เหลียงเยว่หรูนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเก้าอี้ มองผู้ชายสองคนที่กระดกเหล้าไม่หยุดด้วยสีหน้าเลื่อนลอย
บนโต๊ะเต็มไปด้วยขวดเหล้า รวมถึงเหล้าขาว เบียร์ และไวน์
พบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อย คุยไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน!
เย่เทียนและเหลียงเหวินเห้าไม่ใช่คนพูดมาก และยิ่งไม่นับว่าเป็นเพื่อนรู้ใจ แต่ทั้งสองก็ยังกินเหล้ากันไม่น้อย และกินกันอย่างสนุกสนานด้วย
สำหรับเหลียงเหวินเห้า ทีแรกเย่เทียนไม่พอใจเขามาก แต่หลังจากกินเหล้ากันแล้วความไม่พอใจของเขาได้อันตรธานหายไปจนสิ้น เหลือเพียงความเคารพนับถือที่เข้ามาแทนที่
ผู้ชายมักจะเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต่ำต้อยเพียงใด หากได้นั่งลงกินเหล้ากันสักครั้งก็จะสนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย และไม่จำเป็นต้องทำทีเป็นเกรงใจ ทุกอย่างอยู่ในเหล้าหมดแล้ว
เหลียงเหวินเห้าได้บอดี้การ์ดพยุงออกไป ก่อนเขาไปเพียงแต่มองเย่เทียนอย่างมีความหมายทว่าไม่ได้พูดอะไรอีก
เหลียงเยว่หรูก็ไม่อยู่ต่อ ถึงแม้เธอมีอะไรอยากจะคุยกับเย่เทียนมากมาย แต่ภายใต้ความเข้มงวดของเหลียงเหวินเห้าที่มีมายาวนาน เธอก็ยอมกลับแต่โดยดีทั้งที่หันกลับมามองบ่อยๆ
คนอื่นไม่รู้ แต่เธอในฐานะลูกสาวรู้ดีว่าพ่อเลิกเหล้ามาหลายปีแล้ว ต่อให้เป็นตอนคุยธุรกิจกับคนอื่นก็ไม่ดื่มเหล้าเลย
ถึงยังไงด้วยฐานะและตำแหน่งของเขา ถ้าเขาไม่อยากดื่มเหล้าก็ไม่มีใครบังคับ
ทว่าวันนี้นอกจากเขาจะยกเว้นให้แล้ว ยังดื่มไปไม่น้อยด้วย
อย่างน้อยข้าวมื้อนี้นับแค่ค่าเหล้า ทั้งคู่ก็กินกันไปประมาณแสนกว่า
“เป็นยังไง? แปลกใจมากใช่มั้ย?”
จนกระทั่งมุดเข้ามาในรถแล้ว เหลียงเหวินเห้าถึงมองเหลียงเยว่หรูที่หน้าตาเต็มไปด้วยคำถามและถามยิ้มๆ
“แปลกใจมากค่ะ”
เหลียงเยว่หรูพยักหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พ่อคะ ก่อนหน้านี้พ่อไม่ชอบหน้าเย่เทียนไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงยังดื่มเหล้าเยอะขนาดนี้”
“พ่อดีใจน่ะสิ”
เหลียงเหวินเห้าหัวเราะ ก่อนจะพูดเสียงใส “หลังจากนี้มีไอ้หนุ่มนั่นคอยดูลูก พ่อสบายใจ”
ใบหน้างดงามของเหลียงเยว่หรูกลายเป็นสีแดงทันที เธอพูดเขินๆ “พ่อพูดอะไรกันคะ หนูกับเย่เทียนเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ”
เหลียงเหวินเห้าจะดูไม่ออกได้ยังไงว่าลูกสาวเขิน เขารับคำพร้อมกลั้วหัวเราะ “จ้าๆๆ เพื่อนกัน!”
“เชอะ หนูไม่คุยกับพ่อแล้ว!”
เหลียงเยว่หรูพูดเสียงเง้างอน เลื่อนตาคู่สวยออกไปมองภาพถนนที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แต่ความยินดีปรีดาบนใบหน้าของเด็กสาวนั้นปกปิดยังไงก็ไม่มิด
ถึงยังไงพ่อก็ยอมรับเย่เทียนแล้ว จะไม่ให้เธอดีใจได้ยังไง
เธอเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของตระกูลเหลียง แก้วตาดวงใจของเหลียงเหวินเห้า อยากได้อะไรก็ได้มาตั้งแต่เด็ก
ต่างกับจี้เยียนหรัน คุณหนูจี้กังวลเรื่องที่เย่เทียนแต่งงานกับเฉินหวั่นชิง แต่เหลียงเยว่หรูไม่สนใจเลยสักนิด
สังคมสมัยนี้เรื่องระหว่างชายหญิงเปิดกว้างกว่าสมัยโบราณเยอะ แต่งงานแล้วใช่ว่าจะหย่าไม่ได้
สำหรับเธอ ตอนนี้เหลือเพียงปัญหาเดียว—จะทำให้ความสัมพันธ์กับเย่เทียนนั้นแน่นอนได้ยังไง
แต่ ชายจีบหญิงต้องข้ามภูเขา หญิงจีบชายง่ายเหมือนเปิดม่าน เรื่องแบบนี้ต้องกังวลด้วยเหรอ?
คิดมาถึงตรงนี้ เหลียงเยว่หรูยื่นกำปั้นออกมาพลางสะบัด และพึมพำอย่างเจ้าเล่ห์ “เย่เทียน นายหนีไม่พ้นเงื้อมมือของฉันหรอก”
น่าสงสารเย่เทียนที่เพิ่งออกจากสโมสรจุนเหาจามอย่างไร้สาเหตุ เขาอดบ่นงึมงำไม่ได้ “ไอ้งั่งที่ไหนวางแผนล่อลวงฉันอีก?”
เขาสบถอย่างเหนื่อนใจ และขับรถมุ่งตรงไปที่เรดซันบาร์
เมื่อกี้เหลียงเหวินเห้าเปิดเผยบนโต๊ะเหล้าว่าแก๊งไผ่เขียวและแก๊งเสือดำได้รวมกันเป็นแก๊งเสือเขียวแล้ว
แน่นอนว่าถ้าแค่นั้นเย่เทียนไม่ว่าอะไรหรอก ยังไงซะนี่ก็เป็นการตัดสินใจของเชิ่งหู่และหลิวชิงสองคน
ที่เย่เทียนฉุนคือไปบอกคนนอกว่าหัวหน้าแก๊งเสือเขียวคือเขา จะไม่ให้เขาไปหาได้ยังไง
ครู่เดียว เมื่อเย่เทียนบุกเข้ามาในห้องทำงานของหัวหน้าเรดซันบาร์แล้ว หลิวชิงและเชิ่งหู่สองคนก็ได้รออยู่ที่นั่น
เห็นเย่เทียนบุกเข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม หลิวชิงและเชิ่งหู่อดมองหน้ากันไม่ได้ ต่างคนต่างเห็นความหวั่นใจของอีกฝ่าย
“คุณ คุณชายเย่ครับ ท่านให้เราสองคนมามีอะไรเหรอครับ?”
ยังไงซะที่นี่ก็เป็นถิ่นเก่าของหลิวชิง บวกกับเขามีไหวพริบดีกว่าเชิ่งหู่ เขาจึงเป็นคนที่ก้าวออกมาก่อน
“พวกนายสองคนใจกล้าดีนี่!”
เย่เทียนนั่งลงตุ้บบนโซฟาหนานุ่มและหัวเราะเย็นๆ “ว่ามาซิ พวกนายสองคนทำอะไรลับหลังฉันบ้าง”
เชิ่งหู่ได้ฟังก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ เขาตอบตะกุกตะกัก “เปล่านะครับ ไม่ได้ทำอะไร”
“พวกนายเห็นฉันตาบอดหรือเห็นฉันหูหนวก? เรื่องแก๊งเสือเขียวหมายความว่ายังไง ฉันบอกตอนไหนว่าจะเป็นหัวหน้า?”
เย่เทียนตบโต๊ะอย่างแรงและพูดเสียงเย็นชา “หลิวชิง เชิ่งหู่ ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่าพวกนายสองคนใจกล้าขนาดนี้ นี่เพิ่งผ่านมานานเท่าไหร่เองก็ทำอะไรตามอำเภอใจแล้ว”
เขาไม่ต่อต้านการรวมตัวของสองแก๊ง แต่ก็ไม่อยากเปิดตัวด้วยเหตุนี้
ยังไม่รู้เลยว่าใครกันที่เป็นบงการอยู่เบื้องหลังคดียาปฏิชีวนะ และรอยสักหัวกะโหลกเป็นอิทธิพลฝ่ายไหนกันแน่?
ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้คำตอบ การเปิดตัวอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยแบบนี้รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดการระแวง หากคนที่อยู่เบื้องหลังเก่งกล้าสามารถจนส่งยอดฝีมือระดับฟ้ามาล่ะ?
เย่เทียนไม่คิดว่าตัวเองในตอนนี้จะสามารถต่อกรกับยอดฝีมือระดับฟ้าได้ ต่อให้เจอระดับดินเกรงว่าเขาก็ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
เมื่อเห็นเย่เทียนที่สีหน้ามืดมน หลิวชิงคุกเข่าลงทันทีและกอดต้นขาเย่เทียนอย่างหน้าไม่อาย และเช็ดน้ำตาน้ำมูก
“คุณชายเย่ครับ พวกเราก็ถูกบีบคั้นจนไม่มีทางเลือกนะครับ”
“สองวันก่อนที่คุณไปเมืองเอกสั่งให้พวกเราเคลื่อนทัพ แต่ด้านเจียงหนันก็เพิ่งจัดการแก๊งมังกรไป ยังไม่ทันจะมั่นคงเท่าไหร่ จะหาคนจากไหน”
“แต่พวกเราไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของคุณชายเย่ จึงได้แต่รวมแก๊งเป็นหนึ่ง ถึงได้มีคนพออย่างฉิวเฉียด”
เชิ่งหู่เห็นท่าก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน และกอดต้นขาอีกข้างของเย่เทียนพร้อมร้องไห้โหวกเหวก
“คุณชายเย่ครับ คุณก็รู้ว่าก่อนรู้จักคุณคนของพวกเราสองฝ่ายปะทะกันมาตลอด”
“ถ้าไม่อ้างชื่อเสียงของคุณ คนใต้บัญชาไม่มีทางยอมรวมเป็นหนึ่งหรอกครับ พวกเราจนปัญญาแล้วจริงๆ”
เย่เทียนตากระตุก ทำอะไรไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ผู้ชายอกสามศอกอายุสามสิบสี่สิบสองคนกวาดขาตัวเองคนละข้างและร้องไห้โวยวาย ต่อให้โมโหแค่ไหนก็อาละวาดไม่ออกแล้ว
ถึงยังไงเขาจะเตะตายข้างละคนก็คงไม่ได้
“ออกไปจากตัวฉัน มีอะไรลุกขึ้นมาคุย อายุตั้งเท่าไหร่แล้วอย่าเอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ ฉันยังอายแทนพวกนายเลย”
หลิวชิงและเชิ่งหู่ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง พวกเขายอมปล่อยขาของเย่เทียนแต่โดยดี และค่อยๆอธิบายให้เย่เทียนฟังอย่างหวั่นๆ
หลังจากที่ทั้งสองอธิบายเสร็จแล้ว เย่เทียนก็พอจะเข้าใจในตัวทั้งสอง ความเดือดดาลได้ดับมอดไปจนสิ้น กลับกลายเป็นความเหนื่อยใจที่เข้ามาแทนที่
เรื่องนี้จะไปโทษใครได้?
ถ้าไม่ใช่ตัวเองโอหังสั่งให้สองคนนี้ฉวยโอกาสนี้เคลื่อนทัพเข้าไปในเมืองเอก จะมีแก๊งเสือเขียวเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วตัวเองจะกลายเป็นหัวหน้าอย่างงงๆได้ยังไง
แน่นอนว่าถ้าให้เลือกใหม่อีกครั้ง เย่เทียนก็ยังเลือกที่จะบุกเข้าไปในเมืองเอก และตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ยังไงซะการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการจู่โจม เป็นนักล่ามิใช่เหยื่อ