ตอนที่ 556 แสดงความฉลาดของตน
คิดได้ดังนั้นในใจและสีหน้าของสาวใช้ก็มิสู้ดีนัก หากกลับเรือนไปเมื่อใดนางต้องโดนเจ้านายระบายโทสะใส่อีกแน่
“พูดเหลวไหลอันใด ? พูดเสียงดังเพียงนี้กลัวว่าผู้อื่นมิรู้หรือว่าเราถูกขับไล่ออกมา ? ”
ทัวป๋าถิงฟางจ้องเขม็งไปยังสาวใช้มิรู้ความผู้นี้ เหตุใดนางจึงมีสาวใช้ที่แสนโง่เขลาเบาปัญญา ?
ในอดีตทัวป๋าถิงฟางมิเคยหงุดหงิดใจเยี่ยงนี้มาก่อน แม้ว่าบัดนี้อันหลิงเกอออกจากจวนแห่งนี้ไปแล้ว แต่นางก็ยิ่งทนมิไหวขึ้นเรื่อย ๆ
ทัวป๋าถิงฟางมิอยากเชื่อว่าแม้อันหลิงเกอจากไปแล้ว มู่จวินฮานก็ยังมิสนใจนาง
ในอดีตมีแค่อันหลิงเกอผู้เดียวในจวนอ๋อง แต่ตอนนี้เหลือคนที่มิเกี่ยวข้องมากมายเพียงนี้ นางยังเทียบเคียงพี่สาวของตนมิได้เลย !
นางออกแรงบิดเนื้อแขนของสาวใช้อย่างแรงและพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหดว่า “คิดว่าอยู่ด้านนอกแล้วข้าจัดการเจ้ามิได้หรือ ต่อไปถ้ายังพูดจาไร้สมองเยี่ยงนี้ก็คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร ! ”
ภายใต้ความหวาดกลัวต่อทัวป๋าถิงฟาง ใบหน้าของสาวใช้จึงเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ยามนี้นางมิกล้าเอ่ยคำใดออกมาแม้แต่คำเดียวจึงพยักหน้าเท่านั้น
ในใจของสาวใช้รู้สึกมิเป็นธรรมอย่างหาที่เปรียบมิได้ จากนั้นก็เดินตามทัวป๋าถิงฟางไปอย่างเงียบ ๆ มิกล้าพูดอีก
ครั้นเห็นสาวใช้ยอมเชื่อฟังเพราะกลัวถูกสั่งสอน ทัวป๋าถิงฟางจึงอดรู้สึกดีมิได้ ความรู้สึกอึดอัดเมื่อยามอยู่ในเรือนของทั่วป๋าหลิวลี่ก็เบาบางลงมากทีเดียว
“ข้าแย่มากเลยหรือ ? หรือหน้าตาของข้ามิงดงามมากพอ เหตุใดมิสามารถดึงดูดสายตาของท่านอ๋องได้ ? ”
ทัวป๋าถิงฟางถามถึงหน้าตาและนิสัยของตนกระทั่งความรู้ความสามารถล้วนบอกได้ว่ามิเคยแพ้ผู้ใด
เหตุใดมู่จวินฮานจึงเมินเฉยมิสนใจนางแม้แต่น้อย ?
ในสายตาของเขามิเคยเห็นหัวนางด้วยซ้ำ ในใจของทัวป๋าถิงฟางจึงเต็มไปด้วยความสงสัยและมิเข้าใจ
ครั้นสาวใช้ได้ยินคำพูดของทัวป๋าถิงฟางก็แสดงสีหน้าลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ตอบว่า “นายหญิงถิงฟางของบ่าวย่อมโดดเด่นและยอดเยี่ยมที่สุดเจ้าค่ะ รูปโฉมก็งดงามแต่บางทีอาจใช้วิธีการมิเหมาะสมจึงทำให้ท่านท่านอ๋องไม่เห็นความดีของท่านก็ได้เจ้าค่ะ”
“จริงหรือ ? ข้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้เสียแล้ว ดูท่าสาวใช้อย่างเจ้าก็มิได้ไร้ประโยชน์เพียงนั้น จงช่วยวางแผนให้ข้า แล้ววันข้างหน้าข้าจะตอบแทนน้ำใจอย่างงาม”
…
ส่วนอันหลิงเกอยังอยู่ในหอพิษกู่และมีช่วงเวลาที่ดีอีกด้วย
ในฐานะแขกที่มารักษาขาทั้งสองข้างของหนานกงหลิงเยว่โดยเฉพาะ อีกสองสามวันนางต้องไปต้อนรับคนของเผ่าปิงชวนแล้ว เมื่ออาการของหนานกงหลิงเยว่ดีขึ้นก็มิน่ากังวลกับการเผชิญหน้าพวกเผ่าปิงชวน
เนื่องจากหลายวันมานี้เกิดความโกลาหลขึ้นในเมืองหลวงจึงส่งผลให้เผ่าปิงชวนมาถึงล่าช้ากว่ากำหนด
ส่วนหนานกงหลิงเยว่ก็ยังออกไปมิได้ อันหลิงเกอจึงอยู่สนทนาเรื่องราวในอดีตกับนาง
ครั้นนึกถึงเรื่องที่อันหลิงเกอทำเหล่านั้น หนานกงหลิงเยว่จึงอดอิจฉามิได้ อันหลิงเกอเป็นสตรีที่มีความสามารถสมคำเล่าลือจริง ๆ
วิชาแพทย์มิต้องเอ่ยถึง ที่ปรึกษาการทหารก็ยิ่งมิต้องเอ่ย ทำให้หนานกงหลิงเยว่อิจฉามากทีเดียว
หนานกงหลิงเยว่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในหอพิษกู่มาโดยตลอด เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้านนอกล้วนมิรู้ทั้งสิ้น “หลายวันมานี้ในเมืองมีของดีปรากฎขึ้นมิน้อยทีเดียว”
พอหนานกงหลิงเยว่ได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ก็เริ่มเกิดจินตนาการขึ้นในใจ นางอยากออกไปเดินดูเหมือนครั้งอดีตแทบขาดใจ
“ได้ยินว่าหลายวันมานี้ทัวป๋าถิงฟางกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่” อันหลิงเกอรู้ดีว่าข่าวลือของหอพิษกู่ดังไปทั่วหล้า
ทัวป๋าถิงฟางคิดอยากชนะใจคน ดังนั้นจึงใช้ทรัพย์สินกวาดซื้อของในร้านค้าทั่วราชอาณาจักรอย่างใจกว้าง
เชื่อได้เลยว่าเบื้องหลังต้องมีมู่เหล่าหวางเฟยคอยช่วยเหลืออยู่แน่นอน
“เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่สตรีชอบทั้งสิ้น นางรู้จักวิธีสร้างความประทับใจและฉลาดปราดเปรื่องมาก แต่การดึงดูดใจที่โดดเด่นเกินไปจะนำมาซึ่งหายนะอันใหญ่หลวง”
อันหลิงเกอคิดว่าทัวป๋าถิงฟางต้องขาดการไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้แน่นอน หากให้คนเหล่านั้นรู้เข้าก็เกรงว่าจักสร้างปัญหาให้แก่จวนอ๋องมู่มิน้อย
อันหลิงเกอทอดถอนใจเบา ๆ ทัวป๋าถิงฟางใจร้อนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากเกินไป ทำเช่นนี้โดยมิผ่านการตริตรองจะต้องนำพาความเสี่ยงมากมายมาสู่พวกนาง
การทำมาค้าขายมิง่าย อีกฝ่ายคงคิดว่าการอาศัยบารมีของมู่เหล่าหวางเฟยจักช่วยให้ตนกลายเป็นสตรีที่ได้รับความชื่นชมจากคนทั่วหล้า
ต่อให้ทำมากเพียงใด ถึงคราวเกิดเรื่องมู่เหล่าหวางเฟยก็มิมีทางปกป้องได้
“เอาล่ะ มิต้องเอ่ยถึงนางแล้ว”
อันหลิงเกอมิอยากเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องเหล่านั้น ในสายตาของนางเห็นทัวป๋าถิงฟางเป็นปัญหาเล็ก ๆ เท่านั้น
ส่วนหนานกงหลิงเยว่เมื่อตอนอดีตก็เป็นคนเย็นชามาก บัดนี้ได้มีปฏิสัมพันธ์กับอันหลิงเกอ ทั้งสองคนก็ดูอบอุ่นอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้ ทัวป๋าถิงฟางผู้นี้ยังคิดจับมู่จวินฮานเป็นแน่”
เมื่อเอ่ยถึงมู่จวินฮานแล้วอันหลิงเกอก็ตกตะลึงทันที ก่อนส่ายหน้าโดยมิกล่าวอันใด
หนานกงหลิงเยว่เห็นสิ่งแวดล้อมในตอนนี้ของอันหลิงเกอก็รู้สึกอิจฉามิน้อย หากวันข้างหน้านางแต่งงานออกเรือนก็คงทนความอยุติธรรมเยี่ยงนี้มิได้ ใครก็คงทำมิได้เช่นกัน
หนานกงหลิงเยว่เริ่มเดินได้อย่างช้า ๆ แล้ว นางภูมิใจในตนเองมากและมิยอมนั่งเก้าอี้ล้อเข็นอีกต่อไป นางดึงดันจะเดินด้วยตนเอง นานวันเข้าก็กลับมาเป็นปกติและดูมิออกเลยว่าขาเคยไร้ความรู้สึกมาก่อน
เรื่องของทัวป๋าถิงฟางได้รู้ถึงหูของมู่เหล่าหวางเฟยในที่สุด แม้นางมิได้สนใจแต่ก็ยังปล่อยให้ลือถึงในวังหลวง
ฮ่องเต้ทรงตำหนิเสียงดัง “เช่อเฟยในจวนอ๋องมู่บังอาจยิ่งนัก กล้าผูกขาดการค้าในเมืองหลวง ! ”
สตรีไร้ความสามารถจึงจะมีคุณธรรมและจริยธรรม ทว่าทัวป๋าถิงฟางสร้างมลทินใหญ่หลวงให้แก่เมืองจิง ช่างน่าโมโหยิ่งนัก
ฮ่องเต้มิได้ออกคำสั่งลงโทษ ทว่ามู่เหล่าหวางเฟยก็ได้ยินข่าวลือนี้
บัดนี้มู่เหล่าหวางเฟยตัดหางปล่อยวัดทัวป๋าถิงฟางโดยสิ้นเชิง ในเมื่ออีกฝ่ายชื่นชมในความฉลาดของตัวเองนักก็ปล่อยไปเถิด
“เฮ้อ เกรงว่านางจะทำให้ท่านอ๋องต้องเสียหน้า” คำกล่าวของมู่เหล่าหวางเฟยยังมิทันสิ้นสุดก็ได้ยินเสียงของมู่จวินฮานดังเข้ามา นางจึงรีบจัดการอารมณ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งยิ้มและมองไปทางมู่จวินฮาน
“ช่วงนี้สภาพจิตใจของหมู่เฟยดีมิน้อย ไม่ทราบว่าได้ยินเรื่องน่าสนใจอันใดมาหรือขอรับ หากมิถือสาก็ช่วยเล่าให้ลูกฟังด้วย ให้ลูกได้แบ่งเบาความรู้สึกดี ๆ ของหมู่เฟยขอรับ”
บัดนี้มู่จวินฮานมาถึงที่เพราะอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต มู่เหล่าหวางเฟยมิรู้ว่าบุตรชายเริ่มสงสัยตนแล้วจึงมิได้คิดมากแต่อย่างใด
“จะมีเรื่องอันใดอีกเล่า ก็แค่เรื่องเหลวไหลเท่านั้น เอ่ยไปก็เป็นกังวลว่าจะระแคะระคายหูท่านอ๋องมากกว่า”
มู่เหล่าหวางเฟยพูดได้น่าประหลาดใจมิน้อย จากนั้นก็มองมู่จวินฮานด้วยแววตาอ่อนโยน บุตรของตนยืนด้วยลำแข้งได้แล้ว ช่างดีเสียจริง
“หมู่เฟย ที่ลูกมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากถามขอรับ”
มู่จวินฮานมิอยากให้มารดาเตรียมการป้องกันจึงเข้าประเด็นทันที
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขารู้ว่ามู่เหล่าหวางเฟยทำเรื่องมากมายเพื่อปกป้องเขาและมันก็มิง่ายด้วย แต่อันหลิงเกอบริสุทธิ์มิใช่หรือ ?
“ที่เกอเอ๋อออกจากจวนไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับหมู่เฟยหรือไม่ขอรับ ? ”
มู่เหล่าหวางเฟยตื่นตกใจทันที