เล่มที่ 14 เล่มที่ 14 ตอนที่ 394 หนามคืนวิญญาณ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ใบหน้าหนานกงลั่วอวิ๋นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง นางค่อยๆ ปล่อยแขนเสื้อของฉินเทียนด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม

หนานกงลั่วอวิ๋นถอนหายใจยาว ราวกับสิ้นหวังในทุกสิ่งบนโลกใบนี้

“ได้! ในเมื่อ… เจ้าเองก็ไม่คิดจะช่วย เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดที่ข้า หนานกงลั่วอวิ๋นต้องอยู่บนโลกใบนี้? ”

หนานกงลั่วอวิ๋นพูดพลางดึงปิ่นปักผมบนศีรษะแทงไปที่ลำคอของตนอย่างเชื่องช้า

แม้ปลายปิ่นปักผมไม่ได้แหลมคมเหมือนกระบี่ที่คมกริบ ทว่าก็เพียงพอที่จะปลิดชีวิตคนผู้หนึ่งได้

ไม่นานนัก ผิวหนังขาวนวลบริเวณลำคอก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่ถูกปิ่นปักผมแทงลงไป

เมื่อฉินเทียนเห็นหยดเลือด ในใจพลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวด จึงหลบสายตาไม่ต้องการมองโดยตรง

หนานกงลั่วอวิ๋นยกยิ้มมุมปากอย่างสิ้นหวัง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความอ่อนแรง

“พี่ฉินเทียน… เจ้ายังจำตอนที่พวกเราเป็นเด็กได้หรือไม่ พวกเราเติบโตที่แคว้นซีอวิ๋น เจ้าเคยพูดกับลั่วอวิ๋นว่าอย่างไร? ”

ฉินเทียนกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปกลางฝ่ามือ ทำให้มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย

“ตอนนั้นแม่ใหญ่กับบรรดาพี่น้องต่างรังแกข้า ไม่มีผู้ใดคิดเห็นใจสงสารข้า ไม่มีใครอยู่เคียงข้างข้า มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ปกป้องข้า เจ้าเคยบอกว่าแม้โลกใบนี้จะไม่มีใครที่รักและเอ็นดูข้า แต่เจ้าจะปกป้องข้า ดูแลข้าไปตลอดชีวิต… พี่ฉินเทียน เจ้าลืมแล้วหรือ? ”

“พอได้แล้ว! ”

ฉินเทียนลุกขึ้นปัดปิ่นปักผมในมือของหนานกงลั่วอวิ๋น

ดวงตาแดงฉานคู่นั้นแทบปะทุออกมา ฉินเทียนทั้งขุ่นเคืองทั้งอับจนหนทาง เขายกมือขึ้นกล่าวสาบาน “ข้าจะทำเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น สังหารซูจิ่นซีเพื่อช่วยเจ้าฟื้นคืนวรยุทธ์และรูปโฉม จากนั้นเจ้ากับข้า นับแต่นี้พวกเราเดินกันคนละทาง ถือเสียว่าในชีวิตนี้ข้า ฉินเทียน… ไม่เคยรักเจ้ามาก่อน”

หนานกงลั่วอวิ๋นรู้สึกราวกับถูกดึงวิญญาณออกจากร่าง นางตัวอ่อนระทวยล้มกับพื้น พลางร่ำไห้เสียงดัง

ฉินเทียนมองไปทางฮูหยินปิงจี แววตานั้นไม่สามารถปกปิดความขุ่นเคืองและความสิ้นหวังไว้ได้

มันคือความรู้สึกผิดหวังและโกรธเคืองของบุตรผู้หนึ่งที่ไม่เคยได้รับความรักจากมารดาของตนตามที่ควรจะได้

ทว่าฮูหยินปิงจีกลับไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนี้ หรือบางทีนางอาจรับรู้แล้ว ทว่านางกลับละเลย

ฮูหยินปิงจีหันไปมองยวี่จี ยวี่จีตอบรับในทันที เขาเดินเข้ามาหาฉินเทียน พลิกฝ่ามือ ในมือพลันปรากฏสิ่งของชิ้นหนึ่งที่มีรูปร่างสามเหลี่ยมดูคล้ายปลายหอก ทว่าวัสดุที่ใช้ต่างกัน

“นี่คือสิ่งใด? ” ฉินเทียนถามด้วยความสงสัย

ยวี่จียังคงพูดกับฉินเทียนซึ่งมีฐานะเป็นคุณชายใหญ่ด้วยความเคารพ “คุณชายใหญ่ สิ่งนี้ก็คือหนามคืนวิญญาณขอรับ”

“หนามคืนวิญญาณ? ”

“ถูกต้องขอรับ เพียงคุณชายใหญ่แทงหนามคืนวิญญาณนี้ในตำแหน่งบั้นท้ายของนาง นางจะเสียชีวิตทันที”

ฉินเทียนไม่ค่อยพอใจยวี่จีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาชำเลืองตามองยวี่จี พลางพูดตอบแผ่วเบาว่า “ข้าเคยชินกับการใช้กระบี่สังหารคน สิ่งของบ้าบออันใดพวกนี้ข้าใช้ไม่เป็น”

ยวี่จียังคงนอบน้อม ไม่มีท่าทีขุ่นเคืองแม้แต่น้อย “คุณชายใหญ่คงไม่ทราบ หากคิดจะสังหารซูจิ่นซี ต้องใช้หนามคืนวิญญาณนี้เท่านั้น”

“เพราะเหตุใด? ”

ฉินเทียนขมวดคิ้วถามกลับด้วยความสนใจ

“เพราะซูจิ่นซี นางคือลูกหลานเผ่าเม้ย หลายวันก่อนข้าน้อยได้ตรวจดูดวงดาวโคจร เห็นดาวสัตว์เทพกิเลนสองดวงกลับคืนตำแหน่ง เห็นได้ชัดว่าหยกกิเลนหยินหยางทั้งสองชิ้นได้กลับคืนสู่เจ้าของแล้ว บัดนี้ซูจิ่นซีไม่เหมือนแต่ก่อน นางไม่ใช่บุตรสาวนอกสมรสตัวน้อยๆ ของสกุลซูอีกต่อไปแล้ว นางมีสัตว์เทพกิเลนคอยคุ้มครอง อาศัยเพียงกระบี่ของคุณชายใหญ่ ไม่สามารถสังหารนางได้แน่นอนขอรับ”

ซูจิ่นซีเป็นลูกหลานเผ่าเม้ย ก่อนหน้านี้ฉินเทียนเคยคาดเดามาก่อนเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าหยกกิเลนหยินหยางทั้งสองชิ้นจะเผยออกมาเร็วถึงเพียงนี้

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินปิงจีกับยวี่จี เขากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้

“โอ้? ซูจิ่นซีเป็นลูกหลานเผ่าเม้ย เจ้ามีสิ่งใดมายืนยันหรือ? ”

ยวี่จีแย้มยิ้มอย่างลำพองใจ “ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีมาที่ตำหนักเสวียนปิง ตอนนั้นนางสามารถกำราบกระบี่จื๋ออิ่งที่ใช้ในการสังหารสัตว์เทพได้ ทั้งนางยังสามารถเคลื่อนย้ายกระถางหงส์สัมฤทธิ์ในมหาวิหารธารามรกตได้อีกด้วย อยากถามว่าใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถกำราบฤทธิ์เดชของกระบี่จื๋ออิ่งและเคลื่อนที่กระถางหงส์สัมฤทธิ์ได้ นอกจากเผ่าเม้ยแล้ว ยังมีผู้ใดอีกหรือ? ”

ฉินเทียนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ เมื่อหันไปมองยวี่จีอีกครั้ง แววตาของเขาจึงแสดงออกอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม

“หากข้าจำไม่ผิด เจ้าศึกษาวิชาอาคมเหนือมนุษย์ ความสามารถย่อมสูงส่งกว่าคนปกติหลายสิบเท่านัก”

ในฐานะที่ยวี่จีเป็นบุคคลสำคัญในสายตาฮูหยินปิงจี อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่เป็นที่สนใจหรือมีประโยชน์อันใดต่อคุณชายใหญ่ท่านนี้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำพูดชมเชยสองสามคำที่ฉินเทียนพูดออกมาเมื่อครู่ ทำให้ยวี่จีแย้มยิ้มด้วยความพอใจ

“เป็นวาสนาที่คุณชายใหญ่จำความสามารถของข้าน้อยได้ เป็นจริงดั่งคำพูดของท่าน”

ทว่าขณะที่ยวี่จีกำลังดีใจและลำพองใจนั้น ฉินเทียนกลับราดน้ำเย็นใส่ยวี่จีอย่างไร้เยื่อใย

“ตาเฒ่า แก่จนปูนนี้แล้วกลับลงมือกับสตรีที่ไม่เป็นวรยุทธ์ แล้วยังมีหน้ามาอวดอ้างความสามารถของตนเองอีก ช่าง… ไร้ยางอายสิ้นดี”

ใบหน้าของยวี่จีพลันบูดเบี้ยว ดูแย่ยิ่งกว่าตอนที่เดินออกจากบ้านแล้วเหยียบโดนอึสุนัขเสียอีก

“พอได้แล้ว! ”

ฮูหยินปิงจีกล่าวตัดบทเสียงดัง นางไม่คิดจะฟังฉินเทียนกับยวี่จีปะทะคารมกัน

“รับหนามคืนวิญญาณไปเสีย! การไขปริศนาของอั้นหรานเซียวหุนต้องใช้เลือดของคนเผ่าเม้ย เดิมทีก็นึกเสียดายที่ต้องสังหารซูจิ่นซี แต่เมื่อเจ้าใช้หนามคืนวิญญาณสังหารนางแล้ว โลหิตของนางจะถูกดูดซับเข้าไปในหนามคืนวิญญาณ ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องไขปริศนาของอั้นหรานเซียวหุน ต่อให้ต้องใช้โลหิตของนางทำเป็นยาวิเศษเพื่อช่วยชีวิตคนนับร้อยนับพันก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”

ฉินเทียนไม่ต้องการพูดกับฮูหยินปิงจีและยวี่จีให้มากความ ยิ่งไม่ปรารถนาจะอยู่ในตำหนักเสวียนปิงที่เย็นยะเยือก ไร้จิตใจ และโหดร้ายทารุณ เขารับหนามคืนวิญญาณจากมือยวี่จี ก่อนจะหันหลังเดินออกจากตำหนักเสวียนปิงทันที

เสียงฮูหยินปิงจีดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“จำไว้ให้ดี ข้าต้องได้เห็นศีรษะของนางแพศยาซูจิ่นซีกับหนามคืนวิญญาณก่อนวันจิงเจ๋อ [1] มิฉะนั้น… ข้าจะสังหารหนานกงลั่วอวิ๋น”

ฮูหยินปิงจีพูดจบ ก็มีเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น

ฉินเทียนหยุดเดินและหันหลังกลับไป เขาเห็นฮูหยินปิงจีบีบลำคอหนานกงลั่วอวิ๋นและยกนางลอยขึ้นกลางอากาศ ดูราวกับลูกไก่กำลังดิ้นทุรนทุราย

เมื่อเห็นสภาพของฮูหยินปิงจีกับหนานกงลั่วอวิ๋น ฉินเทียนพลันกำมือข้างหนึ่งแน่น ทว่าไม่นานก็คลายออก ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแววตาเยือกเย็น “ท่านแม่วางใจ ก่อนวันจิงเจ๋อ ลูกต้องกลับมาแน่นอน”

ฮูหยินปิงจีรอจนฉินเทียนเดินลับสายตาไปจึงคลายมือออกจากลำคอของหนานกงลั่วอวิ๋น

หนานกงลั่วอวิ๋นยกมือจับลำคอ พลางหายใจหืดหอบปนไอแห้งไม่หยุด

ยวี่จีเป็นกังวลเล็กน้อยจึงพูดว่า “ฮูหยิน ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างคุณชายใหญ่กับนายน้อยลึกซึ้งยิ่งนัก ข้าน้อยคิดว่า… ”

แม้ยวี่จีจะไม่ได้เอ่ยคำพูดท่อนสุดท้ายออกมา ทว่าฮูหยินปิงจีกลับเข้าใจเป็นอย่างดี

นางชำเลืองมองหนานกงลั่วอวิ๋นด้วยท่าทีแน่วแน่ “วางใจได้ ลูกของข้า ข้าย่อมเข้าใจดี! สำหรับเขาแล้ว เส้นทางอันตรายไม่ถือเป็นเรื่องยาก ทว่าความรัก… เป็นจุดอ่อนของเขา”

……

เชิงอรรถ

[1] วันจิงเจ๋อ 惊蛰 หรือ วันแมลงตื่น เป็นฤดูกาลที่ 3 ใน 24 ฤดูกาลของจีน โดยปกติจะอยู่ในช่วงวันที่ 5 หรือ 6 มีนาคมของทุกปี คำว่าจิง 惊 หมายถึง การตื่น ส่วน เจ๋อ 蛰 หมายถึง การจำศีล จิงเจ๋อ 惊蛰 จึงหมายถึง ช่วงที่เหล่าแมลงตื่นจากการจำศีลในฤดูหนาว