ตอนที่ 554 เยี่ยมเยือน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 554 เยี่ยมเยือน

“หลายวันมานี้ประมุขเผ่าปิงชวนมาเยือนหอพิษกู่อยู่บ่อยครั้ง หากเจ้ามิถือสาก็ช่วยข้าต้อนรับได้หรือไม่ ? ”

“เพราะเหตุใด ? ”

แม้อันหลิงเกอรู้ว่าการช่วยเหลือเขามิได้ผิด แต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือตนไม่ใช่นายหญิงและมิใช่แขกสำคัญ เหตุใดต้องออกไปเผชิญหน้ากับพวกเขา

“บุตรชายคนโตของประมุขเผ่าปิงชวนป่วยเป็นโรคทางตา เขามาในครานี้ก็เพื่อมาหาเจ้า ข้าปล่อยให้เขาไปขอพบเจ้าที่จวนอ๋องมิได้”

บุตรชายคนโต

อ๋องน้อยแห่งเผ่าปิงชวนในครั้งที่แล้วคงเป็นญาติทางสายเลือดและครานี้ดูเหมือนเป็นเรื่องของทายาทเผ่าปิงชวนที่แท้จริง

เพียงแต่เผ่าปิงชวนและมู่เหล่าหวางเฟยมีความสัมพันธ์ที่ตัดกันมิขาด เรื่องนี่…

ฟางหลิงซู่ยกยิ้มเล็กน้อย อันหลิงเกอรู้สึกได้ทันทีว่าเมื่อครู่ตนได้*เอาความคิดของคนต้อยต่ำไปวัดท้องกับสุภาพบุรุษ ฟางหลิงซู่คิดปกป้องนาง แต่นางกลับ…

“ได้” นางตอบรับโดยมิคิดอันใด ฟางหลิงซู่ดีกับนางเสมอและนางมิควรคิดให้วุ่นวาย

อีกอย่างเผ่าปิงชวนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นใหญ่ ต้าโจวก็เป็นแคว้นใหญ่เช่นกัน แต่พวกเขาเลือกมาเยือนหอพิษกู่ ดูท่าแล้วฟางหลิงซู่และเผ่าปิงชวนต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกันแน่นอน

ดูเหมือนว่าเขาสังเกตเห็นสีหน้าที่สงสัยของอันหลิงเกอ ฟางหลิงซู่จึงเอ่ยว่า

“เผ่าปิงชวนเป็นเผ่าของมารดาข้าเช่นกัน”

ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้เอง หากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าระหว่างหอพิษกู่และมู่เหล่าหวางเฟย…

ดูท่าแล้วสาเหตุที่วังหลวงมิยอมไปมาหาสู่กับเผ่าปิงชวนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่อยู่มิน้อย

นางคาดมิถึงว่าเบื้องหลังของหอพิษกู่จะแข็งแกร่งเยี่ยงนี้

“พวกเขาจะมาถึงเมื่อใด ? ”

“คืนนี้”

เร็วเพียงนี้เชียวหรือ ?

ในตอนที่ฟางหลิงซู่เอ่ยเรื่องนี้กับนาง เขามั่นใจว่านางไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน อันหลิงเกอยกยิ้มซึ่งฟางหลิงซู่สัมผัสได้อย่างชัดเจน

“จริงสิ ขาของหลิงเยว่เป็นอย่างไรบ้าง ? ”

ฟางหลิงซู่คุกเข่าลงด้วยท่าทางมิเหมือนคุณชายสูงส่งที่น้อยคนจะได้เห็นมุมนี้ของเขา เหมือนเป็นแค่พี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านพี่ ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” หนานกงหลิงเยว่ยกยิ้มเล็กน้อย พี่ชายช่างแสนดีกับนางเสมอ

“รอให้ขาทั้งสองข้างของเจ้าฟื้นตัวก่อน ระหว่างนี้ห้ามไปมาหาสู่กับกูซูเฉี่ยอวี่เด็ดขาด”

มิเพียงแต่หนานกงหลิงเยว่เท่านั้นเพราะอันหลิงเกอก็คาดมิถึงว่าฟางหลิงซู่จะเอ่ยเยี่ยงนี้ออกมา หลายวันก่อนหน้านั้นกูซูเฉี่ยอวี่ก็เคยมาที่นี่และได้รับการยอมรับจากฟางหลิงซู่ด้วย ทว่าบัดนี้…

ดูท่าแล้วอันหลิงเกอคาดเดาไว้ถูกต้อง เดิมทีฟางหลิงซู่มิอยากให้หนานกงหลิงเยว่ไปมาหาสู่กับผู้ใดในราชสำนัก เมื่อไม่กี่วันก่อนเพราะเห็นสภาพจิตใจของนางเศร้าหมองเท่านั้น แม้ขาของนางฟื้นตัวขึ้นมาบ้างก็ไม่อนุญาตให้นางออกเรือนกับกูซูเฉี่ยอวี่

“ท่านพี่เจ้าคะ ! ”

หนานกงหลิวเยว่ขุ่นเคืองทันใด ขาทั้งสองข้างมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างแล้วนางจึงพยายามลุกขึ้นยืน

ครั้นเห็นหนานกงหลิงเยว่ฟื้นตัวได้เร็วเยี่ยงนี้ นัยน์ตาของฟางหลิงซู่ก็ทอประกายออกมา วิชาแพทย์ของอันหลิงเกอเก่งกาจเสียจริง

“ท่านพี่…” หนานกงหลิงเยว่มองเขาด้วยแววตาเสียใจ

“กูซูเฉี่ยอวี่มิได้แสนดีอย่างที่เจ้าเห็นหรอก นี่เป็นเพียงหลุมพรางเท่านั้น”

ฟางหลิงซู่เอ่ยออกมาอย่างจริงจัง แต่สำหรับหนานกงหลิงเยว่แล้วที่เขาเอ่ยก็เพื่อขัดขวางตนเท่านั้น

แต่อันหลิงเกอมิคิดเช่นนี้ ฟางหลิงซู่มิใช่คนที่ใจร้ายซึ่งเขาไม่มีทางใส่ร้ายผู้อื่นแน่นอน

หรือจะเป็นแผนร้ายจริง ?

“ท่านพี่ เขาปรากฏตัวในตอนที่ข้าตกต่ำที่สุด แม้แต่ท่านยังมิสนใจข้า ! บัดนี้ข้าปรารถนาแต่งงานกับเขา มันก็เรื่องของข้า ผู้ที่รักษาขาทั้งสองข้างให้ข้าก็คืออันหลิงเกอ นางมอบชีวิตใหม่แก่ข้า นางยังมิเคยขัดขวางข้า แล้วเหตุใดท่านต้องมาขัดขวางด้วย ? ”

อันหลิงเกอรู้สึกว่าคำที่หนานกงหลิงเยว่เอ่ยกับฟางหลิงซู่ล้วนมิสมเหตุสมผลสักเท่าไร เกิดเรื่องอันใดขึ้นแน่ ?

“กับดักของตระกูลกูซู เจ้าอยากเข้าไปติดกับหรือ ? ” ฟางหลิงซู่ขมวดคิ้วพลางมองนาง

“เจ้าค่ะ ! ” หนานกงหลิงเยว่รู้สึกโกรธมาก

“เจ้าค่ะ ข้ายินยอม ! ” หนานกงหลิงเยว่ย้ำอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวโดยมิหันไปมองฟางหลิงซู่อีก

“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ! ”

อันหลิงเกอได้ยินฟางหลิงซู่ทอดถอนใจและเดินออกจากเรือนไป

“หนานกง…”

“เจ้าก็คิดโน้มน้าวข้าใช่หรือไม่ ? ”

ดวงตาของหนานกงหลิงเยว่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา นางรับมิได้ เหตุใดพี่ชายจึงไม่สนับสนุน ?

แม้ตำแหน่งของกูซูเฉี่ยอวี่มิสูงนักแต่นางก็ยอม แค่นี้ยังมิพออีกหรือ ? หนานกงหลิงเยว่ไม่อยากเป็นนางปิศาจอีกแล้ว นางแค่อยากอยู่กับคนผู้นั้น

“ข้าแค่คิดว่าหากที่ฟางหลิงซู่เอ่ยมาเป็นความจริง เจ้าจะทำเยี่ยงไร”

อันหลิงเกอจนปัญญาเพราะนิสัยของหนานกงหลิงเยว่ขึ้นชื่อเรื่องความดื้อรั้นเป็นที่หนึ่ง

“ข้าก็จะสังหารเขา”

ใช่ หากกูซูเฉี่ยอวี่กระทำผิดต่อหนานกงหลิวเยว่ จากนิสัยในอดีตของนางต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน

แต่นางทำได้จริงหรือ ?

“ช่างเถิด เจ้าคิดให้ดีแล้วกัน”

อันหลิงเกอกล่าวจบก็เตรียมตัวจากไป ก่อนเดินจากไปนางได้หันมามองหนานกงหลิงเยว่อีกครา

“ขาของเจ้าจะฟื้นตัวมิเกินสามวัน เจ้าคิดให้ดีแล้วกัน หากเป็นเจ้าในอดีตคงมิมีทางอยู่กับกูซูเฉี่ยอวี่ผู้นี้แน่ หลังเจ้าฟื้นตัวกลับมาแล้วก็ยังยอมใช้ชีวิตธรรมดากับเขาใช่หรือไม่ ? แม้กูซูเฉี่ยอวี่มิได้โป้ปดเจ้าและการเข้าหาเจ้ามิใช่กับดัก เจ้าคิดว่านั่นคือชีวิตและบั้นปลายชีวิตของหนานกงหลิงเยว่ใช่หรือไม่ ? จักยอมพ้นสถานะคุณหนูใหญ่แห่งหอพิษกู่หรือเปล่า ? ”

กล่าวจบ อันหลิงเกอก็เดินออกไปโดยทิ้งหนานกงหลิงเยว่ให้ตกตะลึงเพียงลำพัง

นางเข้าใจความหมายของอันหลิงเกอ หลายวันมานี้นางถามตัวเองอยู่หลายครั้งหลายครา แต่สุดท้ายเปลวไฟในใจก็ถูกกูซูเฉี่ยอวี่ดับลงเสมอ เขาทำให้นางมีความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

หนานกงหลิงเยว่มิรู้ว่าควรอยู่กับเขาหรือไม่ แต่เพื่อตอบแทนก็อยากลองดูสักครั้ง

หากเขาหลอกลวงนางจริง เช่นนั้นนางก็จะทำอย่างที่ได้กล่าวไว้คือสังหารกูซูเฉี่ยอวี่ !

ภายในจวนอ๋อง ทัวป๋าถิงฟางและทัวป๋าหลิวลี่ยังสร้างปัญหามิหยุดหย่อน ความบาดหมางของทั้งสองได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทัวป๋าหลิวลี่กำลังโมโหและเดินไปหาทัวป๋าถิงฟาง จากนั้นก็ง้างฝ่ามือเตรียมตบสั่งสอน แต่โดนทัวป๋าถิงฟางจับไว้เสียก่อน

ทัวป๋าถิงฟางโน้มกายทำความเคารพ ก่อนกล่าวด้วยแววตาเย้ยหยันว่า “เช่อเฟย ข้าไปล่วงเกินหรือทำให้มิพอใจตรงไหนเจ้าคะ ? ”

“ที่นี่ไม่มีผู้อื่น เจ้ามิต้องเสแสร้ง” ทัวป๋าหลิวลี่มองทัวป๋าถิงฟางด้วยสีหน้าดูหมิ่น

ทัวป๋าถิงฟางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เช่อเฟยก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเหตุใดท่านจึงเป็นเพียงเช่อเฟย ? คนในจวนมิรู้ว่าเป็นสายให้แก่ผู้ใดบ้าง มีแค่ท่านที่ยังทำตัวสบายอารมณ์”

ทัวป๋าหลิวลี่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนโมโหยิ่งกว่าเดิม น้องสาวผู้แสนดีกำลังกล่าวหาว่านางโง่เขลา ดังนั้นจึงสมแล้วที่เป็นได้แค่เช่อเฟย !

บัดซบ ! ทัวป๋าหลิวลี่ง้างฝ่ามือและเตรียมตบลงไป แต่หวั่นวิตกกับคำกล่าวเมื่อครู่ของทัวป๋าถิงฟางจึงยังมิได้ลงมือ

นางเอ่ยด้วยความเย้ยหยัน “คนที่เติบโตนอกวังช่างไร้มารยาท ข้ามิเพียงเป็นพี่สาวของเจ้า ยังมีสถานะที่สูงกว่าเจ้าด้วย คนป่าเถื่อนและไร้เหตุผลเยี่ยงนี้ข้าต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว ! ”

ทัวป๋าถิงฟางมิได้โกรธ ทว่าพยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าวออกไป “ข้าคิดว่าตนมีมารยาทมากพอ แต่หลังจากมาทบทวนแล้วข้ากลับมีความรอบคอบกว่าพี่หญิงที่เติบโตในวังหลวงแคว้นชิงเยว่เจ้าค่ะ”

*เอาความคิดของคนต้อยต่ำไปวัดท้องกับสุภาพบุรุษ หมายถึง เอาความคิดต่ำทรามไปคาดเดาผู้มีคุณธรรมสูงส่ง