บทที่ 257 การป้องกันที่ดีที่สุดคือการจู่โจม

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เหลียงเยว่หรูนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเก้าอี้ มองผู้ชายสองคนที่กระดกเหล้าไม่หยุดด้วยสีหน้าเลื่อนลอย

บนโต๊ะเต็มไปด้วยขวดเหล้า รวมถึงเหล้าขาว เบียร์ และไวน์

พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย คุยไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน!

เย่เทียนและเหลียงเหวินเห้าไม่ใช่คนพูดมาก และยิ่งไม่นับว่าเป็นเพื่อนรู้ใจ แต่ทั้งสองก็ยังกินเหล้ากันไม่น้อย และกินกันอย่างสนุกสนานด้วย

สำหรับเหลียงเหวินเห้า ทีแรกเย่เทียนไม่พอใจเขามาก แต่หลังจากกินเหล้ากันแล้วความไม่พอใจของเขาได้อันตรธานหายไปจนสิ้น เหลือเพียงความเคารพนับถือที่เข้ามาแทนที่

ผู้ชายมักจะเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต่ำต้อยเพียงใด หากได้นั่งลงกินเหล้ากันสักครั้งก็จะสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย และไม่จำเป็นต้องทำทีเป็นเกรงใจ ทุกอย่างอยู่ในเหล้าหมดแล้ว

เหลียงเหวินเห้าได้บอดี้การ์ดพยุงออกไป ก่อนเขาไปเพียงแต่มองเย่เทียนอย่างมีความหมายทว่าไม่ได้พูดอะไรอีก

เหลียงเยว่หรูก็ไม่อยู่ต่อ ถึงแม้เธอมีอะไรอยากจะคุยกับเย่เทียนมากมาย แต่ภายใต้ความเข้มงวดของเหลียงเหวินเห้าที่มีมายาวนาน เธอก็ยอมกลับแต่โดยดีทั้งที่หันกลับมามองบ่อยๆ

คนอื่นไม่รู้ แต่เธอในฐานะลูกสาวรู้ดีว่าพ่อเลิกเหล้ามาหลายปีแล้ว ต่อให้เป็นตอนคุยธุรกิจกับคนอื่นก็ไม่ดื่มเหล้าเลย

ถึงยังไงด้วยฐานะและตำแหน่งของเขา ถ้าเขาไม่อยากดื่มเหล้าก็ไม่มีใครบังคับ

ทว่าวันนี้นอกจากเขาจะยกเว้นให้แล้ว ยังดื่มไปไม่น้อยด้วย

อย่างน้อยข้าวมื้อนี้นับแค่ค่าเหล้า ทั้งคู่ก็กินกันไปประมาณแสนกว่า

“เป็นยังไง? แปลกใจมากใช่มั้ย?”

จนกระทั่งมุดเข้ามาในรถแล้ว เหลียงเหวินเห้าถึงมองเหลียงเยว่หรูที่หน้าตาเต็มไปด้วยคำถามและถามยิ้มๆ

“แปลกใจมากค่ะ”

เหลียงเยว่หรูพยักหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พ่อคะ ก่อนหน้านี้พ่อไม่ชอบหน้าเย่เทียนไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงยังดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้”

“พ่อดีใจน่ะสิ”

เหลียงเหวินเห้าหัวเราะ ก่อนจะพูดเสียงใส “หลังจากนี้มีไอ้หนุ่มนั่นคอยดูลูก พ่อสบายใจ”

ใบหน้างดงามของเหลียงเยว่หรูกลายเป็นสีแดงทันที เธอพูดเขินๆ “พ่อพูดอะไรกันคะ หนูกับเย่เทียนเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ”

เหลียงเหวินเห้าจะดูไม่ออกได้ยังไงว่าลูกสาวเขิน เขารับคำพร้อมกลั้วหัวเราะ “จ้าๆๆ เพื่อนกัน!”

“เชอะ หนูไม่คุยกับพ่อแล้ว!”

เหลียงเยว่หรูพูดเสียงเง้างอน เลื่อนตาคู่สวยออกไปมองภาพถนนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แต่ความยินดีปรีดาบนใบหน้าของเด็กสาวนั้นปกปิดยังไงก็ไม่มิด

ถึงยังไงพ่อก็ยอมรับเย่เทียนแล้ว จะไม่ให้เธอดีใจได้ยังไง

เธอเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลเหลียง แก้วตาดวงใจของเหลียงเหวินเห้า อยากได้อะไรก็ได้มาตั้งแต่เด็ก

ต่างกับจี้เยียนหรัน คุณหนูจี้กังวลเรื่องที่เย่เทียนแต่งงานกับเฉินหวั่นชิง แต่เหลียงเยว่หรูไม่สนใจเลยสักนิด

สังคมสมัยนี้เรื่องระหว่างชายหญิงเปิดกว้างกว่าสมัยโบราณเยอะ แต่งงานแล้วใช่ว่าจะหย่าไม่ได้

สำหรับเธอ ตอนนี้เหลือเพียงปัญหาเดียว—จะทำให้ความสัมพันธ์กับเย่เทียนนั้นแน่นอนได้ยังไง

แต่ ชายจีบหญิงต้องข้ามภูเขา หญิงจีบชายง่ายเหมือนเปิดม่าน เรื่องแบบนี้ต้องกังวลด้วยเหรอ?

คิดมาถึงตรงนี้ เหลียงเยว่หรูยื่นกำปั้นออกมาพลางสะบัด และพึมพำอย่างเจ้าเล่ห์ “เย่เทียน นายหนีไม่พ้นเงื้อมมือของฉันหรอก”

น่าสงสารเย่เทียนที่เพิ่งออกจากสโมสรจุนเหาจามอย่างไร้สาเหตุ เขาอดบ่นงึมงำไม่ได้ “ไอ้งั่งที่ไหนวางแผนล่อลวงฉันอีก?”

เขาสบถอย่างเหนื่อนใจ และขับรถมุ่งตรงไปที่เรดซันบาร์

เมื่อกี้เหลียงเหวินเห้าเปิดเผยบนโต๊ะเหล้าว่าแก๊งไผ่เขียวและแก๊งเสือดำได้รวมกันเป็นแก๊งเสือเขียวแล้ว

แน่นอนว่าถ้าแค่นั้นเย่เทียนไม่ว่าอะไรหรอก ยังไงซะนี่ก็เป็นการตัดสินใจของเชิ่งหู่และหลิวชิงสองคน

ที่เย่เทียนฉุนคือไปบอกคนนอกว่าหัวหน้าแก๊งเสือเขียวคือเขา จะไม่ให้เขาไปหาได้ยังไง

ครู่เดียว เมื่อเย่เทียนบุกเข้ามาในห้องทำงานของหัวหน้าเรดซันบาร์แล้ว หลิวชิงและเชิ่งหู่สองคนก็ได้รออยู่ที่นั่น

เห็นเย่เทียนบุกเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม หลิวชิงและเชิ่งหู่อดมองหน้ากันไม่ได้ ต่างคนต่างเห็นความหวั่นใจของอีกฝ่าย

“คุณ คุณชายเย่ครับ ท่านให้เราสองคนมามีอะไรเหรอครับ?”

ยังไงซะที่นี่ก็เป็นถิ่นเก่าของหลิวชิง บวกกับเขามีไหวพริบดีกว่าเชิ่งหู่ เขาจึงเป็นคนที่ก้าวออกมาก่อน

“พวกนายสองคนใจกล้าดีนี่!”

เย่เทียนนั่งลงตุ้บบนโซฟาหนานุ่มและหัวเราะเย็นๆ “ว่ามาซิ พวกนายสองคนทำอะไรลับหลังฉันบ้าง”

เชิ่งหู่ได้ฟังก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ เขาตอบตะกุกตะกัก “เปล่านะครับ ไม่ได้ทำอะไร”

“พวกนายเห็นฉันตาบอดหรือเห็นฉันหูหนวก? เรื่องแก๊งเสือเขียวหมายความว่ายังไง ฉันบอกตอนไหนว่าจะเป็นหัวหน้า?”

เย่เทียนตบโต๊ะอย่างแรงและพูดเสียงเย็นชา “หลิวชิง เชิ่งหู่ ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่าพวกนายสองคนใจกล้าขนาดนี้ นี่เพิ่งผ่านมานานเท่าไหร่เองก็ทำอะไรตามอำเภอใจแล้ว”

เขาไม่ต่อต้านการรวมตัวของสองแก๊ง แต่ก็ไม่อยากเปิดตัวด้วยเหตุนี้

ยังไม่รู้เลยว่าใครกันที่เป็นบงการอยู่เบื้องหลังคดียาปฏิชีวนะ และรอยสักหัวกะโหลกเป็นอิทธิพลฝ่ายไหนกันแน่?

ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้คำตอบ การเปิดตัวอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยแบบนี้รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดการระแวง หากคนที่อยู่เบื้องหลังเก่งกล้าสามารถจนส่งยอดฝีมือระดับฟ้ามาล่ะ?

เย่เทียนไม่คิดว่าตัวเองในตอนนี้จะสามารถต่อกรกับยอดฝีมือระดับฟ้าได้ ต่อให้เจอระดับดินเกรงว่าเขาก็ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

เมื่อเห็นเย่เทียนที่สีหน้ามืดมน หลิวชิงคุกเข่าลงทันทีและกอดต้นขาเย่เทียนอย่างหน้าไม่อาย และเช็ดน้ำตาน้ำมูก

“คุณชายเย่ครับ พวกเราก็ถูกบีบคั้นจนไม่มีทางเลือกนะครับ”

“สองวันก่อนที่คุณไปเมืองเอกสั่งให้พวกเราเคลื่อนทัพ แต่ด้านเจียงหนันก็เพิ่งจัดการแก๊งมังกรไป ยังไม่ทันจะมั่นคงเท่าไหร่ จะหาคนจากไหน”

“แต่พวกเราไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของคุณชายเย่ จึงได้แต่รวมแก๊งเป็นหนึ่ง ถึงได้มีคนพออย่างฉิวเฉียด”

เชิ่งหู่เห็นท่าก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน และกอดต้นขาอีกข้างของเย่เทียนพร้อมร้องไห้โหวกเหวก

“คุณชายเย่ครับ คุณก็รู้ว่าก่อนรู้จักคุณคนของพวกเราสองฝ่ายปะทะกันมาตลอด”

“ถ้าไม่อ้างชื่อเสียงของคุณ คนใต้บัญชาไม่มีทางยอมรวมเป็นหนึ่งหรอกครับ พวกเราจนปัญญาแล้วจริงๆ”

เย่เทียนตากระตุก ทำอะไรไม่ได้โดยสิ้นเชิง

ผู้ชายอกสามศอกอายุสามสิบสี่สิบสองคนกวาดขาตัวเองคนละข้างและร้องไห้โวยวาย ต่อให้โมโหแค่ไหนก็อาละวาดไม่ออกแล้ว

ถึงยังไงเขาจะเตะตายข้างละคนก็คงไม่ได้

“ออกไปจากตัวฉัน มีอะไรลุกขึ้นมาคุย อายุตั้งเท่าไหร่แล้วอย่าเอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ ฉันยังอายแทนพวกนายเลย”

หลิวชิงและเชิ่งหู่ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง พวกเขายอมปล่อยขาของเย่เทียนแต่โดยดี และค่อยๆอธิบายให้เย่เทียนฟังอย่างหวั่นๆ

หลังจากที่ทั้งสองอธิบายเสร็จแล้ว เย่เทียนก็พอจะเข้าใจในตัวทั้งสอง ความเดือดดาลได้ดับมอดไปจนสิ้น กลับกลายเป็นความเหนื่อยใจที่เข้ามาแทนที่

เรื่องนี้จะไปโทษใครได้?

ถ้าไม่ใช่ตัวเองโอหังสั่งให้สองคนนี้ฉวยโอกาสนี้เคลื่อนทัพเข้าไปในเมืองเอก จะมีแก๊งเสือเขียวเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วตัวเองจะกลายเป็นหัวหน้าอย่างงงๆได้ยังไง

แน่นอนว่าถ้าให้เลือกใหม่อีกครั้ง เย่เทียนก็ยังเลือกที่จะบุกเข้าไปในเมืองเอก และตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

ยังไงซะการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการจู่โจม เป็นนักล่ามิใช่เหยื่อ