บทที่ 293 ยักษ์ใหญ่การลงทุน

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

หลังจากที่เก็บของในห้องครัวเสร็จแล้ว เทาเท่ก็หาหลินจือที่กำลังเปิดโทรทัศน์ในห้องอ่านหนังสือจนเจอ

เดินเข้าไปแล้วกอดเจ้าตัวจากด้านหลังเก้าอี้ เขาถูไถที่ข้างแก้มของเธออย่างรักใคร่แล้วถามว่า “ตอนกลางวันจะทำอะไร?”

เดิมทีหลินจือไม่อยากที่จะสนใจเขา แต่ก็ให้คิดถึงเรื่องที่ตัวเองต้องทำเลยพูดว่า “พ่อของฉันบอกว่าถือเอาเวลาช่วงนี้พักฟื้น แล้วพิจารณาถึงการคัดเลือกนักแสดงของบทละครของพ่อ”

การทำงานของบทละครของหลินจือเรื่อง“The Legend of Concubine Rong”ได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อจากนี้เธอยังคงเตรียมตัวในบทเรื่องฉันจะหาคุณให้เจอของจอร์แดน จอร์แดนมีความเชื่อมันในตัวเธออย่างมาก และบอกให้เธอเลือกนักแสดงที่เธอคิดว่าเหมาะสมได้

แน่นอนล่ะว่าเหนือพวกเขาไปยังมีเทาเท่ที่เป็นยักษ์ใหญ่การลงทุนคนนี้อีก สุดท้ายแล้วเรื่องนักแสดงก็ยังคงเป็นผู้กำกับและเทาเท่เป็นคนทำการตัดสินใจ

พอหลินจือพูดถึงเรื่องเลือกตัวนักแสดงขึ้นมา เทาเท่ก็คิดถึงมาเรียนักแสดงชายคนนั้นที่พยายามเข้าใกล้หลินจือในงานเลี้ยงตอนค่ำครั้งที่แล้ว เห็นได้ชัดว่ามาเรียวางแผนจะเป็นนักแสดงหลักเรื่องฉันจะหาคุณให้เจอ

ดังนั้นเทาเท่จึงขมวดคิ้วแล้วเตือนหลินจือว่า “ในเมื่อคุณก็อยู่ในวงการนี้มานานแล้ว งั้นคุณต้องรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆที่อยู่ในวงการนี้แน่นอน”

หลินจือไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเขาถึงพูดขัดขึ้นมาอย่างนี้ “คุณหมายความว่าไง?”

เทาเท่พูดอย่างรู้สึกกัดฟันว่า “หมายความว่าในวงการนี้ผู้หญิงบางคนก็เข้าใกล้ผู้กำกับที่มีอำนาจในการพูดคุยหรือผู้เขียนบทรวมไปถึงนักลงทุน นักแสดงชายบางคนก็เหมือนกัน!”

ในที่สุดคำพูดของเขาก็ทำให้หลินจือเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เธอจ้องมองและพูดกับเขาด้วยความรู้สึกโมโห “ในสายตาของคุณฉันเป็นคนที่ไม่มีหลักการอย่างนี้หรอ?”

คำพูดของเขาบ่งบอกว่าเธอหลงกับดักชายหน้าตาหล่อเหลา

เทาเท่พูดเสียงเนิบๆว่า “นิปปอนก็เป็นคนที่คุณแนะนำมาไม่ใช่หรอ?”

ตอนนั้นตอนที่เธอเข้าประชุมเพื่อแนะนำให้นิปปอนมารับบทพระเอกในเรื่องThe Legend of Concubine Rong เธอใช้คำชมมากมายมาชมนิปปอน ทั้งเรื่องร่างหน้าตาที่หล่อเหลา จนทำให้เขาโกรธแทบตาย

หลินจือยังไม่ทันได้พูดอะไร เทาเท่ก็พูดต่อขึ้นว่า “แล้วไหนยังจะโจมอนนั้นอีก ผมได้ยินมาว่าตอนนั้นเขาก็เป็นคนที่คุณช่วยนานิเลือกนิ”

หลินจืออธิบายอย่างแข็งขันว่า “พวกเขาเป็นคนที่ฉันเลือก แต่ว่านั่นเป็นเพราะฉันคิดว่าพวกเขาทั้งสองเหมาะสมกัน ไม่ใช่เพราะฉันหลงเสน่ห์อะไร”

เทาเท่ก็มีไอเดียของตัวเองอยู่นานแล้วจึงพูดว่า “บทละครนี้คุณทำได้แค่แนะนำนักแสดงหญิง”

ต่อให้เธอจะไม่หลงเสน่ห์ผู้ชาย แต่เขาก็ไม่อยากได้ยินเธอพูดชมนักแสดงคนอื่นๆ ตอนที่เธอพูดแนะนำนักแสดงชาย

หลินจือให้โกรธนัก “เทาเท่ ถ้าคุณเป็นอย่างนี้ฉันจะทำงานยังไง?”

ผู้เขียนบทเป็นงานของเธอและเธอจะทำมันไปตลอดชีวิต นี่เป็นเรื่องที่สองของเธอ แต่เขาก็หึงเรื่องที่เธอแนะนำนักแสดงชายอย่างนี้ หลังจากนี้เขาจะเป็นขนาดไหน? เธอยังจะกล้ากลับมาคืนดีกับเขาไหม?

ความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่ชอบด้วยเหตุผล เขายังถือสาอย่างนี้ ถ้าแต่งงานกันแล้วจริงๆเขาคงไม่อ้างสิทธิ์ความเป็นสามีเพื่อก้าวก่ายเธอในทุกๆด้านหรอกหรอ?

เดิมทีในใจของหลินจือมีบุคคลที่เลือกเอาไว้อยู่แล้ว ยังอยากที่จะมาพูดคุยกับเทาเท่อยู่เลย แต่ว่าท่าทีที่หึงของเทาเท่นี้เธอยังคุยกับเขาได้หรอ?

เทาเท่ก็แค่ทนเห็นไม่ได้ที่หลินจือชื่นชมผู้ชายคนอื่น ดังนั้นเขาเลยไม่ยอมเลยสักนิด

หลินจือก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะต้องทะเลาะกับเขาทุกเมื่อ เธอจึงเอ่ยปากพูดเสียงเบาทันที “คุณเป็นอย่างนี้ใครจะกล้าคืนดีด้วย?”

คำพูดโดนจุดอ่อนของเทาเท่เข้าอย่างจัง เลยให้ไม่มีอารมณ์โทสะใดๆทันที

หึงก็ไม่หึงแล้ว โมโหก็ไม่โมโหแล้ว เลยเปลี่ยนท่าทีแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าคุณจะเลือกนักแสดงชายไม่ได้ แต่ว่าคุณไปใกล้ชิดเป็นการส่วนตัวกับพวกเขาไม่ได้ ถ้าถูกนักข่าวถ่ายได้จะเกิดผลกระทบไม่ดีเอา”

เทาเท่พูดตรงจุดนี้ก็มีเหตุผลจริงๆ ในวงการบันเทิงไม่ว่าจะเป็นศิลปินชายหรือหญิงต่างก็เป็นเป้าถูกพวกนักข่าวจ้อง ถ้าเธอไปใกล้ชิดกับศิลปินชายอะไรเป็นการส่วนตัวแล้วล่ะก็คงต้องมีข่าวgossipเป็นแน่ และไม่ดีต่อละครเรื่องฉันจะหาคุณให้เจอ

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าแต่ก่อนตอนที่เธอใกล้ชิดกับโจมอนและเจเทาวน์ เธอไม่กล้าที่จะถูกพวกนักข่าวถ่าย

ดังนั้นหลินจือก็ตอบรับอย่างง่ายดายว่า “ตกลง ฉันแค่คัดเลือกคนที่เหมาะสมที่ฉันคิดไว้เท่านั้น”

เทาเท่ก็ถามต่ออีกว่า “แล้วคุณมีนักแสดงที่เหมาะสมอยู่ในใจไว้หรือยัง?”

หลินจือคิดถึงท่าทางหึงของเขาเมื่อกี้นี้ เลยตอบว่า “ยังไม่มี”

เซ้นส์บอกกับเธอว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนักแสดงชายที่อยู่ในใจของเธอกับเทาเท่

เทาเท่พูดอย่างโล่งอกว่า “งั้นก็ค่อยๆเลือกนะ”

หลินจือก็มือขึ้นชี้ไปทางโทรศัพท์แล้วพูดอธิบายว่า “วันหลังคุณก็อย่าไปพูดเรื่องราวของเราต่อหน้านักข่าว คุณติดอันดับการค้นหายอดนิยมมากกว่าพวกนักแสดงชายในวงการบันเทิงเสียอีกถ้าเทียบกัน”

เมื่อกี้นี้เธอเพิ่งเห็นในยอดการค้นหา ก็คำพูดที่เทาเท่พูดไปก่อนหน้านี้นี่แหละเธอเลยติดอันดับการค้นหายอดนิยม

หัวข้อยอดนิยมนั้นคือ เทาเท่ยอมรับว่ารักอดีตภรรยา

เพียงแต่ว่าช่วงนี้หลินจือได้ติดอันดับการค้นหายอดนิยมนั้นหลายครั้งเกินไปหน่อยหรือเปล่า ดังนั้นเลยกระตุ้นความไม่ชอบของคนทั้งหลาย ต่างก็ไม่พ้นคนที่จะมาลอบกัดเธอ

ในคอมเม้นต์ของการค้นหานั้นมีคนด่าหลินจือเยอะมากว่า

หญิงสาวที่นามว่าชื่อหลินอะไรนั่นเหมาการค้นหายอดนิยมหรอ?

บุตรสาวฐานะร่ำรวยอย่างตระกูลแม็กซิมัส คงไม่ได้อยากที่จะเอาตัวเองเข้าวงการบันเทิงหรอกนะ? ไม่งั้นวันๆนึงทำไมเรื่องถึงเยอะขนาดนั้น?

นั่นน่ะสิ ทั้งๆที่ก็เป็นแค่ผู้เขียนบทแต่กลับติดการค้นหายอดนิยมบ่อยแท้ บ่อยเสียยิ่งกว่าดาราที่มีชื่อเสียงอีก นี่มันเหมารายปีหรือเปล่า?

หลินจือหมดคำพูดกับคอมเม้นต์พวกนี้ พวกเขาคิดว่าเธอชอบติดอันดับการค้นหาถึงได้เหมาเป็นรายปี? น่าขำจริงๆ

เทาเท่ขมวดคิ้วหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมา ดูคอมเม้นต์ที่อยูในการค้นหานั้น ใบหน้าที่หล่อเหลาก็นิ่งสงบลงทันใด

เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองโทรหาจอนห์ “จัดการคนที่ปากไม่สะอาดที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตหน่อย”

จอนห์ตกปากรับคำ แต่เทาเท่ก็ให้เปลี่ยนใจอีกว่า “ช่างมันเถอะ ลบการค้นหาทิ้งไปก็พอ”

ไม่มีการค้นหายอดนิยมนี้ ดูสิว่าพวกมันจะพูดยังไงได้บ้าง

หลินจือตกใจรีบเข้ามาขวางเขาว่า “อย่าเลยดีกว่า คุณลบการค้นหาไปพวกเขาก็ต้องด่าว่าฉันนั้นใช้อำนาจเงินเพื่อสั่งลบ”

หลินจือถอนหายใจพูดอีกว่า “ทิ้งมันไว้อย่างนั้นเถอะ พวกเขาชอบด่าก็ด่าไป ฉันไม่สนหรอก”

ปากใครปากมัน พวกเขาจะไปคุมมันได้เสียที่ไหน?

เทาเท่เม้มปากแล้วพูดกับจอนห์ว่า “งั้นก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น”

หลังจากนั้นเขาก็พูดกำชับจอนห์อีกว่า “บอกให้สื่อต่างๆได้รู้ด้วยนะว่าข่าวที่เกี่ยวกับฉันและหลินจือนั้นให้เก็บเอาไว้”

“ครับ”

เทาเท่มาไม้นี้ก็ตัดความเป็นไปได้ของเขากับหลินจือที่จะปรากฏต่อสื่อต่างๆในที่สาธารณะ พวกเขาไม่ชอบที่หลินจือวันๆเอาแต่ติดการค้นหายอดฮิตไม่ใช่หรอ งั้นก็อย่าให้มีติดอีกเลย ดูสิว่าพวกเขาจะว่ายังไง

หลินจือมองการแผนการเทาเท่อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ มีเงินนี่ดีจริงๆ อยากจะติดการค้นหายอดนิยมก็ติดได้ ไม่อยากติดก็เก็บไว้

หลินจือกับทางเทาเท่ก็ไม่มีเรื่องทุกข์ใจอะไร แต่ทางซูซีนั้นโดนโจมตียับเยิน

เดิมทีบริษัทอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยาโอจิของเธอนั้น พวกพนักงานพอได้ข่าวว่าพ่อของเธอเกิดเรื่องขึ้นต่างก็เริ่มที่จะเรียกร้องขอลาออก บางคนถึงขนาดไม่ต้องการเอาเงินเดือนของเดือนที่แล้วก็ลาออกไปอย่างดื้อๆ

เพียงไม่กี่วันบริษัทใหญ่ก็มีคนได้ลาออกไป