ถ้าไม่ใช่การแก้แค้น ทำไมตอนที่เขาจัดการซูซีและเบลซ ถึงมาแย่งโปรเจคที่เขาให้ความสนใจไปล่ะ?
เทาเท่กลับคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงอย่างซูซีนั้น ยังมีคนที่มาช่วยเธอและไม่เสียใจที่จะมาเป็นคู่อริกันกับเขา
จอนห์พูดต่ออีกว่า “ผมสืบประวัติส่วนตัวของไกรภพคนนี้มาแล้วครับ เขาเป็นเชื้อสายจีน เติบโตที่ต่างประเทศ ฐานะทางครอบครัวใช้ได้ ความสามารถส่วนตัวก็ดีมากอีกด้วย บริษัทตอนนี้เขาก่อตั้งด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เรียกได้ว่าหล่อและยังมีเงินครับ”
“อืม” เทาเท่ตอบรับเสียงเรียบและไม่ได้พูดอะไรต่อ
จอนห์นึกว่าเทาเท่จะโกรธที่ชิปโปรเจคถูกแย่งไปหรือไม่ก็คิดหาวิธีจัดการกับไกรภพนั่น แต่ว่าสายตาของเทาเท่สงบนิ่งมาก จนทำให้จอนห์คิดไม่ตกว่าตกลงเขากำลังคิดอะไรอยู่แน่
ดังนั้นเขาจึงลองถามว่า “แล้วเรื่องชิปโปรเจค….”
เทาเท่พูดอย่างสุขุม “ถ้าเขาอยากแย่งก็แย่งไปเถอะ ฉันแพลนจะลงทุนเปิดโรงงานเอง”
โรงงานนั่นในประเทศนิวซีแลนด์มีเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่แข็งแรง เดิมทีเทาเท่อยากที่จะเทคโอเวอร์มาเพื่อลงทุนการผลิต คิดไม่ถึงว่าจะถูกไกรภพนั่นฉวยเอาไป
จอนห์ประหลาดใจเล็กน้อย “พวกเราลงทุนเองหรอครับ? งั้นแนวรบก็ต้องยืดออกไปอีกน่ะสิครับ”
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงแล้ว แค่เลือกทำเลโรงงานช่วงแรกก็สูญเสียเวลาไปมาก อย่าพูดถึงว่าจะต้องสร้างโรงงานจัดตั้งกลุ่มการผลิตเลย
“ใจร้อนอยากสำเร็จโดยทันทีโดยไม่ดูความเป็นไปได้” เทาเท่พูดด้วยสีหน้าขึงขัง “ครั้งที่แล้วหลังจากกลับมาจากนิวซีแลนด์ ฉันก็พิจารณาถึงเรื่องนี้ ตนย่อมเป็นที่พึงแห่งตน แทนที่พวกเราจะฝากความหวังไว้กับคนอื่น สู้เอาอำนาจในการควบคุมมาไว้ในมือของตนจะดีกว่า”
“สร้างเองและสนองความต้องการเอง หลังจากนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจใคร”
จอนห์พยักหน้าแสดงความเข้าใจ “งั้นพรุ่งนี้ผมจะเริ่มลงมือเลือกทำเลนะครับ”
“อื้ม” เทาเท่วางใจความสามารถในการทำงานของจอนห์มาก หลากหลายเรื่องเขาไม่จำเป็นต้องพูดเยอะจอนห์ก็เข้าใจ นี่เป็นความสามารถที่หาตัวจับยาก
จอนห์ขับรถมาส่งเทาเท่ทีบ้านแล้วจึงขับออกไป เป็นไปตามที่คาดไว้เทาเท่ถูกหลินจือทิ้งให้อยู่ข้างนอก
เทาเท่พูดอย่างจนปัญญาอยู่ด้านนอกประตูว่า “ผมผิดไปแล้ว หลังจากนี้ถ้าไม่ผ่านความเห็นด้วยของคุณ ผมรับรองว่าจะไม่พูดซี้ซั่วให้คนนอกรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา”
หลินจือไม่อยากที่จะสนใจเขาแม้สักนิด ตอนนี้ทุกคนรู้กันทั่วหมดแล้ว ต่อให้หลังจากนี้เขาจะไม่พูดอะไรอีก จะยังมีประโยชน์อะไร?
เทาเท่จึงทำได้แค่ร้องขึ้นอีกว่า “ผมประชุมตลอดช่วงเช้าเลย หิวจริงๆ คุณเปิดประตูผมถึงจะเข้าไปทำอาหารได้”
เทาเท่คิดไม่ถึงจริงๆเลยว่าจะมีสักวันที่ตัวเองนั้นจะก้มหัวให้กับผู้หญิงคนนึงและไม่กล้าที่จะมีอารมณ์เสียแม้สักนิดเดียว
หลินจือพูดปะทะเขาขึ้นจากในห้อง “บ้านคุณก็มีห้องครัวไม่ใช่หรอ? ถ้าหิวก็กลับบ้านไปทำสิ หรือไม่ก็เรียกgrabก็ได้”
เทาเท่หายใจเข้าลึกๆและพูดต่อว่า “คุณไม่หิวหรอ? ผมยังต้องทำให้คุณกินอีกไม่ใช่หรอ?”
หลินจือรู้สึกว่าคำพูดของเทาเท่น่าขำ “เทาเท่ คุณเพิ่งจะได้เป็นพ่อครัวมือใหม่ ยังกล้ามาพูดแบบนี้กับฉันหรอ?”
เธอเคยเป็นแม่บ้านมาสามปี ทำอะไรก็อร่อย เขาพูดอย่างกับถ้าเธอไม่มีเขาก็คงจะหิวตาย นี่เขาอยากให้เธอขำตายใช่มั้ยเนี่ย?
เพื่อโจมตีเขา หลินจือก็จงใจพูดอีกว่า “ขอโทษนะ ฉันกินเรียบร้อยแล้ว กินเกี๊ยวน้ำยัดไส้ไป อร่อยสุดๆ”
เทาเท่ “….”
นั่นเป็นอาหารที่เขาชอบมากที่สุด ในวันที่อากาศหนาวๆได้กินเกี๊ยวน้ำร้อนๆ คงอร่อยน่าดูเลย
เทาเท่คิดเข้าข้างตัวเองว่าหลินจือคงต้องตั้งใจทำให้เขาแน่ เพราะเธอรู้ว่าเขาชอบมันมากแค่ไหน
คิดได้อย่างนี้แล้ว คนที่ถูกทิ้งให้รอข้างนอกก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจขนาดนั้น
และทันใดนั้นเองเขาก็มีความคิดอื่นเข้ามา เขาเลยพูดอย่างรามือว่า “เอาเถอะ ในเมื่อคุณแล้งน้ำใจอย่างนี้ ผมก็คงต้องกลับไป”
เขาพูดจบก็หันตัวกลับไปที่บ้านของเขาเอง ขณะที่หลินจือยังคงอึดอัดใจว่าทำไมเขาถึงว่าง่ายขนาดนี้นั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องนอนชั้นสอง
หลินจือไหวตัวทันทีแล้วรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน
แต่ทว่าช้าเกินไปแล้ว พอเธอถลันเข้ามาที่ห้องนอน เทาเท่ก็ได้เปิดหน้าต่างกระโดดเข้ามาในลานระเบียงของเธอ
หลินจือโกรธจนตัวสั่น ยกนิ้วชี้ขึ้นจะด่าเขา “เทาเท่!”
ช่วงนี้เขาเข้าออกตามประตูมาตลอด หลินจือลืมวิธีการเข้าห้องของเขาอย่างนี้ไปเสียถนัด
เทาเท่เข้ามาประกบจูบที่ริมฝีปากของเธอ แล้วพูดทีข้างหูของเธอว่า “อย่าตะคอก เดี๋ยวเสียงแหบอีก”
หลินจือหน้าแดงขึ้นมาทันใด เพราะเมื่อคืนถูกเขาทรมานอยู่นาน เธอร้องโอดอวนแทบจะตลอดทั้งคืน วันนี้พอตื่นขึ้นมาเสียงก็แหบ
ตอนนี้เขาพูดอย่างนี้จงใจเยาะเย้ยเธอทำให้เธออาย
แต่ในเวลานี้เทาเท่เดินลงไปชั้นล่างอย่างชิวๆ แล้วหาเกี๊ยวน้ำที่หลินจือเพิ่งทำไว้ในห้องครัวเจอได้อย่างเหมาะเจาะ แล้วจัดแจงวางไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย
จริงๆแล้วหลินจือยังไม่ได้กิน เมื่อกี้ไม่อยากให้เขาเข้ามาก็เลยพูดระบายออกไปเพื่อคิดบัญชีกับเขาเท่านั้นเอง
แต่ครั้งนี้หลินจือโมโหสุดขีดจริงๆ ตลอดการกินอาหารเธอไม่สนใจเทาเท่เลย
หลินจือทำเกี๊ยวน้ำไว้เยอะมาก ตัวเธอเองกินชามเล็กก็อิ่มแล้ว ส่วนที่เหลือก็ถูกเทาเท่กินจนหมดแล้ว
หลินจือเห็นใบหน้าที่หล่อเหลากินจนเหงื่อเต็มหน้าผาก ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “เทาเท่ นี่ทำไมคุณถึงกินได้ขนาดนี้?”
เดิมทีเธออยากที่จะเหลือไว้ให้นานิเก็บไว้ในตู้เย็น นานิก็ชอบกินเกี๊ยวน้ำฝีมือเธอเหมือนกัน สรุปก็เห็นว่าเทาเท่เหมือนกินไม่อิ่ม เธอก็เลยเอาส่วนที่เหลือไว้ให้นานิไปอุ่นให้เขา เขาก็กินหมดอีก จนหลินจือต้องพูดแขวะเขา
เทาเท่พูดด้วยใบหน้าเจ็บปวด “แต่ก่อนผมก็กินเยอะอย่างนี้ไม่ใช่หรอ? ทุกครั้งที่คุณทำเกี๊ยวน้ำ คุณเองก็กินชามเล็ก ส่วนที่เหลือก็เป็นของผม”
“ครั้งนั้นก็ไม่เห็นว่าคุณรังเกียจอะไรผมเลย ตอนนี้กลับรังเกียจผมแล้วหรอ?”
“ในใจไม่มีผมแล้วจริงๆ ขนาดผมกินข้าวก็ยังไม่ชอบเลย”
หลินจือถูกคำพูดต่อว่าของเขาจนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
เธอก็แค่แขวะเขาว่ากินเยอะเท่านั้นเอง เขาจำเป็นที่จะต้องบ่นอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างนี้มั้ย?
สุดท้ายเธอก็ทำได้แค่หาข้อแก้ต่างให้ตัวเอง “เดิมทีฉันเหลือไว้ให้นานิชุดนึง ใครจะรู้ว่าคุณจะกินจนหมด”
เทาเท่พูดอย่างไม่พอใจว่า “ถ้าเขาอยากกินก็ทำเองสิ มีสิทธิ์อะไรมากินฝีมือของคุณด้วย?”
หลินจือพูดอย่างโมโหว่า “แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมากินล่ะ?”
นานิไม่รู้เรื่องอะไรในห้องครัวหรอก เทาเท่บอกว่าให้เขานั้นทำเอง นานิคงได้ทำห้องครัวไหม้ซะก่อน
เทาเท่ยิ้มมุกปากอย่างมีเลศนัย แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนผมใช้แรงเยอะน่ะสิ”
หลินจือ “……”
เธออยากที่จะเอาชามที่อยู่ตรงหน้ามาเคาะที่หัวเขา ทำไมเขาหน้าไม่อายอย่างนี้?
หลังจากที่หย่ากันไปแล้วได้มาคบกับเทาเท่ใหม่ หลินจือรู้สึกว่าแต่ก่อนนั้นตัวเองได้รู้จักกับเทาเท่ตัวปลอม
เธอโมโหจนเดินออกไป เทาเท่เก็บกวาดบนโต๊ะอย่างหนักเอาเบาสู้ เอาชามช้อนวางเข้าไปในเครื่องล้างจานเพื่อทำความสะอาด
ตอนนี้เทาเท่ทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างคล่องมือมากยิ่งขึ้น อยู่มาจะสามสิบเก้าปีแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยทำเรื่องแบบนี้ซะที่ไหน แต่ว่าตอนนี้เขารู้สึกว่ามันเรียบง่ายก็ดีไม่น้อยเลย
ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอย่างมีความสุขก็เป็นความสำเร็จอีกอย่างนึง