ฮูหยินปิงจีเหลือบมองหนานกงลั่วอวิ๋น ก่อนจะเดินจากไป
“ลากตัวไป! ”
“เจ้าค่ะ! ”
สตรีชุดเขียวจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อคุมตัวหนานกงลั่วอวิ๋น
หนานกงลั่วอวิ๋นอยู่ข้างกายฮูหยินปิงจีมาตั้งแต่เล็ก นางย่อมรู้อุปนิสัยของฮูหยินปิงจีเป็นอย่างดี หากนางถูกคุมตัวไปตามคำสั่งของฮูหยินปิงจี เช่นนั้นก่อนที่ฉินเทียนจะนำศีรษะของซูจิ่นซีมามอบให้ นางจะไม่มีวันได้พบฮูหยินปิงจีแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฟื้นฟูวรยุทธ์ของตนเอง
หนานกงลั่วอวิ๋นรีบคลานไปดึงแขนเสื้อฮูหยินปิงจีเพื่อรั้งนางไว้
“ฮูหยิน ท่านยังคงไม่เชื่อใจลั่วอวิ๋น ลั่วอวิ๋นกลับมาครั้งนี้เพราะสำนึกผิดแล้วจริงๆ ขอร้องฮูหยิน… ฟื้นฟูวรยุทธ์ให้ลั่วอวิ๋นตามที่ฮูหยินได้เคยรับปากลั่วอวิ๋นไว้ ฮูหยิน ลั่วอวิ๋นขอร้อง”
การแสดงออกของฮูหยินปิงจีเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง นางมองหนานกงลั่วอวิ๋นด้วยสายตาเฉยเมย เห็นได้ชัดว่านางเกลียดชังหนานกงลั่วอวิ๋นอย่างมาก และไม่ต้องการฟังคำพูดของหนานกงลั่วอวิ๋นแม้แต่คำเดียว
ฮูหยินปิงจีดึงแขนเสื้อตนเองออกจากมือของหนานกงลั่วอวิ๋นอย่างแรง
หนานกงลั่วอวิ๋นพลันตกตะลึง ภายในใจรู้สึกสับสน
“ฮูหยิน! ” ใบหน้าของนางซีดเผือด พลางร้องเรียกฮูหยินปิงจี “ลั่วอวิ๋นมีเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งจะบอกท่าน คิดว่าฮูหยินต้องสนใจแน่นอน”
ฮูหยินปิงจีหยุดเดินและหันหลังกลับมา นางทำท่าทีให้หนานกงลั่วอวิ๋นพูดต่อ
หนานกงลั่วอวิ๋นเหงื่อเปียกชุ่ม กลืนน้ำลาย “แท้จริงแล้ว เวลานี้ท่านอ๋องรักใคร่ซูจิ่นซีอย่างมาก เมื่อพี่ฉินเทียนสังหารซูจิ่นซี ท่านอ๋องอาจไม่สามารถบรรเทาความเศร้าใจได้ หาก… หากเกิดความผิดพลาด จะยิ่งไม่เป็นประโยชน์ต่องานใหญ่ของจักรวรรดิ ลั่วอวิ๋นมีวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้ซูจิ่นซีเป็นฝ่ายไปจากท่านอ๋องเอง หรืออาจทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองขาดสะบั้น ถึงเวลานั้น เมื่อพี่ฉินเทียนลงมืออีกครั้ง… ลั่วอวิ๋นคิดว่าจะมีประโยชน์กับพวกเรามากกว่า”
หนานกงลั่วอวิ๋นวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ทว่าดูเหมือนฮูหยินปิงจีจะไม่สนใจเท่าไรนัก
นางจึงพูดเพิ่มเติมอีกครั้งว่า “ฮูหยิน ท่านลองเดาดูสิว่า ลั่วอวิ๋นพบผู้ใดตอนอยู่ที่วิหารวิญญาณ? ”
ในที่สุดฮูหยินปิงจีก็เกิดความสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่านางทำเพียงชำเลืองตามองหนานกงลั่วอวิ๋นเล็กน้อยเท่านั้น
“พูดอ้อมค้อมให้น้อยหน่อย มีอันใดก็บอกมา”
“ลั่วอวิ๋นพบฮองเฮาแห่งแคว้นจงหนิงกับคนรักของนาง หลวงจีนทุศีล”
ฮองเฮาแห่งแคว้นจงหนิงกับหลวงจีนทุศีล ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่คนที่ฮูหยินปิงจีให้ความสนใจนัก นางจึงชักสีหน้าขุ่นเคือง
“ลากตัวไป! ”
หนานกงลั่วอวิ๋นตกตะลึง “ฮูหยิน! ท่านรู้เพียงด้านเดียว แท้จริงแล้ว ฮองเฮาแห่งแคว้นจงหนิงกับหลวงจีนทุศีลก็คือ มู่หรงอวิ๋นเกอ เสด็จอาเก้าแห่งแคว้นหนานหลี และคุณหนูแห่งสกุลจง จงเหมยจวงที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อหลายปีก่อน”
ฮูหยินปิงจีเดินมาถึงประตูทางออกพอดี ทันใดนั้นนางก็หยุดฝีเท้าและหันกลับไปถามหนานกงลั่วอวิ๋นด้วยท่าทีจริงจัง “เป็นเรื่องจริงหรือ? ”
หนานกงลั่วอวิ๋นรีบพูดเสริมอีกครั้งว่า “ลั่วอวิ๋นไม่กล้ากล่าวเท็จ เรื่องนี้เป็นความจริงทุกประการ เดิมทีมู่หรงอวิ๋นเกอกับจงเหมยจวงถูกขังไว้ที่ชั้นสิบแปดของวิหารวิญญาณ ปกติคนทั่วไปจะเข้าไปไม่ได้ ลั่วอวิ๋นยิ่งไม่มีโอกาสพบพวกเขา แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะป่วยเป็นโรคประหลาด อาการเป็นตายเท่ากัน ในช่วงเวลาคับขันจึงจำเป็นต้องเชิญหมอเทวดาหวามาดูอาการ ดังนั้นลั่วอวิ๋นจึงได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่วิหารวิญญาณ”
“เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่? ”
“ไม่ผิดแน่นอน” หนานกงลั่วอวิ๋นพูดอย่างมั่นใจ “ตอนนั้นลั่วอวิ๋นได้ยินกับหูตนเอง พวกเขาเรียกชื่อเหมยจวงกับอวิ๋นเกอ”
ในฐานะที่นางเป็นเจ้าตำหนักเสวียนปิง นอกจากนั้นตำหนักเสวียนปิงยังเป็นสถานที่ใต้บาดาลแห่งเดียวในอาณาจักรซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นนางย่อมรู้ข่าวสารทั้งหมดของแต่ละแว่นแคว้นที่อยู่ภายในอาณาจักร
ในปีนั้น มหาอุปราชแห่งแคว้นหนานหลีมีใจทะเยอทะยาน จึงส่งสายลับสามคนแฝงตัวเข้าไปในแคว้นจงหนิง นางย่อมรู้ดี ยิ่งไปกว่านั้น สายลับทั้งสามคนยังเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งกับอั้นหรานเซียวหุน
ทว่า… ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าไปในแคว้นจงหนิง เบาะแสก็ขาดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าทั้งสามคนแอบปลอมตัวเข้าไปอยู่ในจวนใดของแคว้นจงหนิง
เวลาผ่านมาเจ็ดปี บัดนี้สองในสามคนปรากฏตัวออกมาแล้ว ฮูหยินปิงจีย่อมรู้สึกประหลาดใจ
ทว่าเมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียด ฮูหยินปิงจีก็นึกไม่ออกว่าระหว่างพวกเขากับซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยานั้น มีความสัมพันธ์กันอย่างไร นางจึงไม่สนใจมากนัก
คนเราเมื่ออยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย จะยิ่งรู้จักสังเกตมากขึ้น ดังนั้นอารมณ์ทั้งหมดที่ปรากฏบนใบหน้าของฮูหยินปิงจี จึงอยู่ในความสนใจของหนานกงลั่วอวิ๋น
หนานกงลั่วอวิ๋นรีบอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “ฮูหยินคงไม่รู้กระมัง สายลับอีกคนหนึ่งที่แคว้นหนานหลีส่งเข้ามาในแคว้นจงหนิงเป็นผู้ใด? ”
เมื่อเห็นฮูหยินปิงจีมีท่าทีสนใจ หนานกงลั่วอวิ๋นจึงรีบพูด “คนผู้นั้นคือกู้เหยียนซี อนุของซูจ้งแห่งจวนสกุลซูแคว้นจงหนิง นอกจากนั้น กู้เหยียนซีก็คือจงซีจือ คุณหนูสามสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี ผู้ที่มีหยกกิเลนในครอบครอง”
จงซีจือ?
ฮูหยินปิงจีมีท่าทีเคร่งขรึม นางโบกมือให้หนานกงลั่วอวิ๋นพูดต่อ
“ตามที่ลั่วอวิ๋นสืบมา ที่ชายแดนระหว่างแคว้นหนานหลีกับแคว้นจงหนิง มีเมืองหนึ่งชื่อว่าเมืองเจียงหลิง ที่เมืองเจียงหลิงได้เกิดเหตุการณ์โรคระบาด จงซีจือหรือกู้เหยียนซี อนุของซูจ้งในเวลานั้น เนื่องจากนางมีวิชาแพทย์สูงส่ง ฮ่องเต้แห่งแคว้นจงหนิงจึงส่งนางไปบรรเทาทุกข์ภัยจากโรคระบาดที่เมืองเจียงหลิง หลังจากกำจัดโรคระบาดได้ไม่นาน จงซีจือก็เสียชีวิตอย่างไร้สาเหตุ เวลานี้ซูจิ่นซีกำลังสืบหาความจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเจียงหลิง นางสงสัยว่าการเสียชีวิตของมารดาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคระบาดในครั้งนั้น”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฮูหยินปิงจีที่เป็นคนฉลาดเฉลียวก็คาดเดาได้ทันทีว่า เหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงจับตัวจงเหมยจวงกับมู่หรงอวิ๋นเกอไว้ที่วิหารวิญญาณ
สาเหตุที่เยี่ยโยวเหยาจับตัวจงเหมยจวงกับมู่หรงอวิ๋นเกอ ไว้ ก็เพราะว่าพวกเขารู้ความจริงที่เกิดขึ้นในปีนั้น เยี่ยโยวเหยาต้องการปิดบังความจริง ไม่ตองการให้ซูจิ่นซีล่วงรู้อย่างนั้นหรือ?
สำหรับความจริงในปีนั้น ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าฮูหยินปิงจี ไม่นานนักฮูหยินปิงจีก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มแฝงเลศนัย
หนานกงลั่วอวิ๋นพูดยังไม่ทันจบ ท่าทีของฮูหยินปิงจีก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน แม้นางจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เสียเวลาครุ่นคิด ทำเพียงพูดเสริมอีกครั้งว่า
“แม้ลั่วอวิ๋นไม่รู้ว่าในปีนั้น ที่เมืองเจียงหลิงเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ลั่วอวิ๋นคิดว่าต้องเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเป็นแน่ เพียงหาวิธีบอกให้ซูจิ่นซีรู้ว่าจงเหมยจวงกับมู่หรงอวิ๋นเกอที่นางตามหามาตลอดนั้น อยู่ในเงื้อมมือของท่านอ๋อง จากนิสัยของซูจิ่นซีแล้ว นางไม่มีทางให้อภัยท่านอ๋องแน่นอน และอาจเป็นฝ่ายตัดสินใจหนีไปจากท่านอ๋องเอง”
ฮูหยินปิงจีมองหนานกงลั่วอวิ๋นด้วยแววตาลึกซึ้ง “หึ ข้าเลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยรู้เลยว่าความคิดของเจ้าจะลึกซึ้งละเอียดอ่อน ทั้งยังเข้าใจจิตใจของซูจิ่นซีมากถึงเพียงนี้! ”
หนานกงลั่วอวิ๋นรีบโขกศีรษะ “ลั่วอวิ๋นไม่กล้า ลั่วอวิ๋นไม่ได้สนิทสนมหรือพูดคุยกับซูจิ่นซีมากนัก เพียงได้พบนางที่แคว้นจงหนิงสองครั้ง และเคยได้ยินผู้คนในแคว้นจงหนิงร่ำลือเรื่องของนางเท่านั้น”
ฮูหยินปิงจีเป็นผู้มากประสบการณ์ในเรื่องความรักระหว่างชายหญิง หนานกงลั่วอวิ๋นคิดอย่างไร จะรอดพ้นจากสายตาของนางได้หรือ?
“เคยไปแคว้นจงหนิงมาสองครั้ง เพียงได้ยินเสียงร่ำลือก็เข้าใจอุปนิสัยของซูจิ่นซีแล้ว ดูเหมือนข้าจะมองข้ามเจ้าไปมากจริงๆ ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะมีความสามารถด้านนี้”
เมื่อก่อนหนานกงลั่วอวิ๋นได้รับความเอ็นดูอย่างมากจากฮูหยินปิงจี นอกจากนั้น ฮูหยินปิงจียังเลี้ยงดูหนานกงลั่วอวิ๋นประหนึ่งบุตรสาวของตน
บัดนี้เมื่อหนานกงลั่วอวิ๋นได้ยินคำพูดเย็นชาซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อน ทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และเศร้าใจจนน้ำตาไหลอาบสองแก้ม
“ศัตรูทางใจทำให้ขุ่นเคืองริษยา เจ้าเข้าใจนิสัยของซูจิ่นซีถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าคิดเช่นไรกับโยวเหยา อย่างไรก็ตาม ข้าเคยบอกเจ้าเมื่อนานมาแล้ว ข้าให้เจ้าครองคู่กับโยวเหยา ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าเข้าใจเรื่องความรักใคร่ระหว่างชายหญิง แต่ต้องการให้เจ้าอยู่ข้างกายโยวเหยา มีสถานะเป็นเพียงฮองเฮาแห่งต้าฉินเท่านั้น”