได้ชอบนาง นางจึงยิ่งสูญเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
“หมู่เฟยเจ้าคะ ได้ยินว่าหมู่เฟยช่วยเหลือหลิวลี่โดยมิคำนึงถึงเรื่องบาดหมางเมื่อครั้งอดีต หลิวลี่ซาบซึ้งในพระคุณยิ่งนัก ท่านอ๋องมิได้มาเยี่ยมเยือนหลิวลี่นานมากแล้ว หลิวลี่ก็เข้าใจว่าเขาคงกำลังตำหนิหลิวลี่…”
พอได้ยินคำพูดเยี่ยงนี้ของทัวป๋าหลิวลี่ มู่เหล่าหวางเฟยก็อดยิ้มเยาะมิได้
มู่จวินฮานเคยเก็บคนเยี่ยงนี้มาใส่ใจที่ไหนกัน ? ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงการตำหนิอันใดหรอก
ในฐานะมารดาของมู่จวินฮานย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าผู้ใด
ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงอันหลิงเกอที่อยู่ในใจของมู่จวินฮานเลย ทัวป๋าถิงฟางผู้เดียวก็ยังมีสถานะในจวนสูงส่งกว่าหลิวลี่อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่นางมิเข้าใจ หลังอันหลิงเกอจากไปแล้ว ความมีสง่าเยี่ยงเช่อเฟยก็ตกไปอยู่บนตัวทัวป๋าถิงฟางซึ่งยิ่งทำให้เห็นถึงความโง่เขลาของพี่สาวได้อย่างชัดเจนขึ้น
“เห็นหมู่เฟยเหนื่อยล้าเพียงนี้ ลูกขอลาเจ้าค่ะ”
มินานทัวป๋าหลิวลี่ก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกทันที ดูท่าแล้วนางยังมีความเป็นไปได้อยู่
มู่เหล่าหวางเฟยยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยมือของอีกฝ่าย ครั้นเห็นทัวป๋าหลิวลี่เดินจากไปแล้ว ใบหน้าก็เย็นชาทันที
ในอดีตทัวป๋าหลิวลี่อาจหาญวางยาพิษตน คิดว่าจักมีความสามารถมากพอ แต่คาดมิถึงว่านั่นเป็นเพียงนิสัยของเด็กที่ถูกโอ๋จนเคยตัว ครั้นเห็นอีกฝ่ายในวันนี้กลับโง่เขลาเสียเกินบรรยาย
…
“ขาของเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ? ”
หลายวันมานี้อันหลิงเกอพยายามรักษาขาที่ไร้ความรู้สึกให้แก่หนานกงหลิงเยว่อย่างขะมักเขม้น ถึงอย่างไรก็เป็นสหายและนางมิอยากสูญเสียผู้ใดไปอีกแล้ว
ยิ่งเห็นหนานกงหลิงเยว่มีความสุขก็มิหวังให้ต้องมาตกอยู่ในความหดหู่อีก
หมอที่เคยรักษาขาของนางล้วนกลัวพิษแพร่กระจายกันทั้งสิ้นจึงพยายามกดพิษเหล่านั้นไว้ ทำให้พิษถูกกดอยู่ในร่างกายและมิสามารถขับออกได้
“ดูเหมือนมีความรู้สึกบ้างแล้ว”
หนานกงหลิงเยว่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก สมแล้วที่เป็นอันหลิงเกอ หากยังอยู่ข้างกายแล้วนางต้องแข็งแรงขึ้นแน่นอน
“เจ้ากับอ๋องมู่…”
“แล้วขาข้างนี้เล่า ? ”
อันหลิงเกอพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หนานกงหลิงเยว่จึงมองออกว่าอีกฝ่ายมิอยากเอ่ยถึง
ครั้นเป็นเยี่ยงนี้หนานกงหลิงเยว่จึงห่วงอันหลิงเกอกว่าเดิม
“เรื่องของมู่เหล่าหวางเฟย ข้ามิอยากเอ่ยถึงเพราะมีคนเกี่ยวข้องมากเกินไป แต่เรื่องทั้งหมดนี้มิได้เกี่ยวกับมู่จวินฮานแม้แต่น้อย พวกเจ้าอยู่ด้วยกันมานาน เจ้าน่าจะเข้าใจ เพียงแต่วังหลวงกว้างใหญ่เกินไปจึงมิอาจควบคุมเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นได้”
อันหลิงเกอก็เข้าใจเหตุผลนี้ ดังนั้นถ้านางยังคิดมิได้ก็ไม่มีวันกลับไป
นางเตือนตนเองเสมอว่าสถานะในตอนนี้เป็นเพียงสตรีที่มีนามว่าอันหลิงเกอ แต่สำหรับมู่จวินฮานนั้นแตกต่าง เพราะเขาเป็นอ๋องมู่และเป็นความหวังของราษฎร
หากมู่จวินฮานเข้าข้างนางทุกเรื่อง อาจมิดีต่อตำแหน่งท่านอ๋องก็เป็นได้
“เอาล่ะ ข้ามิเป็นไร อีกไม่กี่วันเจ้าต้องคุยเรื่องงานแต่งกับกูซูเฉี่ยอวี่แล้ว รีบรักษาขาของเจ้าให้หายดีกว่า” อันหลิงเกอยกยิ้มและเอ่ยอย่างสบายใจ
ใช่ว่านางมิสนใจมู่จวินฮาน เพียงแต่ตอนนี้นางอยากให้เวลาตนเองได้คิดทบทวนสักนิด
นางเข้าใจมู่จวินฮาน รู้ว่าเขาต้องหาทางแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน บางทีในเร็ววันนี้มู่จวินฮานอาจตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้
อันหลิงเกอมิเคยดูถูกมู่จวินฮาน นางรู้ว่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นนี้ มู่จวินฮานต้องเข้าใจอย่างแน่นอน
ดังนั้นในเมื่อทั้งสองถูกดึงเข้ามาเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ ดีที่สุดก็คือแยกกันอยู่ชั่วคราว
“เรียนคุณหนู คุณชายมาหาเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอตกตะลึงไปชั่วขณะทั้งยังมิได้หลบเลี่ยง
ฟางหลิงซู่รู้เรื่องที่อันหลิงเกอมาหอพิษกู่ แต่หลายวันนี้เขามิได้เข้ามารบกวนนางเลย คิดไปแล้วก็น่าจะเข้าใจความคิดของนางอยู่มิน้อย
นางมิอยากถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักกับหอพิษกู่เพราะเรื่องที่แยกทางกับมู่จวินฮาน
“เจ้าอยู่ด้วยหรือ”
ฟางหลิงซู่รู้ว่าอันหลิงเกออยู่ที่นี่แต่แกล้งสงสัย อันหลิงเกอจึงพยักหน้าเล็กน้อย
“จริงสิ ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”
ฟางหลิงซู่พุ่งตรงใส่อันหลิงเกออย่างชัดเจน เหตุใดต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลาด้วย
“พูดมาเถิด”
อันหลิงเกอมิได้ปฏิเสธเพราะฟางหลิงซู่เป็นทั้งผู้มีพระคุณและสหายในเวลาเดียวกัน
หากต้องปฏิเสธเขาเพราะตำแหน่งที่แตกต่างกัน อันหลิงเกอก็คงทำมิได้