น้ำตาของหนานกงลั่วอวิ๋นไหลเป็นสายน้ำ
“คำสั่งสอนของฮูหยิน ตั้งแต่เด็ก ลั่วอวิ๋นล้วนจดจำได้ทุกคำพูด ทว่า… ทว่าลั่วอวิ๋น… ลั่วอวิ๋นหักห้ามใจตนเองไม่ได้จริงๆ ”
ฮูหยินปิงจีมองหนานกงลั่วอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา ทว่าคำพูดของนางกลับเย็นชายิ่งกว่า “ความโปรดปรานของจักรพรรดิคือภัยร้าย ดังนั้นจึงไม่ควรมีเรื่องรักใคร่ใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อมีความรักย่อมมีความห่วงหายึดติด ความห่วงหาอาวรณ์คือจุดอ่อน ข้าไม่มีวันยอมให้โยวเหยามีจุดอ่อนใดๆ ดังนั้นซูจิ่นซีต้องตายสถานเดียว หากคนผู้นั้นเปลี่ยนเป็นเจ้า ก็ย่อมมีจุดจบเดียวกัน”
หนานกงลั่วอวิ๋นเติบโตมาจนป่านนี้ นี่เป็นคำพูดที่ไร้น้ำใจที่สุดที่นางเคยได้ยินจากปากของฮูหยินปิงจี ทำให้นางรู้สึกสันหลังเย็นวาบ
หนานกงลั่วอวิ๋นยังไม่ทันตั้งสติจากอาการตกตะลึง ฮูหยินปิงจีก็ค่อยๆ เดินมายังข้างกายของหนานกงลั่วอวิ๋น จากนั้นฮูหยินปิงจีก็ใช้พลังภายในยกแขนทั้งสองของหนานกงลั่วอวิ๋นขึ้นและถ่ายเทพลังภายในของตนเข้าไปในร่างกายของหนานกงลั่วอวิ๋นอย่างเชื่องช้า
คราแรก หนานกงลั่วอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทว่าไม่นานนางก็สัมผัสได้ว่า ฮูหยินปิงจีกำลังใช้พลังภายในเชื่อมต่อเส้นลมปราณที่ขาดไปแล้วในร่างกายของนาง เพื่อฟื้นฟูวรยุทธ์ให้นางอีกครั้ง หนานกงลั่วอวิ๋นจึงหลับตารวมรวมสมาธิ ให้ความร่วมมือกับฮูหยินปิงจี
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินปิงจีดึงพลังกลับ ร่างกายของหนานกงลั่วอวิ๋นอ่อนปวกเปียกเหมือนดินโคลน นางหมดสติล้มลงกับพื้นทันที
“ลากออกไปดูแลให้ดี”
“เจ้าค่ะ! ”
องครักษ์สตรีในชุดสีเขียวสองนางเดินเข้ามาประคองหนานกงลั่วอวิ๋นออกไป
รอจนภายในตำหนักเหลือเพียงฮูหยินปิงจีกับยวี่จีสองคน
ยวี่จีเอ่ยปากถาม “ฮูหยินวางแผนทำอันใด? ”
ฮูหยินปิงจีค่อยๆ เดินขึ้นบันไดยาว
“ควรใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ รอให้ข้าวางแผนให้รัดกุมกว่านี้เสียก่อน ทว่าตอนนี้ข้ายังมีอีกแผนหนึ่ง”
ยวี่จีเอียงศีรษะมองฮูหยินปิงจี เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตั้งใจฟัง
“ข้ายังจำได้ว่ามีแม่นางผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายเฉินไท่เฟย นางมีใจผูกพันต่อโยวเหยามาโดยตลอด”
“ใช่ขอรับ ทว่าท่านอ๋องไม่มีใจให้นาง ฮูหยินคิดว่า? … ”
“…”
ฮูหยินปิงจีไม่ได้พูดอันใด ทว่าภายในแววตากลับเผยให้เห็นแผนการร้าย
……
ภายในห้องหรูหราแห่งหนึ่งในตำหนักเสวียนปิง หนานกงลั่วอวิ๋นค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเห็นใบหน้าเมี่ยวอวี่
“คุณหนูหนานกง ท่านฟื้นแล้วหรือ? ”
เมี่ยวอวี่ค่อยๆ ประคองหนานกงลั่วอวิ๋นให้ลุกขึ้นนั่ง
หนานกงลั่วอวิ๋นที่เพิ่งฟื้นจากอาการหมดสติยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย นางนิ่งไปพักใหญ่ ทันใดนั้นก็เดินพลังเพื่อทดสอบกำลังภายในของตน
เมื่อรู้สึกว่าพลังลมปราณในร่างกายสามารถหมุนเวียนไปทั่งร่างได้อย่างสะดวก ทั้งยังมีพลังเข้าไปที่จุดตันเทียน นางจึงดีใจอย่างถึงที่สุด น้ำตาพลันไหลอาบสองแก้ม
เมี่ยวอวี่ก็ดีใจเช่นกัน “คุณหนูหนานกง วรยุทธ์ของท่าน ในที่สุด… ก็ฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว”
“ใช่! ข้าฟื้นฟูวรยุทธ์ได้แล้ว เมี่ยวอวี่ วรยุทธ์ของข้าฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว” หนานกงลั่วอวิ๋นกุมมือทั้งสองของเมี่ยวอวี่ พลางพูดเสียงดังด้วยความดีใจ
ทว่าชั่วพริบตา หนานกงลั่วอวิ๋นก็ราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้ นางเลิกผ้าห่มและเดินโซเซไปยังด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งมีกระจกฝังด้วยเปลือกหอยและปะการังบานหนึ่งวางอยู่
ทันใดนั้น ใบหน้าของนางก็ปรากฏบนกระจก
หนานกงลั่วอวิ๋นลูบไล้ฝ่ามือไปยังบาดแผลบนแก้มของตนซึ่งเกิดจากหนอนพิษในคุกนรก ทันใดนั้น ร่างกายของนางพลันสั่นสะท้าน
เมี่ยวอวี่เห็นแล้วรู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก นางค่อยๆ เดินไปยังด้านหลังของหนานกงลั่วอวิ๋น และประคองหนานกงลั่วอวิ๋นที่แทบจะล้มทั้งยืน “คุณหนูหนานกง ท่านอย่าได้เศร้าโศกเสียใจไปเลย ดูแลร่างกายให้ดีเสียก่อน ฮูหยินรักใคร่เอ็นดูท่านยิ่งนัก ไม่ช้าก็เร็วฮูหยินต้องช่วยท่านรักษารูปโฉมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ด้วยวรยุทธ์ของฮูหยิน ต้องทำได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
หนานกงลั่วอวิ๋นมองผ่านกระจกไปยังเมี่ยวอวี่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะหลับตาลงทอดถอนใจ
“เมี่ยวอวี่ เจ้าไม่เข้าใจ ต่อให้ข้าเปลี่ยนแปลงรูปโฉมกลับมาดังเดิม หากนายน้อยล่วงรู้ความจริงเข้า… เขาต้อง… ไม่ให้อภัยข้าแน่นอน”
เมี่ยวอวี่ไม่รู้เรื่องที่ฮูหยินปิงจีสั่งให้ฉินเทียนไปสังหารซูจิ่นซี ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจคำพูดเมื่อครู่ของหนานกงลั่วอวิ๋นเท่าใดนัก นางนึกว่าหนานกงลั่วอวิ๋นกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเยี่ยโยวเหยา และโศกเศร้ากับรูปโฉมที่เสียหายของตน
“คุณหนูหนานกง นายน้อยจะไม่ให้อภัยท่านได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านกับนายน้อยมีสัญญาหมั้นหมายระหว่างกัน! ต่อให้คุณหนูเสียโฉมไปแล้ว แต่สัญญาหมั้นหมายระหว่างพวกท่าน ฮูหยินได้สาบานต่อพระพักตร์อดีตจักรพรรดิ! ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ รอให้นายน้อยทำงานใหญ่สำเร็จ ท่านก็คือฮองเฮาแห่งต้าฉิน”
ใช่!
เมี่ยวอวี่พูดได้ถูกต้อง สัญญาหมั้นหมายนี้ ฮูหยินได้กล่าวสาบานต่อพระพักตร์อดีตองค์จักรพรรดิด้วยตนเอง นอกจากนั้น ฐานะและอำนาจของตระกูลหนานกงที่มีต่อจักรวรรดิ หากคิดจะยกเลิกการหมั้นหมายคงไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หนานกงลั่วอวิ๋นจึงสบายใจขึ้นไม่น้อย
ทันใดนั้น หนานกงลั่วอวิ๋นก็ราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้ “เมี่ยวอวี่ วันนี้เป็นวันที่เท่าไรแล้ว? ”
เมี่ยวอวี่ไม่รู้ว่าเหตุใดหนานกงลั่วอวิ๋นถึงถามเรื่องนี้อย่างกะทันหัน จึงตอบไปว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบสามเดือนสองเจ้าค่ะ”
“วันที่สิบสามเดือนสอง…”
หนานกงลั่วอวิ๋นพูดอย่างแผ่วเบา พลางทอดสายตาออกไปไกล ไม่รู้ว่านางกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่
“ฮูหยินอยู่ในตำหนักหรือไม่? ”
“ฮูหยินกับยวี่จีออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ บ่าวที่คอยรับใช้อยู่หน้าตำหนักบอกว่าพวกเขาไปแคว้นจงหนิง อีกหลายวันกว่าจะกลับมา คุณหนูหนานกง ท่านมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ? ”
ใบหน้าของหนานกงลั่วอวิ๋นปรากฏความดีใจ นางลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก
เมี่ยวอวี่รีบรั้งหนานกงลั่วอวิ๋นไว้ “คุณหนูหนานกง วรยุทธ์ของท่านเพิ่งได้รับการฟื้นฟู เวลานี้ร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก ท่านควรนอนพักบนเตียงถึงจะถูก ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ? ”
หนานกงลั่วอวิ๋นไม่ฟังคำทัดทานของเมี่ยวอวี่ นางสลัดมือเมี่ยวอวี่ออกไป และเดินไปทางสระไร้รัก
ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา สัตว์เทพซื่อฉิงถูกรบกวนจากโลกภายนอกหลายครั้ง ทำให้มันเกิดอารมณ์คลุ้มคลั่ง เมื่อหนานกงลั่วอวิ๋นเข้ามาใกล้ มันจึงรับรู้ได้ถึงอันตรายและโผล่หัวออกมาจากสระไร้รัก
หนานกงลั่วอวิ๋นรวบรวมพลังลมปราณโดยรอบเพื่อรับมือกับสัตว์เทพซื่อฉิง และดึงเลือดบนตัวของสัตว์เทพซื่อฉิงออกมา
เมี่ยวอวี่ที่เดินตามหนานกงลั่วอวิ๋นมาด้านหลัง เมื่อเห็นภาพนี้ก็พลันตกตะลึง นางรีบเข้ามาช่วยหนานกงลั่วอวิ๋นทันที
แม้จะผนึกพลังภายในของหนานกงลั่วอวิ๋นและเมี่ยวอวี่เข้าด้วยกัน ทว่าสัตว์เทพซื่อฉิงนั้นดุร้ายยิ่งนัก พวกเขาแทบจะเอาชีวิตไม่รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องการบีบบังคับให้สัตว์เทพซื่อฉิงกลับลงไปในสระไร้รักอีกครั้ง หลังจากดึงพลังภายในกลับมา เมี่ยวอวี่เอาตัวเข้าไปขวางด้านหน้าหนานกงลั่วอวิ๋น เป็นเกราะป้องกันให้นาง จนตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เมี่ยวอวี่ เร็วเข้า! สัตว์เทพซื่อฉิงเกิดอาการคลุ้มคลั่ง อีกไม่นานยวี่จีจะต้องรับรู้เป็นแน่ เวลานี้ร่างกายของข้าอ่อนแอ ไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ยิ่งไม่มีเรี่ยวแรงเดินทางไปถึงแคว้นจงหนิง เจ้ารีบออกจากตำหนักไปพบโยวเหยา มอบสิ่งนี้ให้เขา ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเหลือเรื่องนี้ เจ้าต้องทำให้ได้”
เมี่ยวอวี่เพิ่งรู้ว่า หนานกงลั่วอวิ๋นเสี่ยงอันตรายเก็บเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงเพื่อเยี่ยโยวเหยา
เวลาเร่งรัดเข้ามาทุกที นางจึงไม่มีเวลาถามให้มากความ
เกรงว่าหากชักช้า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่นี่จะถูกยวี่จีล่วงรู้เข้า เมี่ยวอวี่กัดฟันแน่น นางรับเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงมาโดยไม่ถามไถ่และรีบเดินจากไปทันที
“คุณหนูต้องรักษาตัวด้วย”
ความจริงนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักเสวียนปิง ฮูหยินปิงจีและยวี่จีได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก่อนออกจากตำหนักแล้ว ทั้งพวกเขายังเห็นภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นผ่านทางกระจกอาคม