คุยกันฉันหญิง

 

 

อากาศในเมืองหลวงนี้ค่อนข้างเย็นเสมอมา พอถึงค่ำคืนของฤดูร้อนจะอบอุ่น  ลมที่พัดมาให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง 

 

 

คืนนี้ สวี่อี้เพื่อต้องการสืบหาความจริงจึงได้ใช้แผนใหญ่ที่หรงเฉิงเยี่ยวางเอาไว้ แผนการนี้เพื่อจะล่อให้คนร้ายตัวจริงออกมา แต่ว่าแผนการเช่นนี้จะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคนร้ายจะติดกับหรือไม่ 

 

 

แน่นอนว่าเหยื่อใหญ่แบบนี้ สวี่อี้เองก็ไม่แน่ใจว่าในเวลานั้นจะสามารถทนนิ่งอยู่ได้เหมือนในขณะนี้หรือไม่ 

 

 

ขณะนี้นางกำลังจิบชาอยู่กับเซียงฉือ พูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีตราวกับทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก เมื่อมาพบหน้ากันจึงมีเรื่องคุยไม่รู้จบ โดยเฉพาะการได้เสพสุขด้วยบทกลอนและตัวอักษรร่วมกับเซียงฉือ 

 

 

วันนี้พวกนางไม่คุยกันเรื่องคดี ไม่พูดเรื่องความอยุติธรรมที่บ้านสกุลอวิ๋นได้รับ คุยกันแต่เรื่องสนุกๆ ตามประสาหญิงสาว 

 

 

“น้องเซียงฉือ ตัวอักษรของเจ้านี่ช่างงดงามโดดเด่นหาใดเสมอเหมือน อ่อนช้อยพลิ้วเบา มีความไม่ไยดีต่อโลก แต่รุ่งโรจน์หากอยู่บนเส้นทางข้าราชการ เหมือนดั่งเจตจำนงท่านปู่อย่างมาก วันนี้นับว่าสวี่อี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” 

 

 

สวี่อี้ยกถ้วยขึ้น คืนนี้นางตั้งใจจะไม่นอนตลอดคืน ถึงนางจะไม่พูด แต่การดื่มชาเข้มข้นถ้วยแล้วถ้วยเล่าเช่นนี้ทำให้เซียงฉือคาดเดาได้ อีกทั้งวันนี้ที่ได้หลักฐานมา จนถึงเวลานี้นางก็ยังไม่เอ่ยปากออกมาสักคำ ถึงสวี่อี้จะไม่บอกหรือหรงเฉิงเยี่ยจะไม่บอกก็ตาม 

 

 

แต่เซียงฉือก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วยแล้วบางส่วน เกรงว่านางทั้งสองจะต้องร่วมแสดงละครเรื่องเดียวกัน มิเช่นนั้นหรงเฉิงเยี่ยคงไม่ผ่อนคลายเช่นนี้ และสวี่อี้คงจะไม่จริงจังแบบนี้ เจตนาเลือกวันนี้ทำความรู้จักกับนาง และคงจะรู้เรื่องนางอย่างปรุโปร่ง 

 

 

นางเองก็รู้แจ้งแต่พูดไม่ได้ 

 

 

เซียงฉือยิ้มแล้วมองดูตัวอักษรที่เพิ่งเขียนขึ้น สวี่อี้เป่าเบาๆ อย่างหวงแหน 

 

 

แต่พลันเซียงฉือคิดถึงใครคนหนึ่ง ยิ่งในเวลาเช่นนี้จะยิ่งคิดถึงเป็นพิเศษ คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา คิดถึงรอยยิ้มที่อบอุ่นของเขา 

 

 

ท่านปู่เข้มงวดมาก เซียงฉือไม่ได้มีลายมือดีมาตั้งแต่เล็ก บ่อยครั้งเหลือเกินที่ถูกทำโทษให้คัดแล้วคัดเล่า คัดไปทั้งน้ำตา ความทรงจำตอนนั้นไม่ดีเท่าไร 

 

 

แต่ในเวลาเช่นนั้นเหอเจี่ยนสุยจะยกโต๊ะเล็กๆ มานั่งข้างนาง แล้วเขียนหนังสือ วาดภาพเป็นเพื่อนนาง 

 

 

ตอนนี้ถ้าเขาอยู่ที่นี่ จะต้องวาดภาพดอกท้อได้สมจริงจับตายิ่งกว่าเป็นแน่ 

 

 

“กำลังคิดอะไรอยู่” 

 

 

สวี่อี้เห็นเซียงฉือกำลังคิดจนเลื่อนลอยจึงได้รอสักครู่แล้วถามออกไปเบาๆ 

 

 

เซียงฉือเงยหน้ามองสวี่อี้ยิ้มๆ แล้วพูดว่า 

 

 

“บทกลอน อักษร ภาพวาด ดูเหมือนจะยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง” 

 

 

“มิใช่หรือ?” 

 

 

เซียงฉือยิ้มในดวงตาใสกระจ่าง แต่เมื่อใจหวั่นไหวเล็กน้อย นางก็เริ่มคิดถึงเหอเจี่ยนสุย นางจะเป็นแบบนี้ไม่ได้ จะมัวยึดเขามาเป็นฟางช่วยชีวิตของตนไม่ได้ พอเกิดความจำเป็นคราใดก็จะคิดถึงทุกครั้ง 

 

 

แบบนี้จะเป็นภาระแก่นาง และเป็นภาระของเหอเจี่ยนสุยด้วยเช่นกัน 

 

 

“นั่นสินะ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ยากแล้ว พี่เจี่ยนสุยบ้านสกุลเหอตอนนี้มาถึงเมืองหลวงเข้ารับหน้าที่เสนาบดีฝ่ายการศึกษาแล้ว วันข้างหน้าย่อมมีโอกาสได้พบหน้ากันเป็นแน่” 

 

 

“อืม…” 

 

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้สวี่อี้ก็รู้สึกแปลกใจ สายตาเซียงฉือใสกระจ่าง แต่ไหวระยิบ นางจึงพูดต่ออย่างไม่เก็บซ่อนคำพูด 

 

 

“นี่ย่อมจะมีโอกาส น้องสาวคนดีอย่าได้ละทิ้ง ครั้งนี้ลองสอบข้าราชสำนักสตรีดู ถึงจะบอกว่าติดขัดเรื่องสถานะของเจ้า แต่เหลียนชินอ๋องจะต้องช่วยได้แน่ๆ เจ้าจะต้องมีความหวังนะ” 

 

 

เซียงฉือที่ท้อแท้ใจอยู่ถูกสวี่อี้มองออกและพูดออกมาจนได้ 

 

 

ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวัง ทุกวันนางจะคาดหวังแล้วก็ผิดหวัง แต่ว่านางก็อยู่อย่างเข้มแข็งตลอดมา การได้มีชีวิตอยู่รอดเป็นโชคดีอย่างที่สุด หากจะได้มากกว่านั้นนางก็จะไม่ปิดกั้นตนเอง