เล่มที่ 14 เล่มที่ 14 ตอนที่ 397 ท่านอ๋องมีรอยจูบที่คอเพคะ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“ฮูหยิน เช่นนั้นข้าน้อยรีบไปขวางทางนางไว้ดีหรือไม่? ” ยวี่จีปิดภาพในกระจกอาคม และถามฮูหยินปิงจี

“ไม่ต้อง! ตอนนั้นเจ้าเป็นผู้ฝังหมุดกร่อนรักเข้าไปในร่างกายของโยวเหยา บัดนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่สามารถถอนออกได้ ต่อให้พวกเขาได้เลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใด ดี ใช้โอกาสนี้เพื่อให้โยวเหยาได้ทำใจ และรู้ว่าผู้ใดคือคนที่เขาควรใส่ใจ ผู้ใดเป็นเพียงหมอกควันที่ลอยมาบดบังสายตา อย่างไรเสีย… เขาก็ยังเยาว์นัก”

“ขอรับ! ”

……

เมื่อเยี่ยโยวเหยากลับมาจากเรือนรับรองของจิ่วหรง เขาไม่ได้กลับตำหนักฝูอวิ๋นในทันที ทว่ามุ่งตรงไปที่เรือนอวิ๋นไค

ลวี่หลีทำหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าห้องของซูจิ่นซีในช่วงกลางคืน นางนั่งหลับเอามือเท้าคางอยู่ข้างเตาผิง ทันใดนั้นนางก็ตกใจตื่น เห็นภาพเยี่ยโยวเหยากำลังเดินมา ลวี่หลีจึงรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“ท่าน… ”

เยี่ยโยวเหยารีบทำสัญญาณมือไม่ให้ส่งเสียง ลวี่หลีจึงกลืนคำพูดลงไป

เมื่อก้าวเข้าไปภายในห้อง เยี่ยโยวเหยาก็จงใจลดเสียงฝีเท้าของตนลง

ซูจิ่นซีกำลังนอนหลับอยู่ในห้อง ทั้งท่วงท่าการนอนของนางก็เป็นเหมือนปกติ คือนอนแผ่หลาเต็มพื้นที่

ด้านในห้องจุดเตาผิงไว้หลายแห่ง ทำให้บรรยากาศภายในอบอุ่น ดังนั้นตอนเข้านอน ซูจิ่นซีจึงมักสวมเสื้อผ้าเบาบาง เมื่อพลิกตัวก็เผยให้เห็นสัดส่วนเต็มสองตา

เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเดินไปข้างเตียงและจัดระเบียบร่างกายของซูจิ่นซีให้เรียบร้อย เขาถอดเสื้อของตนเอง จากนั้นก็นอนลงข้างซูจิ่นซี

ขณะที่เยี่ยโยวเหยากำลังเอนตัวลงนอน ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังละเมอหรือบ่นพึมพำอันใด นางพลิกตัวมากอดรัดเยี่ยโยวเหยาแน่นราวกับปลาหมึก

เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากด้วยความรักและเอ็นดู พลางดึงผ้ามาห่มให้ซูจิ่นซี และใช้พลังภายในดับตะเกียงที่จุดไว้บนโต๊ะ

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูจิ่นซีตื่นขึ้นมา เยี่ยโยวเหยาก็นั่งดื่มชาอยู่ด้านล่างเรือนแล้ว

ซูจิ่นซีรู้สึกว่ามีสิ่งใดบางอย่างผิดปกติ นางกำลังนั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียง ขณะที่ลวี่หลียกอุปกรณ์ล้างหน้าขึ้นมา

“คุณหนู ท่านเป็นอันใด? ”

ซูจิ่นซีหันไปมองลวี่หลี ก่อนจะลงจากเตียงเดินไปล้างหน้าล้างตา

“ไม่มีอันใด ดูเหมือนว่าเมื่อคืนข้าจะฝันไป”

ซูจิ่นซีเหมือนจะฝันว่านางนอนอยู่กับเยี่ยโยวเหยา ทั้งนางยังทำบางอย่างที่น่าอับอายอีกด้วย

ความฝันเป็นเรื่องปกติ ลวี่หลีจึงไม่ได้ถามให้มากความ ซูจิ่นซีเองก็ไม่ได้อธิบายอันใด หลังล้างหน้าเสร็จ ซูจิ่นซีก็เดินออกจากห้องไปรับประทานอาหารเช้ากับเยี่ยโยวเหยา

แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่อง ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

เยี่ยโยวเหยาสวมชุดสีขาวหิมะ กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่เรือนอวิ๋นไค บริเวณระหว่างเส้นผมดำขลับและเสื้อสีขาวหิมะของเขานั้นมีร่องรอยสีแดงปรากฏอย่างชัดเจน

ขณะที่ซูจิ่นซีเดินเข้าไป รอยนั้นก็กระทบสายตานางอย่างจัง เห็นเด่นชัดมาแต่ไกล

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น รอยยิ้มและอารมณ์สุขใจที่ปรากฏบนใบหน้าพลันมลายสิ้น นางถามแม่นมฮวาที่กำลังเดินสวนออกมา “เมื่อคืนท่านอ๋องกลับมาตั้งแต่เมื่อใด? ”

“เมื่อคืนบ่าวไม่มีเรื่องอันใดต้องทำ จึงเข้านอนเร็วเพคะ ทำให้ไม่ทราบว่าท่านอ๋องกลับมาเมื่อใด”

เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซียังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ จึงพูดว่า “ซีซี ยังไม่เข้ามาอีก”

ซูจิ่นซีเห็นรอยบนลำคอของเยี่ยโยวเหยา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตา จิตใจพลันขุ่นเคืองสับสน นางหันหลังเดินกลับเรือนของตนทันที

“ไม่เสวย ไม่หิวเพคะ หม่อมฉันอยากกลับไปพักผ่อน”

ซูจิ่นซีเดินลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว แม่นมฮวายกสำรับอาหารเช้าทั้งหมดมาวางบนโต๊ะ ทว่าสุดท้ายกลับมีเยี่ยโยวเหยาเพียงผู้เดียว

เห็นได้ชัดว่าพระชายากำลังเสด็จมาเสวยอาหารเช้าไม่ใช่หรือ? เหตุใดเมื่อเห็นท่านอ๋องแล้วจึงทูลว่าไม่หิวเล่า?

เกิดอันใดขึ้นกันแน่?

แม่นมฮวามองเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตางุนงง เดิมทีนางคิดว่าอาจได้ความอันใดบ้างจากดวงตาที่คุ้นเคยของเยี่ยโยวเหยา ทว่าสายตานั้นกลับว่างเปล่า นางไม่พบข้อมูลอันใดแม้แต่น้อย แม่นมฮวาจึงยิ่งรู้สึกงุนงงเข้าไปใหญ่

ในเวลานี้ ลวี่หลีกำลังเดินออกมาจากเรือนอวิ๋นไค นางมีท่าทีสงสัย แม่นมฮวาเดินเข้าไปใกล้ๆ ลวี่หลีและพูดแผ่วเบาว่า “นี่นางหนู เมื่อคืนเจ้าอยู่เฝ้าพระชายาตอนกลางคืน คงนอนดึกล่ะสิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านอ๋องกลับมายามใด? ”

“ท่านอ๋องหรือ? กลับมาประมาณยามจื่อ มีอันใดหรือ? ”

“เมื่อครู่พระชายาถามข้า”

“คุณหนูถามหรือ? คงไม่ใช่กระมัง! คืนวาน หลังจากที่ท่านอ๋องกลับมาก็เข้าพักผ่อนที่เรือนอวิ๋นไค คุณหนูต้องรู้อยู่แล้ว เหตุใดต้องถามอีก? ”

“พักผ่อนที่เรือนอวิ๋นไคหรือ? ”

แม่นมฮวาปรนนิบัติเยี่ยโยวเหยามานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องกลับจวนมาแล้วไม่ได้บรรทมในเรือนของตนเอง และเป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องไปบรรทมที่เรือนอวิ๋นไค

อย่างไรเสีย เยี่ยโยวเหยาเป็นคนรักสะอาด นอกจากห้องบรรทมของตนแล้ว น้อยครั้งที่เขาจะไปบรรทมยังสถานที่อื่น

แม่นมฮวารู้ดีว่าเยี่ยโยวเหยารักใคร่ซูจิ่นซี ทว่านางยังคงมองเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทีประหลาดใจ

ครั้งนี้แม่นมฮวาหันไปเห็นรอยสีแดงบนลำคอของเยี่ยโยวเหยาเข้าพอดี

“อืม… ”

แม่นมฮวาเบิกตากว้างพลางเม้มริมฝีปาก ครู่เดียวก็เผยรอยยิ้มดีใจอย่างยิ่ง

“แม่นมฮวา ท่านเป็นอันใด? ” ลวี่หลีที่ไม่รู้เรื่องอันใดเลย เอ่ยถามแม่นมฮวาด้วยความสงสัย

ในเวลานี้ แม่นมฮวากำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง

รอยสีแดงบนลำคอของท่านอ๋อง เมื่อคืนวานท่านอ๋องคงแสดงความรักกับพระชายาไปไม่น้อย ทว่าเหตุใดพระชายาจึงถามว่าท่านอ๋องกลับมาเมื่อใด? ”

เกิดอันใดขึ้นกันแน่?

แม่นมฮวาครุ่นคิดจนหัวหมุน และด้วยความคิดที่ฉับไว ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ รอยยิ้มสดใสจึงปรากฏบนใบหน้า

แม่นมฮวาดึงลวี่หลีเข้ามาถาม “นางหนู เมื่อครู่พระชายาพูดอันใดบ้าง? ”

“พูด… ” พระชายาพูดอันใด ลวี่หลีจะรู้ได้อย่างไร

เมื่อครู่ลวี่หลีอยู่ในเรือน นางไม่มีทางได้ยินว่าซูจิ่นซีพูดอันใด

อย่างไรก็ตาม แม่นมฮวาไม่ได้คาดหวังคำตอบจากลวี่หลี เพราะนางได้ยินชัดเจนมากกว่าผู้อื่น แม่นมฮวาแย้มยิ้มพูดว่า “พระชายาทูลว่าไม่หิว ต้องการกลับไปพักผ่อน”

ลวี่หลีขมวดคิ้วเล็กน้อย

นิสัยของคุณหนูเป็นอย่างไร ลวี่หลีเข้าใจมากที่สุด หลังจากที่คุณหนูหายจากโรคโง่งมที่นางเป็นเมื่อก่อน คุณหนูก็มีท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้มาตลอด

คงไม่ใช่เพราะไม่ต้องการเสวยพระกระยาหารหรือต้องการกลับไปพักผ่อนกระมัง ต้องมีสิ่งใดผิดปกติเป็นแน่?

แม่นมฮวายังคงซักไซ้ถามอีกครั้งว่า “ระยะหลังมานี้ พระชายานอนมากผิดปกติหรือไม่? ”

“นอนมากผิดปกติ? ” ลวี่หลีหวนนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาเข้าบรรทมที่ตำหนักฝูอวิ๋น กว่าพวกเขาจะตื่นก็เป็นยามอู่แล้ว นอกจากนั้น เมื่อคืนวานซูจิ่นซีก็เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งเช้า ทั้งนางยังบอกอีกว่าจะกลับไปนอนพักผ่อนต่อ ลวี่หลีจึงตอบว่า “เหมือน… จะเป็นเช่นนั้น! ”

“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว! ” แม่นมฮวาปรบมือ

ลวี่หลีตกใจท่าทางของแม่นมฮวา นางยกมือทาบอกและพูดว่า “แม่นมฮวา! ท่านก็อย่าแสดงท่าทีประหลาดใจจนน่ากลัวเช่นนั้น ข้าตกใจหมด”

แม่นมฮวาไม่สนใจลวี่หลี นางเดินเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “แหะ แหะ ท่านอ๋อง บ่าวคิดว่า! มีความเป็นไปได้มากที่พระชายาอาจมีข่าวดีเพคะ สตรียามตั้งครรภ์มักมีอารมณ์แปรปรวนเป็นปกติ บ้างหงุดหงิดบ้างไม่แน่นอน ท่านอ๋องก็ควรเอาอกเอาใจพระชายาให้มากนะเพคะ ยอมนางบ้าง อย่างไรเสีย จวนของเราก็มีพระชายาเพียงพระองค์เดียว หลายปีมานี้ข้างกายท่านอ๋องมีแต่พระชายา ในอนาคต หากท่านอ๋องน้อยประสูติออกมาแล้ว อารมณ์ของพระชายาก็จะเป็นปกติเพคะ”

เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หันศีรษะไปมองแม่นมฮวาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

แม่นมฮวาทึกทักเอาเองว่าเยี่ยโยวเหยาฟังเข้าใจ จึงแย้มยิ้มสดใส “ใช่แล้ว ท่านอ๋อง เช่นนั้นให้บ่าวรีบไปเชิญท่านหมอมาตรวจดูอาการของพระชายาดีหรือไม่เพคะ? ”

“ไม่ต้อง! ”

เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นเดินไปทางเรือนอวิ๋นไค

ทันใดนั้น แม่นมฮวาก็ใช้มือตบไปที่น่องตนเองเบาๆ “โอ้ย ดูสิ บ่าวช่างขี้ลืม จวนของเรามีหมอเทวดาอยู่ทั้งคน ไม่จำเป็นต้องไปเชิญหมอที่ไหน บ่าวจะรีบไปเชิญหมอเทวดาหวาเดี๋ยวนี้เพคะ”

แม่นมฮวาพูดพลางเดินออกจากเรือนชิงโยวไปยังเรือนพักของหมอเทวดาหวา

ในยามปกติ แม่นมฮวาเป็นผู้ที่มีความคิดรอบคอบ นางไม่มีทางเข้าใจความคิดของเยี่ยโยวเหยาผิดจนเลยเถิดถึงเพียงนี้ ทว่าวันนี้แม่นมฮวาเข้าใจผิด คิดว่าซูจิ่นซีตั้งครรภ์ ทำให้นางดีใจจนออกหน้าออกตา ความคิดจึงเลอะเลือนไปบ้าง